:::     :::

คลื่นลูกใหม่ VS คลื่นลูกใหญ่

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
4,800
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ลิเวอร์พูลเจอบททดสอบครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อพวกเขาต้องมีโปรแกรมบิ๊กแมชต์ไปเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของสิงโตน้ำเงินครามเชลซีที่เต็มไปด้วยผู้เล่นพลังหนุ่มที่กำลังห้าวเหลือเกิน





2 คลื่นที่ต่างกัน

          แรกเริ่มเดิมที ก่อนเปิดฤดูกาลนี้ของเชลซีนั้น ดูจะค่อนข้างมีปัญหามากมายเหลือเกิน เมื่อพวเขาเสียตัวหลักสำคัญของทีมอย่าง เอเด็น อาซาร์ ไปให้กับรีล มาดริด แถมยังโดนโทษแบนห้ามซื้อนักเตะซ้ำไปเสียอีก และตามไปอีกระลอกกับการเปลี่ยนโค้ชที่มากประสบการณ์อย่างซาร์รี่ มาเป็นโค้ชหนุ่มไฟแรงอย่าง แฟรงค์แลมพาร์ด ทำให้พวกเขาเป็นที่จับตามองจากทุกๆ คนมากทีเดียว ว่าทิศทางของเชลซีนั้นจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะหลุดวงโคจรจาก Big 6 หรือเปล่า และที่น่าจับตามองกว่านั้นคือ กุนซือหนุ่มอย่างแลมพาร์ดจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร ซึ่งแลมพาร์ดนั้นก็เลือกที่จะให้โอกาสกับดาวรุ่งเด็กปั้นของทีม มากกว่าที่จะใช้ตัวประสบการณ์สูงในหลายๆ ตำแหน่งในทีมของเขาไปเลย ซึ่งต้องบอกว่าแลมพาร์ดนั้น “กล้า” และ “บ้าบิ่น” ได้ใจจริงๆ ยิ่งเขามาเปิดประเดิมฤดูกาลด้วยการแพ้แมนฯ ยูแบบถล่มทลายถึง 4-0 นั่นยิ่งทำให้เสียงวิจารย์กลับมาโจมตีเขาอย่างหนักหน่วงแต่แลมพ์ก็ยังยึดมั่นในแนวคิดของตัวเอง เขาดันเด็กในคาถาของเขาอย่าง  เมสัน เมาน์ท  และ แทมมี่ อับราฮัม รวมถึงกองหลังอย่าง  ฟิคาโย่ โทโมรี เป็นตัวหลักในทีมของเขาต่อไป จนเด็กๆ เหล่านี้มีความเชื่อมั่นและตอบแทนความเชื่อใจของแลมพ์ได้อย่างดีเยี่ยม เด็กๆ เหล่านี้โชว์ฟอร์มกันได้อย่างน่าประทับใจ และเล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจกันแทบทุกคน ถึงแม้ว่าผลงานของเชลซีนั้นจะยังไม่คงเส้นคงวามากเท่าไรแต่ต้องบอกว่านี่คือ “คลื่นลูกใหม่” ของพรีเมียร์ลีกที่น่าจับตามองมากทีเดียว





          ถ้าเปรียบเทียบว่าเชลซีคือคลื่นลูกใหม่นั้น ลิเวอร์พูลในตอนนี้ก็ต้องบอกว่าพวกเขาคือ “คลื่นยักษ่” ในเวลานี้อย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาสั่งสมพลังและฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมมาอย่างยาวนาน และเป็นทีมเดียวในตอนนี้ที่สามารถเก็บชัยชนะได้ 100% นำเป็นจ่าฝูงอยู่ในตอนนี้ และถึงแม้ว่าช่วงกลางสัปดาห์พวกเขาเพิ่งออกไปพ่ายนาโปลี ในเกมแชมป์เปี้ยนลีกส์ แต่นั่นก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรมากมายนัก เพราะในรายการนั้นยังมีเวลาให้พวกเขาแก้ตัวอีกเยอะ และในความเป็นจริงก็เป็นที่รู้กันอยู่ ว่าพวกเขานั้นให้ความสำคัญกับพรีเมียร์ลีกเป็นอันดับ 1 ก่อนอยู่แล้ว ลิเวอร์พูลในวันนี้นั้นมีพร้อมทุกอย่าง อาวุธของพวกเขาหลากหลาย เกมรุกและเกมรับอยู่ในระดับสุดยอด และในเกมนี้พวกเขาก็สมบูรณ์พร้อมกันแทบทุกต่ำแหน่งพร้อมแล้วที่จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างให้จมหายไปเพราะความแรงของคลื่นยักษ์ลูกนี้ไปเลย







ลูกสด VS ลูกเก๋า


          ก่อนเกมนี้หลายๆ คนคาดเดากันว่า นี่น่าจะเป็นโอกาสอันงานที่ลิเวอร์พูลจะมีโอกาสบุกมาคว้าชัยชนะในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไร และช่วงแรกๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นเมื่อลิเวอร์พูลใช้ความเก๋า และความเขี้ยวของพวกเขาขึ้นนำไปก่อนจากจังหวะยิงฟรีคิกที่เด็ดขาดของเทรนท์ อาโนลด์ ตั้งแต่เริ่มต้นเกมไปไม่ถึง 10 นาที และพอพวกเขาขึ้นนำก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเข้าทางพวกเขาไปเสียหมดจริงๆ เมื่อพวกเขาครองเกมได้แทบจะฝั่งเดียวจากความสับสน และอ่อนประสบการณ์ของนักเตะวัยรุ่นของเชลซีในช่วงแรก แต่เด็กๆ ของแลมพ์พาร์ดก็ไม่ปล่อยให้สถานการณ์นี้ตกอยู่นาน พวกเขาเริ่มตอบโต้ลิเวอร์พูลกลับได้อย่างน่ากลัวหลายต่อหลายครั้งและน่าจะตีเสมอได้แล้วจากการหลุดเดียวของแทมมี่ อับราฮัม แต่ก็พลาดไป และอีกจังหวะที่น่าเสียดายอย่างยิ่งจากลูกตีเสมอ 1-1 แต่ดันโดน VAR ริปประตูคืน จากจังหวะล้ำหน้าในจังหวะตอนเริ่มบุกของเมสัน เมาน์ท  ซึ่งตรงนี้ถึงไม่อยากจะซ้ำเติม แต่ก็ต้องว่ากันตรงๆ ว่า 2 จังหวะนี้มาจากการด้อยประสบการณ์ของทั้งคู่อย่างแท้จริง ถ้าพวกเขามีความเก๋าและนิ่งพอเชลซีก็น่าจะตีเสมอไปได้แล้วจาก 2 จังหวะที่กล่าวมา และยิ่งตอกย้ำความไม่นิ่งของพวกเขาอีกครั้งจากจังหวะที่ต่อเนื่องจากที่พวกเขาโดนยึดประตูคืน ทำให้สมาธิของพวกเขาหลุดลอยไปไหนก็ไม่ทราบได้ ทำให้พวกเขาเสียประตู 2-0 ไปแบบง่ายดายมากๆ จากจังหวะที่ฟิร์มิโน่ได้โขกเหน่งจากลูกฟรีคิกของโรเบิร์ตสัน ในครึ่งแรกนี้ทุกอย่างตกเป็นของลิเวอร์พูลไปหมดอย่างแท้จริง





เกมพลิก


          จริงๆ เกมนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นของลิเวอร์พูลอย่างง่ายดายไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้นเมื่อพลพรรคพลังหนุ่มของเชลซี เกิดลูกฮึดขึ้นมาไล่บดบี้และเปิดเกมรุกใส่ลิเวอร์พูลจนเป๋ไปเป๋มาหลายครั้ง ตรงนี้อาจจะเป็นความได้เปรียบของความสดใหม่ของนักเตะเชลซี ที่มีพลังค่อนข้างเหลือเฟือมากกว่านักเตะลิเวอร์พูล ที่ค่อนข้างกรำงานหนักมาติดๆ กันมาตลอดตั้งแต่ต้นฤดูกาล และดูเหมือนว่ามันจะส่งผลให้เห็นในเกมนี้ค่อนข้างชัดเจนเหมือนกัน  ผมจำไม่ได้เลยว่าลิเวอร์พูลโดนกดอยู่ฝั่งเดียวจนเปอร์เซนต์ครองบอลน้อยถึงระดับ 20% กว่าๆ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นตอนไหน  แต่เชลซีทำให้เราเห็นกันแล้วในเกมนี้ เมื่อพวกเขาบดบี้ลิเวอร์พูลอยู่ฝั่งเดียวในครึ่งหลังและยิ่งพวกเขาได้ประตูตีไข่แตกจากความยอดเยี่ยมของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ก็ยิ่งทำให้พวกเขาคึกคักและบดลิเวอร์พูลเพื่อเอาประตูตีเสมอแทบจะทั้งเกมเลยทีเดียว จนลิเวอร์พูลต้องงัดลูกเก๋าออกมาใช้แทบจะทุกวิธี ไม่ว่าจะเป็นการตัดเกม  ถ่วงเวลา  หรือแม้แต่การเปลี่ยนตัวเพื่อฆ่าเวลา เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ไปให้ได้





กำไร 2 แต้ม


          ในวันนี้นั้นลิเวอร์พูลหวุดหวิดที่จะโดนตีเสมอหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายพวกเขาก็เก็บ 3 แต้มเต็มมาได้ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้กำไรจากผลการแข่งขันเกมนี้ถึง 2 แต้มเลยทีเดียว สิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนจากในเกมนี้คือ ลิเวอร์พูลนั้นเติบโตขึ้นจากเดิมเยอะมากๆ และพวกเขารู้ดีว่าอะไรสำคัญที่สุดในเกมใหญ่ๆ แบบนี้ พวกเขาอดทนและรู้จักฉกฉวยความได้เปรียบในทุกๆ สถานการณ์ในเกมนี้ และมีความนิ่งมากพอที่จะประคองตัวใหม่รอดพ้นจากเกมยากๆ แบบนี้ไปได้อีกครั้ง พวกเขาอาจจะไม่ใช่ซุปเปอร์ทีม ที่พร้อมจะยิงประตูคู่แข่งถล่มทลายอย่างแมนฯซิตี้ แต่ในวันนี้พวกเขารู้ดีว่าพวกเขามีดีอย่างไร และต้องเล่นแบบไหนถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดและได้ผลลัพพ์ที่ต้องการมา

    ทีมเชลซีชุดนี้มีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่นอนครับ เพียงแต่วันนี้คลื่นลูกใหม่อย่างพวกเขา แรงไม่พอที่จะล้มคลื่นยักษ์ที่ ณ ตอนนี้มันเกินกำลังของพวกเขาไป ก็เท่านั้น


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด