:::     :::

พลาดพลั้งถึงพ่ายแพ้

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,755
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในเกมฟุตบอล รายละเอียดเพียงเล็กน้อยที่ผิดพลาด อาจจะส่งผลให้ทีมถึงขั้นที่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ได้เลย

โดยเฉพาะความผิดพลาดส่วนบุคคลที่เห็นได้บ่อยครั้ง 

และเมื่อเล่นพลาด อาจจะไม่ได้แค่ส่งผลให้ทีมพ่ายแพ้เพียงอย่างเดียว เพราะถ้ามันเป็นเกมสำคัญถึงขั้น "ชิงชนะเลิศ" มันหมายถึงทำให้ทีมพลาดแชมป์ได้

แน่นอนว่าไม่ว่าใครที่ก่อความผิดพลาดนั้นจะโดนมองว่าเป็น "แพะรัปบาป" ในสายตาแฟนบอลทีเดียว ดังนั้นเกมที่มีความสำคัญไม่มีโอกาสให้กับความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว  

เพราะมันอาจจะไม่มีโอกาสให้คุณแก้ตัวอีก

โลร็องต์ กอสซิแอลนี่

อาร์เซน่อล 1 - เบอร์มิงแฮม 2

ลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ 2011

        

"ปืนใหญ่" ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นต่อบานเบอะในการเจอกับทีมรองบ่อนอย่าง เบอร์มิงแฮม ในเกมลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศปี 2011

และแชมป์คือสิ่งที่แฟนบอล อาร์เซน่อล โหยหามาตลอดช่วงหลัง เพราะความสำเร็จสุดท้ายของทีมคือแชมป์เอฟเอ คัพเมื่อปี 2005 ส่วนกับ ลีก คัพ ทีมได้แชมป์ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปเมื่อฤดูกาล 1992/93 เลย

แม้เกมจะเหนือกว่าคู่แข่ง แต่กลับโดน นิโกล่า ซิกิช โหม่งประตูให้ทีม "ลูกโลก" ขึ้นนำก่อน 1-0 นาทีที่ 28 ของเกม แต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็มาตามตีเสมอให้ "ปืนใหญ่" ก่อนหมดครึ่งแรก 6 นาที

                        

เกมครึ่งหลังดำเนินไปแบบไม่มีประตู และกระทั่งช่วงก่อนหมดเวลาหนึ่งนาที จังหวะที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรก็กลายเป็นประตูของ เบอร์มิงแฮม เมื่อลูกเปิดที่สุดท้ายบอลกำลังจะเข้ามือ วอยเชี๊ยค เชสนี่ แต่ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ กลับวิ่งมาหวดบอลดื้อๆ

แต่เมื่อจังหวะนั้นบอลกำลังจะเข้ามือ เชสนี่ มันทำให้เซนเตอร์ทีมชาติฝรั่งเศสเองก็ไม่กล้าใส่เต็มแรง กลายเป็นกั๊กกันเอง สุดท้ายบอลกลิ้งมาเจ้าทาง โอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ ยืนอยู่ตรงนั้นแปง่ายๆเข้าไปเลย

ด้วยเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดทำให้ อาร์เซน่อล ยากที่จะไล่ทัน สุดท้ายเป็น เบอร์มิงแฮม ชนะไป 2-1 คว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรและเป็นแชมป์แรกในรอบ 48 ปีของทีมเลย

อองตวน กรีซมันน์

แอตเลติโก มาดริด 1-1 เรอัล มาดริด (เรอัล มาดริด ชนะจุดโทษ 5-3)

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ 2016

เป็นการรีแม็ตช์เกมชิงชนะเลิศเมื่อปี 2014 ที่ในตอนนั้น เรอัล มาดริด เอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 4-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษในเกมที่ "ตราหมี" ควรจะพิชิตมันได้ตั้งแต่เกม 90 นาที

เกมที่ซาน ซีโร่, เมืองมิลาน คราวนี้เป็นทาง "ราชันชุดขาว" ที่ขึ้นนำก่อนจาก เซร์คิโอ รามอส ในนาทีที่ 15 ของเกม ให้ทีมนำ 1-0 เมื่อในครึ่งหลัง แต่หลังจากเริ่มครึ่งหลังนาทีเดียว "ตราหมี" มาได้จุดโทษในจังหวะที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ไปโดน เปเป้ ชนในกรอบ ผู้ตัดสิน มาร์ค แคลตเท่นเบิร์ก ชี้ไปที่จุดโทษทันที

                        

อองตวน กรีซมันน์ ที่เป็นดาวยิงตัวเก่งของทีมรับหน้าที่สังหาร และกดด้วยซ้ายเต็มข้อ บอลพุ่งชนคานเต็มๆแม้จะเด้งกลับมาในสนามแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ท้ายที่สุดแม้ว่า ยานนิค การ์ราสโก้ จะตีเสมอให้ แอต.มาดริด ได้สำเร็จ และเกมยื้อกันไปจนถึงช่วงยิงจุดโทษ ซึ่งแม้คราวนี้ กรีซมันน์ จะไม่พลาด แต่เป็น ฆวนฟราน ที่พลาด ทำให้ทีมพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 3-5 

แม้จุดโทษในเกมหากเข้าประตูจะไม่ได้เป็นตัวบอกว่า แอตเลติโก จะชนะในเกมนี้ แต่ก็ต้องบอกว่าพอมันไม่เข้าก็ส่งผลต่อจิตใจนักเตะในช่วงเวลาหนึ่งนั่นแหละ

อาร์เยน ร็อบเบน

เชลซี 1-1 บาเยิร์น มิวนิค (เชลซี ชนะจุดโทษ 4-3)

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ 2012

ถ้วยสุดปรารถนาที่สุดของ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรเชลซี หลังจากที่ผิดหวังมาในเกมชิงแชมป์เมื่อปี 2008

ในเกมที่ บาเยิร์น มิวนิค หาจังหวะเข้าทำเหนือกว่า "สิงห์บลูส์" ทุกอย่าง โดยเฉพาะจังหวะจบสกอร์ที่กว่าจะได้ประตูขึ้นนำต้องรอจนถึงนาทีที่ 83 ของเกมจาก โธมัส มุลเลอร์

แต่พวกเขาก็รักษาสกอร์นำไว้ได้แค่ 5 นาทีเท่านั้นก่อนมาโดน ดิดิเยร์ ดร็อกบา ตามตีเสมอให้ทีมจากอังกฤษ ทำให้เกมต้องยืดเยื้อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

และในช่วงต่อเวลานี่เอง "เสือใต้" มีโอกาสดีในการได้ประตูเมื่อ ฟร้องค์ ริเบรี่ ไปโดน แฟร้งค์ แลมพาร์ด เกี่ยวจากด้านหลังร่วงลงไป อาร์เยน ร็อบเบน รับหน้าที่สังหารแต่ ปีเตอร์ เช็ก เดาทางถูกพุ่งเซฟได้ ทำให้ต้องไปดวลกันที่จุดโทษตัดสินแชมป์

                        

บาเยิร์น มิวนิค เองก็มีโอกาสเมื่อ ฆวน มาต้า ของ เชลซี พลาดก่อน แต่ว่าสองคนสุดท้ายของทีมพลาด ส่งให้ เชลซี ชนะไปได้ 4-3 คว้าแชมป์ไปครอง

ถือเป็นเรื่องราวที่หลอน ร็อบเบน อีกครั้งหลังเคยหลุดเดี่ยวยิงไปติด อีเกร์ กาซียาส ทำให้ ฮอลแลนด์ แพ้ สเปน ในเกมชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2010 มาแล้ว

ยังดีที่อีกปีให้หลัง ร็อบเบน จะมายิงประตูชัยให้ "เสือใต้" ชนะ ดอร์ทมุนด์ 2-1 ในเกมชิงถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เวมบลีย์ ลบล้างความผิดหวังไปได้บ้าง

สตีเว่น เจอร์ราร์ด

ลิเวอร์พูล 0-2 เชลซี

พรีเมียร์ลีก 2013/14

หนึ่งในเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ ลิเวอร์พูล ซึ่งยังโดนแฟนบอลล้อเลียนกันจนถึงทุกวันนี้

ในเกมที่ 36 ของฤดูกาลที่แอนฟิลด์ ในขณะที่สกอร์ยังอยู่ที่ 0-0 ช่วงทดเจ็บของครึ่งแรก อยู่ๆ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กลับจับบอลหลุดในแดนตัวเองในขณะที่ไม่มีใครอยู่ข้างหลัง โดน เดมบ้า บา ฉกไปยิงเข้าประตูก่อนที่ทดเจ็บครึ่งหลัง วิลเลี่ยน จะมาบวกประตูอีกเม็ดให้ เชลซี บุกชนะ 2-0

ความพ่ายแพ้นัดนี้มันส่งผลให้เกมถัดไป ลิเวอร์พูล ที่นำ คริสตัล พาเลซ ดีๆ 3-0 แต่กลับโดนทะลวง 3 ลูกรวดในช่วง 11 นาทีสุดท้าย กลายเป็นเสมอ เก็บได้แค่แต้มเดียว

                        

แม้นัดสุดท้ายทีมจะชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-1 แต่พวกเขาก็เสียแชมป์ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีแต้มเหนือกว่าพวกเขา 2 คะแนน

นั่นเป็นปีที่ "หงส์แดง" เข้าใกล้แชมป์ที่สุดแต่หลุดมือไปทำให้สุดท้าย สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็ยังไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เลย

จอห์น เทอร์รี่

เชลซี 1-1 แมนฯ ยูไนเต็ด 

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ 2008

เกมที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เป็นความเศร้าเสียใจของแฟนบอล เชลซี

เป็นเกมที่ "สิงห์บลูส์" ไม่ได้ครองบอลเหนือกว่า แต่ทุกครั้งที่ขึ้นมาได้จบสกอร์ต้อง แต่ทีมมาโดนทีเด็ดของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่โหม่งให้ "ปีศาจแดง" ขึ้นนำไปก่อน

แต่นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็มาตามตีเสมอให้กับ เชลซี ซึ่งเขาอุทิศประตูนี้ให้กับมารดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้

                        

สุดท้ายเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 ซึ่งในช่วงต่อเวลาพิเศษมีเหตุการณ์ที่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ไปตบหน้า เนมันย่า วิดิช ในจังหวะที่ทั้งสองทีมมีเรื่องกันจนโดนไล่ออก และเกมก็ต้องตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ

5 คนแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด มี โรนัลโด้ คนเดียวที่พลาดในขณะที่ฝั่ง เชลซี ยิงเข้ากันหมด และคนสุดท้ายไม่ใช่ใครที่ไหน จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมที่จัดแจงตำแหน่งปลอกแขนเดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ

แต่จังหวะที่ยิงเท้าหลักดันไปเสียหลักลื่นทำให้บอลพุ่งหลุดกรอบไป และสุดท้ายทีมลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ 5-6 ท่ามกลางน้ำตาของกัปตันสิงห์บลูส์ที่ร้องออกมาอย่างไม่อาย

ลอริส คาริอุส

ลิเวอร์พูล 1-3 เรอัล มาดริด

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ 2018

นักเตะบางคนกลับมายิ่งใหญ่ได้แม้ว่าจะเคยสร้างความผิดพลาด แต่ดูเหมือนว่าในกรณีนี้จะไม่เกิดขึ้นกับ ลอริส คาริอุส

มือกาวชาวเยอรมันที่ลงเฝ้าเสาสลับกับ ซิมง มินโญเล่ต์ ในเกมพรีเมียร์ลีก แต่ในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ เขาคือกำลังหลัก จะบอกว่ามีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก็ว่าได้

ทว่าเกมที่น่าจะเป็นนัดที่ช่วยทีมผงาดคว้าแชมป์ เขากลับกลายเป็นคนที่ผิดพลาดส่งให้ทีมลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ เริ่มจากออกบอลไม่ดูตามาตาเรือทั้งที่ คาริม เบนเซม่า ยืนอยู่ตรงนั้นยื่นขาบอลโดนบอลกลิ้งเข้าประตูไปชนิดแฟนหงส์งงกันทั้งโลก

                        

เกมนี้ดูจะยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายเท่าไรเมื่อ ซาดิโอ มาเน่ มาตามตีเสมอให้กับทีมได้ ประตู 2-1 ของ แกเร็ธ เบล เป็นที่เข้าใจได้กับการตีลังกายิงสุดสวย ตามลูกเดียว แถมบุกได้ดี

แต่สุดท้ายความผิดพลาดอีกครั้งของ คาริอุส ที่ไม่ตัดสินใจไม่เด็ดจากจากลูกยิงของ เบล ที่จะทุบก็ไม่ทุบออกไป จะรับก็หลุดมือ ทำให้เพื่อหมดกำลังใจไปเลย และสุดท้ายก็พ่ายแพ้ไป 1-3

หลังจบเกม คาริอุส ร้องไห้อย่างหนักและเดินขอโทษแฟนบอลหลังจบเกม แต่นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่เคยเฝ้าเสาให้ทีมอีกเลยและโดนปล่อยยืมตัวจนถึงทุกวันนี้

โอลิเวอร์ คาห์น

บราซิล 2-0 เยอรมัน

ฟุตบอลโลก 2002

        

มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก กับการเจอกันของสองชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดระหว่าง บราซิล เจ้าของตำแหน่งแชมป์ 4 สมัยกับ เยอรมัน ทีมแชมป์ 3 สมัย

และความผิดพลาดในเกมนี้ทำให้ทีมถึงกับชวดแชมป์โลกไปเลย

ในเกมที่มีความสูสีกันสุดๆเกมครึ่งแรกยังไม่มีสกอร์เกิดขึ้น และในนาทีที่ 67 ก็มีประตูแรกเกิดขึ้นจากจังหวะที่ โรนัลโด้ ไปเบียดแย่งบอลกับ ดีทมาร์ ฮามันน์ มาได้ก่อนไหลให้ ริวัลโด้ สับไกจากหน้าเขตโทษบอลพุ่งตรงตัว โอลิเวอร์ คาห์น แต่มือกาวที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคนที่เหนียวที่สุดในโลกกลับรับซองแตกสุดท้ายโดน "เหยินใหญ่" ปราดเข้าไปซ้ำตุงตาข่ายให้ทีมขึ้นนำ 1-0

เกมของ "อินทรีเหล็ก" ช็อตไปเลยและก็มาเสียประตูที่สองในนาทีที่ 79 ทำให้ บราซิล ชนะไปด้วยสกอร์ 2-0 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ไปครองอย่างยิ่งใหญ่

                        


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด