:::     :::

"ตำนานที่ถูกจดจำตลอดไป" Harry Gregg ฮีโร่ที่มีตัวตนจริงอยู่บนโลก

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
3,282
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ไว้อาลัยครั้งสุดท้ายแก่การเชิดชูเกียรติในฐานะฮีโร่ผู้สร้างประวัติศาสตร์แมนยูไนเต็ด กับการเสียชีวิตของอดีตผู้รักษาประตู Harry Gregg ในวัย87ปี

เรื่องราวทั้งหมดที่แฮรี่เคยได้ทำไว้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้นเป็นเรื่องราวที่จะต้องถูกยกย่องไปตลอดไม่มีลืมเลือน ความรักที่เขาได้รับจากแฟนบอลของเราในทุกๆเจเนอเรชั่นนั้นมากมายมหาศาลจริงๆ ถึงแม้เรื่องราวจะถูกเล่ามาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่จากนี้มันจะไม่มีเขาอีกแล้ว

คำที่จะบอกเล่าได้อย่างสั้นที่สุดก็คือ เขาคือหนึ่งตำนานบนหน้าประวัติศาสตร์ของยูไนเต็ด ชื่อของเขาจะถูกจดจำอีกนานแสนนาน  เรื่องในสนามและนอกสนามทั้งหมดจะถูกจดจำและเคารพตลอดกาล


ชายผู้รอดชีวิตจากเหตุโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่มิวนิคในเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ.1958 การกระทำของGreggในวันอันแสนโหดร้ายวันนั้นเป็นดั่งมรดกของความกล้าหาญและจิตวิญญาณฮีโร่ในฐานะมนุษย์ หลังจากที่รอดออกมาจากเหตุการณ์เครื่องตกกระแทกพื้น โดยเจ็บเพียงแค่เลือดกำเดาออกจมูกเท่านั้น แทนที่จะหนีเอาตัวรอด แต่เขากลับย้อนไปที่ซากเครื่องบินเพื่อที่จะช่วยผู้คนที่ติดอยู่ข้างในให้ออกมา เขาได้ช่วยเด็กอายุ1ขวบ8เดือนออกมา, ช่วยผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อยู่ และพยายามช่วยชีวิตของแมทท์ บัสบี้

สิ่งที่เขาทำวันนั้นมันไม่แตกต่างอะไรกับคาแรคเตอร์จริงๆของเขาเลย ตัวจริงก็เป็นแบบนั้น เขาเป็นคนหัวดื้อโผงผาง ชอบสั่งการและก็ทำให้ชาวบ้านหงุดหงิดเล็กน้อย ซึ่งบุคลิกที่กล้าหาญและดูทรงพลังแบบนี้แหละที่ทำให้บัสบี้ต้องยอมควักเงิน 23,000 ปอนด์ในเดือนธันวาคมปี1957กระชากตัวเขามาซึ่งเป็น "สถิติโลกโกลค่าตัวแพงที่สุดในยุคนั้น" เลยทีเดียว


เหตุเครื่องบินตกที่มิวนิคนั้นเป็นช่วงเวลาเพียงแค่สามเดือนหลังจากที่Greggเซ็นสัญญาเข้าทีมมา หลังจากนั้นเมื่อรอดพ้นมาเขาก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยJimmy Murphy และได้เข้าไปถึงรอบชิงFA Cup หลังจากเรื่องนั้นในสามเดือนถัดมา ถึงแม้ยูไนเต็ดจะพ่ายแพ้ไปแต่พวกเขาก็ยังเป็นฮีโร่อยู่ดี กับการที่Greggได้รับการแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียอย่างสุดซึ้ง เมื่อเขาถูกกองหน้าของBolton Wanderers ที่เป็นตำนานอีกคนอย่าง Nat Lofthouse ยิงทำประตูได้ แต่ทุกคนก็ยืนแสดงความเคารพให้กับเขาที่เสียประตู ซึ่งเหรียญรองแชมป์ในครั้งนั้นก็เป็นสิ่งเดียวที่ประดับเส้นทางในฐานะนักฟุตบอลของเขาในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด

ในทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ เขาถูกโหวตให้เป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกปี 1958ที่สวีเดน ซึ่งทีมชาติของเขาก็เข้าถึงรอบแปดทีมสุดท้าย และเขายังคงเป็นมือหนึ่งของแมนยูไนเต็ดต่อมาอีก4ปีเต็มจนกระทั่งอาการบาดเจ็บที่ไหล่มันจะกำเริบขึ้นเรื่อยๆและทำให้เขาไม่สามารถลงสนามในFA Cupรอบชิงปี 1963ได้ซึ่งอาการนี้มันทำให้อาชีพนักฟุตบอลของเขาเผชิญปัญหาจริงๆ


แพทย์ได้ลงความเห็นว่าเขาน่าจะลงเล่นไม่ได้อีกต่อไป แต่สุดท้ายแล้วเมื่อการผ่าตัดใหญ่สำเร็จ เขาก็คัมแบ็คมาอีกครั้งในเกมเจอกับเบนฟิก้าที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในอีก7เดือนต่อมา

ในที่สุดอาการบาดเจ็บก็ค่อยๆบั่นทอนอาชีพนักกีฬาของเขา ในเดือนธันวาคมปี1966 Greggย้ายไปอยู่กับ Stoke Cityในฐานะนักเตะและโค้ช เขาได้ลงเล่นให้ทีมช่างปั้นหม้อสโต๊คเพียงแค่สองครั้งเท่านั้นก่อนที่จะขึ้นไปบริหารอย่างเดียวเต็มตัว และได้ไปคุมทีมShrewsbury Town, Swansea City และก็ Crewe Alexandra ในภายหลัง

หลังจากนั้นยังได้ย้ายไปยูคูเวตในฐานะ นักเตะและโค้ชอีกครั้งที่ Kitan Sports Club ซึ่งสุดท้ายแล้ว Gregg ได้กลับมาโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้งในฐานะ โค้ชผู้รักษาประตูในอีกราวสิบปีให้หลังใน 1978 ซึ่งเขาได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่อีก3ปี

Harry Gregg ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษสองครั้ง ในเดือนมิถุนายนปี1995 เขาได้รับเครื่องราชฯ ลำดับชั้น MBE (Member of the Most Excellent Order of the British Empire) ที่จะมอบให้แก่บุคคลผู้ทำคุณงามความดี (ซึ่งในชั้นของMBEก็จะมีหลายๆคนที่เรารู้จักที่เคยได้รับ อย่างเช่น จอห์น เลนน่อน แกรี่ สปีด พอล แม็คคาร์ทนีย์ เป็นต้น) และหลังจากนั้นเมื่อปีที่แล้ว 2019 เกร็กก์ก็ได้รับเครื่องราชฯชั้น OBE ในที่สุด (เดวิด เบ็คแฮม / กิ๊กส์ / เวงเกอร์ / รอนนี่ โอซุลลิแวน ส่วนระดับเซอร์ทั้งสามของเราอย่าง เซอร์แม็ตต์ เซอร์บ็อบบี้ เซอร์อเล็กซ์นั้นอยู่ระดับ CBE ขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นซึ่งสูงมากแล้วสำหรับคนธรรมดา)


ในปี 2012 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้นำเอาแมนยูไนเต็ดชุดฟูลทีมที่แข็งแกร่งและดีที่สุดไปที่Belfast เพื่อที่จะเล่นเทสติโมเนียลแมตช์กับรวมดาราไอริชลีก ให้กับชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างGregg ซึ่งได้รับการจัดงานนี้ให้ขณะที่เขาอายุ 79ปี ซึ่งก่อนที่จะมีงานสำคัญครั้งนั้น เซอร์อเล็กซ์ได้กล่าวยกย่องคารวะแฮรี่เป็นการส่วนตัวว่า "เราควรที่จะทำการแสดงความเคารพเป็นอย่างสูงต่อบุคคลผู้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา และแฮรี่คือหนึ่งในคนสำคัญนั้น เขาแสดงความกล้าหาญอย่างมากมายในเหตุการณ์โศกนาฏกรรรมที่มิวนิคครั้งนั้น"

"และยิ่งไปกว่านั้นการรับใช้แมนยูไนเต็ดในฐานะผู้รักษาประตูมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สโมสรเรามีมาโดยตลอด และเราไม่ควรที่จะลืมเรื่องราวเหล่านี้จริงๆ"

และก็ถูกตามที่ป๋าบอก ความสำเร็จและวีรกรรมของเขาจะถูกจดจำตลอดไปที่โอลด์แทรฟฟอร์ดแห่งนี้


"แฮรี่ คุณคือฮีโร่ของผมจริงๆ จากหัวใจ" จอร์จ เบสต์กล่าวถึง แฮรี่ เกร็กก์เอาไว้

"เขาคือนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม และมนุษย์ผู้ยอดเยี่ยมคนนึงซึ่งเป็นเพื่อนแท้ของพ่อผม วีรกรรรมและภารกิจของเขาฝังรากลึกลงในความรู้สึกของผมตลอดมา ความกล้าหาญก็เป็นอย่างหนึ่งที่โกลทุกคนจะต้องมี แต่สิ่งที่แฮรี่ทำนั้นมันมากเกินกว่าคำว่ากล้าหาญไปแล้ว มันคือความดีงามของมนุษย์"

Gregg ผู้จากไป ณ บ้านเกิดของเขาที่ไอร์แลนด์เหนือเมื่อวันอาทิตย์ที่16ด้วยวัย87ปี ยังคงหวาดกลัวต่อเรื่องที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่วันครบรอบในแต่ละปีเวียนมาถึง และเขาเชื่อว่าคนบางคนก็มีความหลงใหลอะไรที่แปลกๆ "คุณอย่าอยากลองมาอยู่ในสถานการณ์วันนั้นแบบผมเลย มันไม่สนุกหรอก เพราะมันจะหลอกหลอนคุณไปตลอดแน่นอน"

แต่ในที่สุดแล้วโกลยักษ์ผู้นี้ซึ่งเซ็นสัญญามาอยู่กับเราก่อนเกิดเรื่องแค่สามเดือน เขาก็กลายเป็น "วีรบุรุษจำเป็น" ในที่สุดหลังจากเจ็บแค่นิดเดียว จากเหตุที่เกิดการแหวกและแหกออกของเครื่องบิน เกิดประกายไฟระเบิิด และในความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทันที เขาคิดว่าเขาน่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ

"มิวนิคไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตผม หลังจากที่เครื่องตกแล้ว ผมถูกขนานนามว่าเป็นฮีโร่ของมิวนิค แต่สิ่งนั้นมันก็ต้องจ่ายอะไรบางอย่างไป ซึ่งสำหรับมิวนิคมันกลายเป็นเงาตามตัวที่ยากจะสลัดหลุดได้ ผมอาจจะหนีออกมาจากซากเครื่องบินบนรันเวย์ที่เยอรมันในวันนั้นได้ แต่ว่านับจากนั้นจนถึงตอนนี้ผมก็ยังหนีไม่พ้นมันสักที"


นี่คือข้อความของเกร็กก์ที่เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้น หลังจากที่เครื่องเช่าเหมาลำElizabethanได้หลุดไถลออกจากสุดรันเวย์ พุ่งทะลุรั้วออกไปชนบ้านและเครื่องบินแตกออกเป็นสองส่วน เศษชิ้นส่วนที่แตกกระจายกองเต็มไปหมดออกมานอกรันเวย์ มันฝึกรากลึกลงไปยากที่จะลืมเลือนและกระจ่างชัดมากๆเช่นกัน ..

"เสียงดัง ปัังงงงง!" เขาย้อนความกลับไปเมื่อเวลาบ่ายสามโมงสี่นาทีของวันพฤหัสบดีที่ 6th กุมภาพันธ์ ปี1958

"มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก และเศษอะไรต่างๆก็พุ่งเข้าใส่ผมทุกด้านเลย เห็นแสงสว่างวาบมาวินาทีนึง จากนั้นก็มืดเลยทันที ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีเสียงคนเลย มีแต่เสียงเหล็กที่กำลังฉีกกระจายเท่านั้นและประกายไฟก็ลุกอยู่รอบๆตัวเต็มไปหมด ผมรู้สึกว่ามีอะไรที่จมูก จากนั้นเหมือนมีอะไรกระแทกกะโหลกของผมเหมือนเวลาตอกไข่ต้มแข็งๆ จากนั้นโดนชนอีกรอบจากด้านหน้า รสชาติเลือดเค็มๆมันกลบอยู่ในปาก และผมก็ไม่กล้ายกมือขึ้นมาจับหัว ผมคิดว่าผมตายไปแล้ว ผมอยู่ในนรก นรกเพลิงอันร้อนระอุและชดใช้เวรกรรมทุกอย่างที่มีเลย ผมรู้สึกได้ว่าเลือดมันค่อยๆไหลลงมาบนหน้าด้วย"

เกร็กก์อยู่ในครึ่งด้านหน้าของเครื่อง ในขณะที่21คนที่ตายทันทีในที่เกิดเหตุนั้นอยู่ในบริเวณส่วนครึ่งหลังของเครื่องบิน หลายๆคนตั้งใจเลือกที่นั่งด้านหลังเพราะคิดว่ามันปลอดภัยกว่า

เมื่อได้สติ เกร็กก์คลานออกจากซากเพื่อไปหาลูกเรือของสายการบินคนนึงที่ตะโกนบอกเขาว่า ถ้ายังมีสมองอยู่ก็วิ่งออกมานี่ ก่อนที่เครื่องบินทั้งลำจะระเบิด แต่กลับกัน เมื่อเขาอยู่ในห้วงเวลานั้นและพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนที่จะตะโกนตอบกลับไปว่า

"มีคนยังไม่ตายเหลืออยู่ที่นี่"


จากนั้นเขาจึงวิ่งกลับเข้าไปในบริเวณตัวลำเครื่องที่โค้งหักงอนั้น

"วิ่งเข้ามาข้างในผมเห็นคนกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดฝ่าหิมะออกไป เขาตะโกนบอกผมให้วิ่งหนี จากนั้นกัปตัน James Thainที่ออกมาจากห้องนักบิน และถือเครื่องดับเพลิงอันเล็กๆในมือ เมื่อเขาเห็นผมเขาก็ตะโกนบอกว่า วิ่งสิไอ้โง่เอ๊ย มันจะระเบิดแล้ว"

ณ ตอนนั้นเกร็กก์ได้ยินเสียงร้องไห้

"ผมจำได้ว่าเห็นเด็กทารกในที่นั่งตรงข้าม และผมเริ่มตะโกนเรียกคนที่วิ่งหนีไปให้กลับมา ผมโกรธมากและกรีดร้องว่า กลับมานี่ไอ้นรก ยังมีคนรอดชีวิตอยู่ที่นี่โว้ย!  แต่พวกเขาก็ยังวิ่งหนีออกไปอยู่"

"ผมคลานกลับเข้าไปในเครื่อง ควานหาในความมืด และก็ผ่านเสื้อคลุมเด็กมา ผมคิดถึงลูกสาวของผมแว้บขึ้นมาในจิต และกลัวเหลือเกินกับสิ่งที่ผมจะเจออยู่ภายใต้ผ้าคลุมผืนนั้น  แต่ข้างในผ้านั้นไม่เจออะไร"

เขาได้ยินเสียงร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง และก็มุดเข้าไปในซากเครื่องบินลึกกว่าเดิมและเจอเด็กน้อยอยู่ใต้เศษเครื่องบิน


"เหลือเชื่อมากจริงๆนะ เด็กมีบาดแผลแค่ที่เดียวเหนือตาข้างนึงของเขา ผมคลานกลับออกมาพร้อมด้วยเด็กและรีบมุ่งหน้าไปตามทางที่คนเขาวิ่งออกไป"

เขาอุ้มเด็กน้อยออกไปจากจุดนั้นเรียบร้อย และเจ้าตัวก็วิ่งกลับไปที่เศษซากเครื่องบินอีกรอบ

"ขณะที่ผมกำลังลากตัวเองไปนั้น มีผู้หญิงออกมาจากใต้เศษที่ทับอยู่ ผมลากและบังคับผู้หญิงคนนั้นออกมาด้วยกัน เธออยู่ในสถานะที่เลวร้ายมาก มีแผลเหวอะหวะที่ตา และภายหลังก็รู้ว่ากะโหลกศีรษะเธอร้าว และขาก็หักทั้งสองข้าง ก่อนที่ภายหลังเธอจะค่อยๆได้สติ  ผู้หญิงชาวยูโกสลาเวียผู้นี้ได้ยินเสียงภาษาเยอรมันขึ้นมาในหู พาลคิดไปว่านี่สงครามยังไม่จบหรือไง"

เกร็กก์ไม่รู้ถึงสถานการณ์ทั้งหมดรอบๆตัวเขา ซึ่งส่วนใหญ่ของเครื่องบินลำนั้นถูกทำลายเกือบหมด เขาพบ Ray Wood เพื่อนผู้รักษาประตูด้วยกันในนั้น เขาพยายามแล้วแต่ว่าไม่สามารถพาเขาออกมาได้ นอกจากนี้เกร็กก์ยังมองเห็น Albert Scanlonด้วย

"เขาบาดเจ็บรุนแรงมากจริงๆและผมก็ต้องป้องกันตัวเองไม่ให้บาดเจ็บด้วย ผมคิดว่าเรย์กับอัลเบิร์ตคงตายไปแล้ว"

เกร็กก์เริ่มค้นหาเพื่อนในวัยเด็กของเขาอย่าง Jackie Blanchflower แต่เขากลับได้พบตัวของ Bobby Charlton และ Denis Viollet 


"ผมแรกคิดว่าบ็อบบี้กับเดนนิสก็ตายแล้วเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นเองผมก็ดึงพวกเขาขึ้นมาจากเชือกคาดกางเกง และก็ลากออกมาเป็นระยะทางราวๆ20หลาฝ่าหิมะออกมาทางด้านหน้าของเครื่องบิน ห่างจากบริเวณที่ระอุอยู่ มันระเบิดทุกจุดในบริเวณนั้นเลยซึ่งทำให้มีเปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งขึ้นบนฟ้าอยู่ตลอด มันเลวร้ายมากจริงๆ"

นอกจากนี้เกร็กก์เป็นผู้พบ Matt Busbyอีกด้วย "เขานอนอยู่บริเวณระหว่างเครื่องบิน กับอาคารที่ไฟไหม้อยู่ เขามีสติอยู่ครบ คลำที่อกของตัวเองและร้องว่า ขา ขาฉัน เพราะว่าเท้าของเขาชี้ออกไปผิดรูปผิดทางมากๆ"

เกร็กก์หนุนตัวเขาขึ้นมาและยังคงมองหาเพื่อนเขาอย่าง Blanchflowerอยู่ และก็พบจนได้ในระยะ30หลาห่างออกไป นอนอยู่ในแอ่งน้ำและร้องไห้ออกมาว่าหลังของเขาหักและเป็นอัมพาตแล้ว ซึ่งBlanchflowerขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้เพราะลำตัวของกัปตันทีมอย่างRoger Byrne ทับตัวของเขาอยู่ .. และByrneก็เหลือแต่เพียงร่างไร้วิญญาณไปแล้ว

"ตอนนั้นตาของเขายังคงลืมอยู่ ผมรู้สึกผิดทุกๆครั้งที่ผมไม่ได้ปิดตาเขา"

เกร็กก์กล่าว และBlanchflower ก็มองเห็นเข็มนาฬิกาที่ยังขยับอยู่บนข้อมือของByrne


ภายหลังก็มีคนเริ่มเข้ามาช่วยมากขึ้น เป็นคนธรรมดาๆ ไม่ใช่พนักงานดับเพลิงหรือรถฉุกเฉิน ชาวบ้านติดเครื่องเอารถบรรทุกถ่านหินของพวกเขามาใช้ ทั้งคนเป็นและคนตายถูกขนขึ้นรถบรรทุกและนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร็วมากจนทำให้ Bill Foulkes ต้องทุบกบาลคนขับรถแล้วบอกให้ขับช้าๆหน่อย

"ถึงแม้ว่าผมจะเป็นสักขีพยานในที่เกิดเหตุวันนั้น แต่สถานการณ์ดูจะหนักหนาที่โรงพยาบาลมันก็ติดตากลับมาด้วยเช่นกัน ภายหลังผมยังคงช็อคและยืนอยู่ที่หน้าต่างและจ้องมองดูที่รถยนต์บนถนนเบื้องล่างที่ค่อยๆลับตาหายไปท่ามกลางหิมะหนา"

แม้กระนั้นแล้วยังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ยิ่งใหญ่ ดังที่ Mrs Vera Lukic สาวชาวยูโกสลาเวียผู้นั้นที่ได้รับการช่วยชีวิตออกมาได้กล่าวเอาไว้ว่า

"สำหรับฉันแล้ว Harry Greggคือซุปเปอร์แมนตัวจริง"


หลังจากเรื่องราวนั้นแค่13วัน เกร็กก์ก็ลงเล่นให้แมนยูในเกมแรกหลังจากเจอเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้น และจากนั้นสามเดือน เขาได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบชิงที่สวีเดิน (ปู่แกเดินทางด้วยรถไฟกับเรือ!) ซึ่งนักข่าว478เสียงจาก600เสียงโหวตให้เขาได้รับตำแหน่ง "โกลยอดเยี่ยมแห่งโลก"ซึ่งอันดับสองคือ "ไอ้แมงมุมดำ" Lev Yashin ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น เกร็กก์ชนะด้วยคะแนนเสียง122เสียง

เกร็กก์นั้นหัวดื้อและชอบต่อต้าน มีพลังในการพูดสูง และบางทีก็เป็นโกลสายพันธุ์แหกคอกนอกรีตด้วย เขาเป็นคนที่ซีเรียสกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "ความกล้าหาญทางศีลธรรม" ก็คือผู้เล่นที่ไม่มีความรับผิดชอบในสนามอย่างมาก เวลาที่จะเซ็นสัญญาผู้เล่นใหม่เข้ามา เกร็กก์ไม่เคยได้ถ้วยรางวัลอะไรเลย เพราะมิวนิคได้ทำลายทีมที่"ดีที่สุด" ที่เขาได้เล่นให้ไปแล้ว


เขาถูกดรอปในเอฟเอคัพรอบชิงปี1963 และก็ไม่ได้ลงเล่นในช่วงปี 1964-65 ที่ได้แชมป์ลีกของพวกเราด้วย ทางยูไนเต็ดนั้นได้ซื้อตัว Alex Stepney เข้ามาด้วยค่าตัวโกลอันเป็นสถิติในปี1966 ซึ่งเป็นปีหลังจากที่ความสัมพันธ์กับบัสบี้ตึงเครียดและเขาก็ย้ายออกไป

"มันไม่ได้มีแต่แค่เรื่องของความฟิตและปฏิกิริยาตอบสนองที่น่าทึ่งเท่านั้นนะที่ทำให้แฮรี่เป็นผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาอ่านเกมเก่งมาก ดังนั้นเขาจึงรู้ทันและคาดเดาได้หมดว่าผู้เล่นกำลังจะทำอะไร และเมื่อสิ่งนี้นำมาพูดคุยกันเรื่องแทคติก ความคิดเห็นของเขานั้นควรค่าให้ต้องคอยรับฟังเสมอ สิ่งนี้มันทำให้เขาเป็นโกลไม่ธรรมดาที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน เพราะก่อนนี้ไอเดียด้านแทคติกของเกมมันน้อยมากๆ"


ในหนังสือชีวประวัติเล่มที่สอง ในปี2002ของเขานั้นกล่าวถึงสิ่งที่เกร็กก์โกรธและโมโหมากที่สุดนั่นก็คือ การบิดเบือนเรื่องโศกนาฏกรรมครั้งนั้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ สำหรับผู้รอดชีวิตอย่าง Johnny Berry และ Blanchflowerที่ถูกเชิญให้ไปตามอีเวนต์คลับเฮ้าส์ที่ต่างๆ เพราะพวกเขาเหล่านั้นต้องเจอมันคือซ้ำแผลการต่อสู้กับความเศร้าโศก ความรู้สึกผิด และก็ความขมขื่นในภายหลัง

เกร็กก์ให้อภัยกับการที่เขาไม่ได้รับแรงสนับสนุนในตอนนั้น ที่เขามีปัญหากับสโมสรขึ้นมาแต่ก็ถูกปรักปรำมาตลอด4ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เขารู้สึกว่าสโมสรหากินกับโศกนาฏกรรมนี้โดยปราศจากความช่วยเหลือเหยื่อและครอบครัวของพวกเขาอย่างแท้จริง จึงได้เกิดเรื่องขึ้น

หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่ผู้จัดการทีมกับชรูส์บิวรี่ทาวน์ สวอนซี และครูว์ เกร็กก์ย้อนกลับมาที่โอลด์แทรฟฟอร์ดอีกรอบเพื่อเป็นโค้ชโกลให้กับเราภายใต้ยุคDave Sexton  เขาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดึงตัว Jim Holtonเข้ามาที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และเป็นคนแนะนำให้ต้นสังกัดไปเซ็น Bruce Grobbelaar ให้จงได้ ก่อนที่สุดท้ายแล้วเขาจะเลือกเดินไปสนามแอนฟิลด์ในที่สุด  เกร็กก์ยังมีส่วนร่วมในการเซ็นนักเตะมาอีกหลายๆคน


"แฮรี่เป็นเพื่อนที่ดีมากๆและเขาบอกผมว่า ผมมาสโมสรผิดเวลาไปหน่อยเพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วที่นี่" นักเตะทีมชาติยูโกสลาเวียอย่าง Nico Jovanovic ผู้ซึ่งสนิทกับเกร็กก์ที่สุดในสโมสรนี้ย้อนความให้ฟัง

"นักเตะไม่สามารถทำอะไรในเรื่องนั้นได้"

"แฮรี่ เกร็กก์เข้ามาในฐานะโค้ชโกล และเราก็ได้ศึกษาวิเคราะห์วิดิโอการเล่นด้วยกันในช่วงยามบ่าย" Gary Baileyเล่าให้ฟัง

"ผมชอบนะ แต่ว่านักเตะคนอื่นๆคิดว่ามันน่าเกลียดอยู่หน่อยๆ แฮรี่ดีกับผมมาก พ่อผมปั้นให้ผมเป็นผู้รักษาประตูและผมมีเทคนิคที่ดีมากๆ แต่แฮรี่ฝึกฝนผม พัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจผมให้แข็งแกร่งขึ้น เขาฝึกให้ผมรับมือบอลโด่งให้ได้เพราะว่าเขาเป็นผู้รักษาประตูที่เด็ดขาดและสามารถทำเรื่องนั้นได้ดี"

และนอกจากนี้เพื่อนร่วมทีมเก่าย่อมรู้จักเขาดีที่สุด โดยเฉพาะแพดดี้ ครีแรนด์ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า

"แฮรี่ เกร็กก์เป็นคนซีเรียสนะไอ้หนู แต่ผมก็รักเขาหมดใจเลยล่ะ เขาเป็นโกลที่ยอดเยี่ยมมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณพิจารณาการที่เขาเล่นเป็นปีๆทั้งที่ไหล่ขวามีอาการบาดเจ็บตลอดเวลา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไหล่เขาหลุดเข้าๆออกๆจนกระทั่งกว่าจะตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะรักษามันได้อย่างถาวรนั้น ก็ต้องใส่หมุดเหล็กเข้าไปในกระดูกของเขา ซึ่งการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี แต่แฮรี่ไม่สามารถยกแขนซ้ายของเขาขึ้นเหนือหัวได้เลย แม้ผู้คนจะมองเขาว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่จริงๆแล้วเขาลงเล่นในสนามพร้อมความเจ็บปวดที่โหดร้ายจริงๆ"



"เขาอาศัยอยู่ใกล้ๆบ้านผมและก็เคยพาครอบครัวมาหาสู่กัน พวกเขาชอบVon Trappsจาก The Sound of Music ชอบเล่นดนตรีกันหลากหลายชนิด ตัวเขาเองไม่ใช่พวกชอบดื่มเลยนะ แต่เขาชอบร้องเพลงมากๆ ผมไม่เคยได้ยินใครเล่นกีต้าร์และร้องเพลง Danny Boy ได้เหมือนกับแฮรี่ เกร็กก์เลย ส่วนตัวเขาเองนั้นเป็นโปรเตสแตนท์ แต่โกลไอดอลของเจ้าตัวกลับเป็น John Thompsonของเซลติก คนที่ตายหลังจากโดนเตะเข้าที่หัวหลังจากปะทะกับSam EnglishของทีมRangersในปี1931"

เกร็กบางทีก็เป็นคนตลกอีกด้วย เขาเล่าให้ฟังว่า

"Frank Swift โกลแมนซิตี้ผู้ยิ่งใหญ่สอนบทเรียนที่ล้ำค่าแก่ผมในเรื่องที่ว่าทำยังไงถึงจะชนะได้แม้กระทั่งแฟนทีมเยือนที่กระเหี้ยนกระหือรือ เขาบอกว่า ผมฝึกในเกมเจอกับเอฟเวอร์ตันที่กูดิสันปาร์ค คือแทนที่จะด่าพวกมันกลับตามปกติที่เคยทำ ผมพยายามที่จะเล่นมุกฮาๆของพวกสเก๊าเซอร์กลับไป มีคนนึงเรียกชื่อผมอยู่นั่นแหละ ผมเลยกวนตีนเขาด้วยการเดินไปขอบุหรี่ตัวดิเฮีย  จากที่ตอนแรกเขาก็ด่ากลับมาบอกว่า ไปไกลๆเลยไอ้เวรไอริช! แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นบุหรี่กับไม้ขีดไฟมาให้ผมเองเลย นับตั้งแต่นาทีนั้น เอฟเวอร์โตเนี่ยนตรงนั้นก็ร้องเรียกชื่อผมกันหมดเลย!" เกร็กก์เล่าเรื่องสุดฮาอันน่ารักนี้ให้ฟัง


ในเกมเทสติโมเนียลแมตช์ปี2012 ที่Windsor Parkนั้น ยูไนเต็ดไปเยือนด้วยการส่งทีมที่แข็งแกร่งที่สุดไป และเกร็กก์จะต้องไปเผชิญหน้ากับปีศาจในวันนั้นอีกครั้งด้วยการกลับไปยังมิวนิค และเยือนสนามบินร้างแห่งนั้น

เกร็กก์ที่เดินรอบๆโถงที่ว่างเปล่า มองเห็นหน้าไม่ชัดเท่าไหร่นักกล่าวต่อไปว่า

"นับตั้งแต่วันนั้น.. แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็เปลี่ยนจากแค่สโมสรฟุตบอล กลายเป็นสถาบันอันยิ่งใหญ่ตลอดไป"

ด้วยรักและอาลัย HARRY GREGG

ตำแหน่ง : Goalkeeper

สัญชาติ : ไอร์แลนด์เหนือ

วันเกิด: 27 October 1932

ย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด : 1 December 1957

แมตช์เปิดตัว : 21 December 1957 v Leicester City (เหย้า), ฟุตบอลดิวิชั่น1อังกฤษ

ย้ายออก : 1 December 1966

ลงสนามทั้งหมด : 247 นัด

27 October 1932 - 16 February 2020

แด่ "โกลกระดูกเหล็ก"

ตำนานตลอดกาลผู้ช่วยชีวิตตำนานอีกหลายคนของManchester United

ผู้ที่จะทำให้ผมสอนลูกได้ว่า ฮีโร่ไม่ได้อยู่แต่ในนิยาย แต่มีตัวตนอยู่จริงบนโลกแห่งนี้

-ศาลาผี-


References

https://www.manutd.com/en/news/detail/obituary-harry-gregg-former-man-utd-goalkeeper

https://www.fourfourtwo.com/features/remembering-harry-gregg-manchester-united-legend-and-reluctant-hero-munich-air-disaster-man-utd

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด