:::     :::

วินิจฉัยทีมชาติไทย หลังพ่าย "เจ้าอาเซียน"

วันพฤหัสบดีที่ 06 มิถุนายน 2562 คอลัมน์ ฉันดูบอลที่ร้านเหล้า โดย ดากานดา
9,786
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เป็นอีกครั้งที่พลพรรคช้างศึก ถูกอริตลอดกาลอย่าง เวียดนาม บุกมาขืนใจ "คาบ้าน" ในลูกหนัง คิงส์คัพ ครั้งที่ 47

แถมเป็นการโดนขืนใจแบบสิ้นแรงขัดขืน ทำอะไรทัพดาวทองไม่ได้

เกือบทั้ง 90 นาทีบนสมรภูมิผืนหญ้า ทีมชาติไทย “เป็นรอง” คู่แข่ง ทั้งสปีด ความฟิต บอลพื้นที่สุดท้าย และแท็คติก

แม้จะไร้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ คีย์แมนคนสำคัญ หรือดาวยิงหมายเลข 1 อย่างธีรศิลป์ แดงดา ที่ “เสี่ยง” เจ็บเพิ่มหากส่งลงสนาม แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น

ฉันดูที่บอลร้านเหล้า บนหน้านี้ ขอวินิจฉัยสาเหตุหลัก อันนำพาให้ทีมชาติไทยเจอโขยกคายูนิฟอร์มเหลืองอย่างพอสังเขป


เกมรุกที่ถูกปิดตาย

ทีมชาติไทยชุดนี้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ใช้เกมริมเส้นเป็นจุดเริ่มการโจมตีคู่แข่ง และกับเกมพบ เวียดนาม ยิ่งต้องเน้นมากกว่าเก่า เมื่อไร้ผู้เล่นที่สามารถ “สร้างความต่าง” ได้อย่าง เจ ชนาธิป แต่ความเป็นจริงที่พบวันนี้คือ เราแทบไม่ได้เล่นเกมตามถนัดเลย

พัค ฮัง-ซอ มองเห็นจุดนี้และแก้เกมได้อย่างเฉียบขาด การเพรสซิ่งในจังหวะทีควรกดดัน หรือ การตั้งโซนรับในแดนตัวเอง ทุกคนมีวินัยมาก การใช้บอลหนักเข้าใส่ บี้ไทยทุกจังหวะ ส่งให้ผู้เล่นทางกราบขวา-ซ้าย อย่าง ธีราทร บุญมาทัน และ ทริสตอง โด แทบทำอะไรไม่ได้ จะบุกก็ตัน จะสวนกลับไวก็ไม่ได้

ตลกร้ายที่ตอบแทนได้คือ หากไม่นับเซตพีช ทีมชาติไทย ได้โยนบอลสำเร็จจากริมเส้นครั้งแรก ก็ปาเข้าไปช่วงต้นครึ่งหลัง แต่ต้องแลกมาด้วยการถอดมิดฟิลด์ที่หายจากเกมอย่าง สารัช อยู่เย็น ออก เพื่อส่ง สุมัญญา ปุริสาย ลงมาเพิ่มมิติเกมรุก ถึงพอแอบ “มีหวัง” ได้บ้าง

ขณะที่แดนหน้า ศุภชัย ใจเด็ด และ สุภโชค สารชาติ แทบไม่มีอิสระในการเล่นอย่างสะดวกโยธิน รายแรกทำได้เพียงพักบอลเก็บไว้กับตัวจากบอลยาว หรือชงให้เพื่อน ขณะที่รายหลัง หลังจังหวะสามารถเอาตัวรอดได้จากการโดนรุมเพรสซิ่ง แต่ก็แทบไม่สามารถเจาะแนวรับสร้างอันตรายให้ เวียดนาม ได้

 

การแก้เกมบนม้านั่งสำรอง

เป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึงพอสมควรสำหรับ ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย สำหรับการปรับเปลี่ยนแท็คติก

การเปลี่ยน สารัช ออกในช่วงครึ่งหลังถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะ สุมัญญา คือตัวรุกโดยธรรมชาติ ลงมาช่วยซัพพอร์ตเกมรุกได้หลายจังหวะ

หากแต่คำถามคือหลังผ่าน 70 นาทีไป สภาพโดยรวมของทีมชาติไทยยังไม่สามารถเจาะแนวรับคู่แข่งได้ แม้จะครองบอลได้มากกว่า แต่ “โค้ชโต่ย” เลือกที่จะยื้อการเปลี่ยนเกมบนม้านั่งสำรองไว้ ใช้แท็คติกเดิม ก่อนตัดสินใจในช่วงท้ายด้วยการส่ง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ลงมา

คำถามคือในโมงยามที่เราต้องการประตูขึ้นนำ กุนซือช้างศึกกลับ “เดิมพัน” ด้วยการใช้เด็กอายุ 16 ปี แทนที่แข้งมากประสบการณ์อย่าง สุรชาติ สารีพิมพ์ หรือ อดิศักดิ์ ไกรษร

ผลลัพธ์อย่างที่เห็น “เจ้าแบงค์” ได้สัมผัสบอลเพียงไม่กี่ครั้ง ช็อตที่สร้างความอันตรายที่สุดคือจังหวะประสานงานกับพี่ชาย สุภโชค แต่ก็แค่นั้น

ขณะที่อีกโควตาตัวสำรองโค้ชเลือกเมินส่งคนอื่นลงมาเพิ่ม ทั้งที่รูปเกมโดยรวมยังไม่ได้เหนือกว่า เวียดนามสักนิด

 

กวินทร์ ไม่ควรเป็นแพะรับบาป

“โค้ชโต่ย” รู้อยู่แก่ใจดีว่า ตองร้างลาสนามมากว่าครึ่งปี จากอาการบาดเจ็บกับต้นสังกัด โอเอช ลูเวิน และได้มีโอกาสเฝ้าเสาเพียง 9 เกมแรก ซึ่งหลังหายมาอดีตนายด่าน เอสซีจี เมืองทองฯ ก็ยังไม่มีตำแหน่งแม้แต่ตัวสำรองในทีม

การห่างเกมในสนามจริงไปย่อมส่งผลอย่างแน่นอน แต่ ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ยอมส่ง กวินทร์ ลงเป็น 11 คนแรก จะด้วยการมองโลกในแง่ดี ว่าต้องการใช้เวทีลูกหนังนี้ให้เจ้าตัวเรียกความมั่นใจหรืออะไรก็ตาม แต่นั่นคือ “ความเสี่ยง” ที่คนเป็นโค้ชต้องแบกรับไว้

สิ่งที่เราเห็นในเกมการแข่งขันคือ กวินทร์ เกือบพลาดตั้งแต่นาทีแรกในสนาม จากจังหวะ “กั๊ก” กับแนวรับ รวมถึงยังมีจังหวะที่สื่อสารไม่เข้าใจกับ พรรษา เหมวิบูลย์ จนมาเจอลูกโหม่งของ เหงียน อันห์ ดุก ในช่วงวินาทีสุดท้ายที่จอดไม่ต้องแจว

ใช่ว่าเป็นช็อตที่ กวินทร์ ผิดพลาด แต่ถ้าเราจะถามหาความรับผิดชอบจากความพ่ายแพ้นัดนี้ ผู้ที่สมควรรับคำวิจารณ์ไปเต็มๆ คงไม่ใช่ตอง

แต่เป็น “โค้ชโต่ย”

 

ป.ล. ล้มแล้วควรลุก ยังมีนัดล้างแค้น อินเดีย ในเกมชิงที่ 3 จงเรียกสภาพจิตใจกลับมา!!!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด