:::     :::

Feelin' & Fact

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,530
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
บางครั้งคำพูดของอดีตคนรัก และคำทักจากศัตรู อาจจะดูทิ่มแทงและเจ็บปวด แต่มันอาจจะดีกว่ายาหวาน ที่ทานเข้าไปยังไงก็ไม่หายจากโรค

หลังจากเกมนัดแดงเดือดที่ผ่านมาจบลงด้วยสกอร์ 1 ประตูต่อ 1 หากมองตื้นๆเฉพาะผลของการแข่งขันแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ได้ถึงกับแย่มากนัก เพราะก่อนแข่งจริงๆแล้วหลายสำนัก รวมถึงทั้งคอลัมน์นี้ด้วยก็ยังทายทักเอาไว้ว่ามีโอกาสแพ้เกินครึ่ง ผู้เขียนทายเอาไว้ว่าจะโดนคาบ้าน 0-1 ด้วยซ้ำ เราไม่เคยมองผลการแข่งขันแบบเพ้อฝันในลักษณะที่ "ไม่มองความเป็นจริง"แต่อย่างใด เพราะรู้สภาพทีมตัวเองดีจากการนั่งดูทีมแข่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกๆอาทิตย์

ดังนั้นถามว่า การเสมอ 1-1 ทำไมจึงมีอะไรที่น่าก่นด่าหรือไม่พอใจกันอีกในเมื่อก่อนเกมมันแทบจะเป็นภารกิจที่สิ้นหวังอยู่แล้ว? เรื่องผลการแข่ง มันไม่ได้น่าเสียใจ และหลายคนอาจจะใช้คำว่าเสียดาย แต่ผมก็คิดว่ามันไม่ได้รู้สึกน่าเสียดายแต่ประการใด

สิ่งที่สำคัญมากกว่า "ความรู้สึก" พวกนั้นประเภทว่า เสียใจ เสียดาย แค้น ฯลฯ มันไม่ได้มีค่าอะไรเลยในทางปฏิบัติจริง สิ่งที่สำคัญกว่าFeelingพวกนั้น มันคือ "Fact" ต่างหากไม่ว่าจะมาจากปากใคร


เกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดแมนยูไนเต็ดเปิดหัวครึ่งแรกมาได้อย่างดีงาม ทั้งเกมเพรสซิ่งที่ดุดัน เข้าทุกดอก และสู้ทุกลูก บีบพื้นที่การเล่นของลิเวอร์พูลไม่ให้เปิดเกมรุกอยู่ฝ่ายเดียวถนัดมากนัก จนกระทั่งในที่สุดเกมชิงไหวชิงพริบมันก็หันเข็มแห่งจินตนาการของชัยชนะมาฝั่งเราก่อนเมื่อเกมรับสามารถชิงบอลกลับมาเล่นเกมเค้าเตอร์แอทแท็คอย่างที่เราถนัดและมีตัวนักเตะที่เหมาะกับสูตรนี้ถึงสองคนในสนาม

นั่นก็คือสองคนที่มีส่วนร่วมกับเกมนั่นแหละ


บอลถูกพาพุ่งทะยานขึ้นมาแดนหน้าจากกราบขวาอย่างรวดเร็วก่อนที่ แดเนียลเจมส์ จะเปิดไปยังจุดนัดพบให้กับแรชฟอร์ดที่วันนี้อยู่ในตำแหน่งที่ถูก และจบสกอร์ไปได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าบอลมันจะไม่ได้หนีตัวผู้รักษาประตูก็เถอะ แต่การเข้าชาร์จและพาให้ลูกเข้าประตูไปยังไงก็ได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเพียงพอมากๆแล้วสำหรับนักเตะตำแหน่งกองหน้าผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการยิงประตู

จะเห็นได้ว่ารูปแบบมันชัดมากกับการเล่นลักษณะนี้ โดยมีการปรับเปลี่ยนจาก 4-2-3-1 ที่ชอบใช้เหลือเกินอยู่ทุกนัดมาเป็น 3-4-3 ตามทรงที่พวกเราเห็นในเกม ด้วยสามเซ็นเตอร์แบ็คที่จริงๆแล้วการเจ็บตอนซ้อมของตวนเซเบ้มันแค่ส่งผลในเรื่องของตัวนักเตะที่จะส่งลงในแจกันformationของทีมเท่านั้น ในเมื่อRojoลงได้ นั่นก็คือความคงที่ของแผนการเล่นที่เซ็ตมาแล้ว มันจึงไม่ใช่ผลของการขาดตวนเซเบ้ไปแต่อย่างใด เพราะหน้างานเราไม่มีทางรู้ได้ว่าบอลจะพลาดหลุดมาจังหวะไหนตอนไหนบ้าง


สูตรของครึ่งแรก เป็นสิ่งที่ดีที่ต้องชมทีมงานว่าเตรียมการมาดี และกระตุ้นให้เด็กเล่นตามคำสั่งและpassionของตัวนักเตะเอง ในบรรดา11คนผมแทบจะไม่ได้บ่นหรือก่นด่าใครเลยในครึ่งแรก แม้กระทั่งตัวที่โดนบ่อยจัดๆอย่างแอชลีย์ ยังนั้น บางจังหวะหากมองลึกๆลงไปในดีเทลของaction วิธีคิดและตัดสินใจในช็อตเล็กๆของเขา  ผมยังมองเห็นเลยว่า แอชลีย์ ยังเมื่อคืนนั้นนำเอาประสบการณ์ของนักเตะมีอายุ มาใช้เลือกเพลย์การเล่นที่ดี

สูตรหลังสามและนักเตะอีก7คนด้านหน้าประคองพื้นที่และบีบสูงเอาไว้ การดันขึ้นมาของแผงไลน์หลังสุดจนแย่งบอลได้และไม่ฟาล์ว จากสายตาชัดๆของกรรมการ แถมพ่วงให้ด้วยVARซ้ำอีก ก็ยังไม่ฟาล์วอยู่ดี อันนี้ฝากไปถึงเหล่าแฟนบอลทีมอื่นที่ยังคงยืนยันเม้นว่า "มันฟ๊าล์วววววนะจารย์"  ให้ได้นั้น ต้องยอมรับคำตัดสินจากการที่ทบทวนซ้ำซ้อน(แบบไม่จำเป็นด้วยซ้ำ เพราะเชิ้ตดำก็เห็นชัดตั้งแต่แรกแล้ว)


ดังนั้นเราเห็นได้ชัดว่า สูตรการยืน และ การสั่งแผน ของทีมโค้ช มันชัดเจนมากๆว่ามีวิธีการอย่างไร และสำคัญแค่ไหน แต่ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้ก็กลับยิ่งยืนยันให้ได้รู้ว่า คำอ้างที่ว่าตัวนักเตะไม่มีเปลี่ยน ทรัพยากรนักเตะมีน้อยนั้น มันสามารถทดแทน แก้ไข และปรับเปลี่ยนด้วยเรื่องของ "สูตรการยืน และ การสั่งแผน" อันเดียวกันนี่แหละ 

ซึ่งมันก็คือเรื่องของแทคติกนั่นเอง

แทคติกไม่ได้แปลว่า เราจำเป็นต้องมีนักเตะตัวเปลี่ยนเกมนั่งอยู่ม้านั่งสำรองเพื่อรอลงมาปล่อยทีเด็ด เหมือนแมนยูยุคก่อนที่เรามีโอเล่ สุดยอดซุปเปอร์ซับในมือที่พร้อมลงมาเปลี่ยนกระแสของเกมอยู่เสมอ หรือเราอาจจะไม่ได้มีตัวระดับพระกาฬที่รอสลับเปลี่ยนลงมาเล่นกับเพื่อน  เรื่องของแทคติกไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น

เมื่อเราหันไปมองฝั่งตรงข้าม สิ่งที่เจอเก้น คลอปป์ทำ กลับกลายเป็นสิ่งที่สอนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเองเสียอีกว่า การคุมทีมที่ดีและมีประสิทธิภาพมันต้องทำยังไง

เจอเก้นคลอปป์ไม่ได้ใช้นักเตะเทวดาที่ไหนเลยลงมาเปลี่ยนเกม เขาก็ใช้ตัวสำรองที่ไม่ได้อยู่ในไลน์อัพหลักของทีมนี่แหละลงมาเล่นในสนาม เพราะฟอร์มของแชมเบอร์เลนตอนที่ยังไม่ฟิตมันก็ไม่ได้ลงมาแล้วเป็นคีย์แมนพลิกเกมอะไรขนาดนั้น

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและมันขยับกระแสเกมก็คือตัวที่ไม่ใช่คีย์แมนแบบนี้แหละลงมา และมันคือเรื่องของแทคติกล้วนๆ

หมากดิว็อค โอริกี้ กับ แชมเบอร์เลน คือตารุกฆาตแมนยูไนเต็ดแบบที่คนเดินหมากฝั่งเรายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ

หมากตาเดียว ตัวเดียว กดนักเตะแมนยูลงต่ำไปทั้งหมด9ตัว

สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมคือการเติมขึ้นมาตรงกลางของดิอ๊อก และในเกมที่มันเริ่มตีกระแสไปทางทีมเยือนมากขึ้นเรื่อยๆ การเล่นแบบปอดแหกด้วยการสั่งเด็กๆลงต่ำและเปิดพื้นที่มากขึ้น โดยยึดร่างทรงเดิมที่มีวิงนั่นแหละแต่ถอยต่ำลงไปยืนเป็นแบ็คจริงด้วยการมีหลัง5คนไปกองกันอยู่แบบนั้น + การดันกลางขึ้นมาของตัวเปลี่ยนอย่างอ๊อก

"ทำให้แผงรับของเรา5ตัว ถูกกดต่ำลงไปทั้งไลน์อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ด้วยการเปลี่ยนตัวเพียงครั้งเดียว"

มันชัดเจนมากว่าในครึ่งหลังเราไม่ได้ทำแบบเดิม จริงๆแล้วเราฆ่าตัวเองด้วยซ้ำที่คิดจะเล่นเกมรับ และจ้องแต่จะรอโอกาสสวนกลับอย่างเดียว

ใช่ "ในมุมมองของทีมเล็ก" การที่ด้อยกว่าแล้วหาโอกาสสวนกลับเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่นั่นก็แปลว่าสภาพจิตใจของการเล่นในครึ่งหลังมันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทั้งๆที่ทรงของหลังสาม มันก็อยู่เหมือนเดิมแหละ แต่เป็นหลังสามที่กางปีกบุกโดยดันนักเตะขึ้นหน้าทุกทิศทาง มันจึงเต็มพื้นที่ในครึ่งแรก

การใช้พื้นที่ของแมนยู ครึ่งแรกครึ่งหลัง ต่างกันโดยสิ้นเชิง

บีบ+บวก+บด จนไม่เหลือพื้นที่เล่น

ดังนั้น การแก้เกมอย่างชัดเจนของคล็อปป์  และบวกกับ "การไม่แก้เกมเพิ่มหลังจากถูกแก้แทคติก" ของโอเล่นั้น จึงทำให้เรากลายเป็นทีมที่พยายามแพ็คเกมรับลูกเดียวชนิดที่เรียกว่า รอโดน และเปิดพื้นที่ให้เค้าเล่นอย่างอิสระ

ซึ่งที่เขียนไปด้านบน นั่นแหละคือความต่างของการ "ใช้พื้นที่" ซึ่งตรงนี้มันคือความเฟลของแทคติกที่ฆ่าตัวตายจริงที่ปล่อยให้เขามีspaceในการเล่นเยอะมากจนกระทั่งผลงานของแบ็คสองฝั่งที่ตอนแรกถูกกดเอาไว้ กลับกลายเป็นสยายปีกขึ้นมาขยี้เราซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเสียประตู  ลูกที่เสียประตูคือความผิดพลาดของกองหลังก็จริง แต่ต้นทางมันคือ ความพ่ายแพ้ทางด้านแทคติกของฝั่งผู้จัดการทีมต่างหาก

นอกจากจะทำตัวเองด้วยการลงไปเล่นเกมบุก สูตรสามCBเดิมจึงกลายเป็น 5-4-1 ที่ตัวรุกอะไรก็ลงต่ำมาหมดแล้วห้อยหน้าไว้ตัวเดียวแบบ "โคตรไม่มีประโยชน์" แบบนี้ประจำ  คือพวกพี่จะเล่นเกมสวนกลับกัน แต่ทิ้งกองหน้าไว้ตัวเดียวแบบนี้ มันเป็นแทคติกอนุบาลที่เราเห็นบ่อยๆตอนเจอทีมเล็กๆแล้วพวกเขาก็ชอบใช้แบบนี้แหละ คือห้อยไว้ตัวเดียวสูงๆ

สุดท้ายก็ทำอะไรเราไม่ได้

ในเพจเฟซบุคตอนที่ยิงประตูนำ ด้วยความเป็นแฟนผี ผู้เขียนก็สะใจและแสนจะเกลียดแอ็คชั่นของเจอเก้นคลอปป์ซะเหลือเกิน จึงอัพโพสต์อย่างดุเดือด แต่เหมือนของจะเข้าตัว เมื่อท้ายเกม สิ่งที่JKสัมภาษณ์ กลับเป็นสิ่งที่ถูกใจและตรงใจกับผมเสียยิ่งกว่าคำพูดปลอมๆของทางฝั่งตัวเองเสียอีก

คลอปป์พูดถึงเรื่องของ Fact


และในภาพความเป็นจริงก็คือ เราพยายามแต่จะเล่นป้องกันอย่างเดียวจริงๆ(แบบไม่คิดจะทำอย่างอื่น ไม่ใช่การป้องกันแบบหาจังหวะ) และแม่งเป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ไอ้ประเภทพยายามรับ แล้วรอโดน  จนสุดท้ายลักษณะนี้แหละ "รอโดนสไตล์" ที่ว่าทำเราตกรอบถ้วยสำคัญๆมานักต่อนักแล้วหลายปี ดังนั้นพีเรียดสามปีที่คล็อปป์ว่า มันโคตรจะจริงเลย

นอกจากนี้ คำวิพากษ์หรือให้สัมภาษณ์อื่นๆ จากคนอื่นก็ยังมีอยู่และน่ารับฟังเช่นกัน ในกรณีของมูรินโญ่ พูดถึงFactในมุมตรงข้ามเหมือนกันว่า สาเหตุที่JKหงุดหงิดในใจนั้น ส่วนหนึ่งก็คือเวลาที่เจอพวกแพ็คเกมรับหนาๆแบบนี้เขามักจะเกิดอาการทุกที นั่นก็คือเคสเวลาเจอแมนยูในหลายๆครั้งย้อนหลังไปนั่นแหละ คล็อปป์จึงผูกใจและหยิบยกมาพูดในวันนี้ด้วยเช่นกัน

ทั้งJKและMou ก็พูดในเรื่องเดียวกันนั่นก็คือ Factของสิ่งที่แมนยูเป็น มันคือการตั้งรับนั่นล่ะ (น้ามูเองก็ทำเหมือนกัน :D )

เมื่อJKที่แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าด้านแทคติก จัดการแก้ไขปรับเกมดอกแรกไปแล้ว การเปลี่ยนเอาสำรองที่สดกว่าลงมาต่อเนื่องอย่างทันท่วงที คือความเร็วในไหวพริบของการเทคแอคชั่นช็อตต่อๆไปแบบไม่รอช้า

และไม่ต้องรอให้ถึง10นาทีสุดท้ายแล้วค่อยเปลี่ยนตัวแบบไม่ได้อะไรเหมือนอย่างโอเล่ที่ทำในทุกๆนัดรวมถึงนัดสำคัญนัดนี้


ลัลลาน่าที่เรื้อสนามไปยังไงก็ยังมีเซนส์ของตัวรุกอยู่ และลงมาแทนตัวที่ใช้งานหนักตลอดเกมอย่างเฮนโด้ไปแล้ว ก่อนที่แมนยูจะได้ขยับตัว พวกเขาเปลี่ยนครบสามคนทันทีเมื่อเกอิต้าลงแทนดุม และก็นั่นแหละ เมื่อเขาทำให้กลางมันแน่นขึ้น และดันแผงรับของเราลงต่ำจนเปิดพื้นที่ด้านข้างไปด้วย จึงถูกจู่โจมซ้ำๆจนทีมงานหลังสามพลาดจนได้ในที่สุดจากประตูตีเสมอของลัลลาน่า ซึ่งก็เพียงแค่นาทีเดียวที่ทีมเราเปลี่ยนตัวครั้งแรกในนาที84 หลังจากที่คล็อปป์แก้เกมจนแทบจะหมดทุกอาวุธที่มีแล้ว เรายังคงปล่อยให้ทีมโดนบุกกดยาวๆเหมือนเดิมจนโมเมนตัมเละเทะ แถมท้ายด้วยการเปลี่ยนตัวตามตำแหน่งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยกับแรชฟอร์ด-มาร์กซิยาล ที่ได้แค่เรื่องความสดของพลังงานอย่างเดียว

สุดท้าย จบเกมเสมอ 1-1 ในแบบที่น่าฉงนและสงสัยว่า ทีมงานเรามีเอาไว้ทำไมข้างสนาม ในเมื่อถูกแก้เกมรัวๆเช่นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แมนยูไนเต็ดนิ่งยาวจนนาทีท้าย ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแทคติกรับมืออะไรเลย กลับส่งตัวลงมาแทนตำแหน่งกันเฉยๆเท่านั้นเอง

หลายคนอาจจะคิดว่า เอ้า แล้วให้โอเล่มันแก้ไขอะไรวะ ดูม้านั่งสำรองดิ๊ มีใครให้ใช้บ้าง

เมสัน กรีนวู้ดที่ว่าคมๆนี่ใช้งานไม่ได้? มาร์กซิยาลถ้ามีชื่อก็แปลว่าพร้อมลง มาต้าไม่ใช่นักเตะที่มีประสบการณ์?

คำตอบคือ พวกนี้ใช้การได้ทั้งนั้นหากกำชับแผนวิธีการเล่นดีๆ ทุกคนมีประโยชน์ถ้าได้ใช้สองตีนของพวกเขาในการเล่นอย่างถูกต้อง

สิ่งที่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้ก็คือ ในเมื่อคุณยังส่งเด็กอย่างวิลเลียมส์ลงไปได้ ทำไมเมสันกรีนวู้ด มาต้า จึงไม่ถูกใช้งาน และการใช้งานนักเตะพวกนี้นั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ลงไปทำอะไรได้แต่อย่างเดิมๆด้วยซ้ำ  พวกเขาสามารถลงไปอีกตำแหน่งหนึ่ง เพื่อที่จะ "ขยับนักเตะในสนามคนเดิม" ไปสู่อีกตำแหน่งหนึ่ง อีกหน้าที่นึงได้ และนั่นก็คือแทคติก


สิ่งที่ผมพยายามจะพูดคือ เรื่องของทรัพยากรนักเตะ อันนี้จริงอยู่ว่า เราขาดตัวดีๆจริงๆ มีก็มีแต่เด็กน้อย กองกลางดีๆก็ไม่มีมากไปกว่าตัวในสนามแล้ว เป็นปัญหาของทางบอร์ดและการซื้อขาย

แต่ว่าคำถามคือ ถ้าโอเล่ชื่นชอบในการไม่เปลี่ยนตัว และให้นักเตะที่มีอยู่ในสนามให้คงฟอร์มการเล่น และรักษาโมเมนตัมเอาไว้  ทำไมเกมโดนบุกกดขนาดนั้น ถึงไม่ยอมทำอะไรให้มันมีการเปลี่ยนแปลงกระแสเกมบ้าง ปล่อยให้โดนขยี้อยู่ข้างเดียว

อย่าอ้างว่า เพราะทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่ในความจริงคุณยังทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ เช่น ปรับขยับตำแหน่งนักเตะ 11 คนเดิมที่ว่านั่นแหละ ปรับตำแหน่งการยืน ปรับพื้นที่การรับผิดชอบ และปรับเรื่องของการบีบพื้นที่ เข้าบอล ไล่บอล

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ครึ่งหลังคุณฆ่าตัวตายเอง และปล่อยให้ทีมเล่นรอโดนด้วยการถอนลงลึก ลงไปตั้งโซนแทนที่จะระวังการเปิดพื้นที่ให้เขาเล่นแบบนั้น   .. อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องเล่นเพรสซิ่งตลอด90นาทีก็ได้ มันเหนื่อย และมันบ้าเกินความจำเป็น  ขนาดว่าทีมที่ขึ้นชื่อๆอย่างลิพู เค้ายังไม่เพรสตลอด90นาทีเลย มันไร้สาระ


แต่เรื่องของการไม่เปิดพื้นที่ให้ศัตรูเล่นง่ายๆนั้น มันไม่ได้ทำได้แต่เรื่องของการเพรสซิ่งสูงอย่างเดียว

ตำแหน่งการยืนที่ไม่ลงต่ำ การรักษาพื้นที่ การซ้อนกันของตัวใกล้ ฯลฯ มีมากมายที่เราสามารถปิดพื้นที่ลิเวอร์พูลไม่ให้ดันสูงหรือได้เล่นง่ายๆจากด้านข้างเช่นนี้ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเพรสซิ่งให้เหนื่อยตลอด90นาที

จากทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทั้งFormationการยืนที่คุณก็ปรับเปลี่ยนได้ (ก็ทำเองด้วยซ้ำอย่างครึ่งหลังที่เล่นหลัง5)  การกำชับแผน  กำชับวิธีการเล่นเช่น บีบเร็ว  ยืนรอดัก คุมพื้นที่ / เวลาตัดบอลได้ ให้นักเตะบางคนทำยังไง  เติมขึ้น หรือไม่เติม  เพื่อนแดนหน้ารอวิ่งที่ตำแหน่งไหน ฯลฯ ทุกอย่างมันสามารถปรับ ขยับให้กับนักเตะในสนามได้ทันทีด้วยการมาสั่งแผนจากข้างสนาม หรือจะเป็นโน้ตสั้นๆแผ่นเล็กๆอย่างที่ทำ นั่นก็ใช้ได้เหมือนกัน  ทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขเพื่อรับมือเกมของคู่ต่อสู้ได้อีกเยอะ "โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัว" ด้วยซ้ำสำหรับคำอ้างเรื่องเราไม่มีตัวใช้ นักเตะหลักเจ็บ ทีมไม่พร้อม ทรัพยากรน้อย ในเมื่อเรื่องของแทคติกไม่ได้ทำได้ด้วยการแค่เปลี่ยนตัวอย่างเดียว

และแถมยังไม่ยอมเปลี่ยนตัวข้างสนามลงมาใช้อีกทั้งๆที่มันปรับใช้ลงไปสู้ได้


ดอกนี้ดอกเดียวผมก็จุกแล้วที่เห็นผู้จัดการทีมปล่อยให้ทีมโดนบุกกด รอโดนยิงเฉยๆแบบนี้จนกระทั่งเสียประตูในที่สุด นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ว่า  ถ้าหาก"คุณ" คิดว่า "การเปลี่ยนตัวมันจำเป็น" และเรามี"ทรัพยากรไม่เพียงพอ"นั้น  คำถามก็คือ ทำไมโอเล่ไม่ทำอะไรเลย รอให้กระทั่งนาที 84 แบบที่กระแสเกมมันเปลี่ยนจากครึ่งแรกแบบ หน้ามือหลังตีนขนาดนี้  จนจะหมดเวลา เหลือแค่6นาที แล้วค่อยเปลี่ยนตัวคนแรก (แถมไม่ได้เปลี่ยนสูตรการเล่นด้วย แค่แทนตำแหน่ง)

การเปลี่ยนตัวของโอเล่ ทำได้แค่การแทนตำแหน่งเช่นนี้ประจำแทบทุกนัด สังเกตอยู่ตลอด เขาทำแค่นี้จริงๆ..

ทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไม"แฟนผีบางส่วน" อย่างที่"แฟนผีบางท่าน"เข้าใจว่า  ได้ผลเสมอแล้วยังไม่พอใจเหรอ ทีมก็ด้อยกว่า เสมอได้ก็ดีแล้ว

ผมบอกอีกครั้ง ว่าผมเองก็ยังคิดว่าเราจะต้องแพ้คาบ้านด้วยซ้ำ การเสมอจึงไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก


แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่า คือการที่ไม่มีกึ๋นในการแก้เกมอะไรเลย เวลาที่เจอคู่ต่อสู้เล่นงานเราขนาดนี้ แต่กลับไม่มีวิธีอะไรเอาไปเค้าเตอร์คืนเขาได้เลยเพื่อไม่ให้ทีมเสียเปรียบเกินไป  จบเกมด้วยเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบทุเรศทุรัง ก็น่าจะแสดงให้เห็นแล้วว่า เราปล่อยให้เขาบุกยับ พับสนามขยี้มากขนาดไหน และบอลประเภทนี้มันไม่ได้น่าภูมิใจเลยแม้แต่น้อยที่ยันเสมอจ่าฝูงเอาไว้ได้

ที่หลายคนไม่พอใจ เขาไม่ได้ไม่พอใจที่เราไม่ชนะ แต่เขาไม่พอใจ เพราะปล่อยให้โดนแก้เกมจนเสียเปรียบหนัก จากที่ครึ่งแรกทำมาดีๆ ทุกอย่างเจ๊งหมด และไม่คิดจะแก้ไขอะไรเลยต่างหาก การถอยลงต่ำเล่นเกมรับจากการอ่อนด้อยเรื่องแทคติกจนหลายคนบอกว่า นี่แหละก็แก้เกม (3-4-3 >> 5-4-1) แต่แก้แล้วเจ๊งเองนั้น

แบบนี้ไม่เรียกแก้เกม แบบนี้เรียกว่า ฆ่าตัวตาย


สุดท้าย ผมรู้สึกสะอึกของมูอีกครั้ง เรื่องของการคุมทีมแบบที่พูดและสนใจแต่เป้าหมายระยะยาว พูดถึงแต่อนาคตอยู่อย่างเดียว จากทั้งผู้จัดการทีม และจากบอร์ดบริหาร ..

สนใจอนาคตเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณจะไม่สนใจปัจจุบันแบบนี้จนกระทั่งตกลงมาอยู่เหนือโซนตกชั้น2คะแนน มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ผลเสมอที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้น่าเสียใจ ไม่ได้น่าเสียดายอะไร แต่มันสะท้อนถึง "การไร้อนาคต" ของทีมโค้ชที่ไม่มีชั้นเชิงในการคุมทีม และปรับเปลี่ยนแทคติกแก้สถานการณ์ต่างหาก

นั่นแหละที่จะทำให้เราไม่มีอนาคต ในแผนการระยะยาวที่พวกคุณพล่ามถึงอยู่อย่างเดียวโดยไม่สนใจว่า ปัจจุบันเรากำลังจะตายแล้ว

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด