:::     :::

"แผนโค่นจักรพรรดิ" ของMarcus Rashford ในอีก10ปีข้างหน้า

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
7,650
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กองหน้าวัย22ปีคนนี้คือหนึ่งในนักเตะพรสวรรค์อายุน้อยในระดับแนวหน้าของโลก และนี่คือสิ่งที่เขาวางแผนชีวิตเอาไว้ในช่วง10ปีต่อจากนี้

กองหน้าซุปตาร์อายุน้อยของแมนยูรายนี้ผ่านแมตช์สำคัญๆมาแล้วอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็นการได้ลงสนามFA Cupนัดชิง / แชมป์ยูโรป้าลีก / แมนออฟเดอะแมตช์ในนามทีมชาติ แรชฟอร์ดได้ติดธงไปแล้ว38นัด และเหลืออีก12แมตช์หากสามารถทำสำเร็จภายในเดือนมีนาคมปีหน้า 2021 ซึ่งทีมชาติอังกฤษมีคิวระหว่างที่จะถึงเวลานั้นอีกราว 15-19 นัด  หากทำได้เขาจะกลายเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้ลงสนามครบ50นัด

สถิติที่สำเร็จไปแล้วคือการเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดอันดับ4ที่ลงสนามให้ยูไนเต็ด ตามหลัง กิ๊กส์ จอร์จเบสต์ และ นอร์แมน ไวท์ไซด์ ซึ่งขณะนี้จำนวนนัดแซงตำนานอย่างคันโตน่าไปแล้วเรียบร้อย

ที่แซงเพราะว่าเขาน่าจะยังไม่เคยไปถีบยอดอกแฟนพาเลซจนโดนแบนยาวเหมือนก็องโต้ก็เป็นได้(ฮา)

ถึงแม้จะมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเขาก็ตามที แต่ยามแรชอยู่ที่บ้านเขาก็ยังเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุ22ธรรมดาคนนึงที่นั่งชิลๆบนโซฟาหลังจากทำงานมาทั้งวัน ใส่ชุดอยู่บ้าน นั่งเล่นหยอกเย้ากับพี่ๆน้องๆและให้สัมภาษณ์เรา

แรชฟอร์ดนั้นรักฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ความหลงใหลของเขาเป็นแรงขับให้เขามาถึงจุดนี้ ดาวเตะผู้กำเนิดจากถิ่นWythenshaweรายนี้ก็ถวายชีวิตให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาตั้งแต่แรกสุดเช่นเดียวกัน และได้ดูทีมรักของเขาเป็นครั้งแรกในชีวิตตอนอายุ5ขวบ

"มาดริดบุกมาโอลด์แทรฟฟอร์ด อันนั้นเป็นเกมแรกที่ผมได้ไปดู  เกมนัดสกอร์ 4-3 และโรนัลโด้ยิงแฮททริกใส่เรา บรรยากาศวันนั้นมันน่าเหลือเชื่อมากๆเลย"

The Phenomenon

"ผมเป็นเด็กผีมาตลอด ตอนผมอายุ8หรือ9ขวบนี่ผมมาดูเกมเหย้าที่บ้านแทบทุกนัดเลย ผมยังจำแฮททริกของเฮียเบิร์บใส่ลิเวอร์พูลที่นี่ได้ และเกมกับซิตี้ที่เฮียหมูแกกดท่าโอเวอร์เฮดคิกสำเร็จ เกมย้อนหลังบนยูทูปผมก็ชอบดู UCL2008รอบรองฯที่เจอกับบาร์ซ่านั้นผมชอบบรรยากาศของมันมากที่สุด ผมชอบเกมที่เป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร"

ตอนนั้นแรชเพิ่ง10ขวบเท่านั้นเองในปีที่ครองแชมป์ยุโรป จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักเตะที่ดังสุดของทีมในยุคนั้น2คนถึงกลายเป็นแรงบันดาลใจของแรชฟอร์ดเช่นนี้

"ไอดอลของผมคือ เวย์น รูนีย์ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้  ทั้งคู่เป็นนักเตะที่ผมชอบมากที่สุด และผมก็ได้ตามดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด ดูเขาพัฒนาเติบโตขึ้นเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่เพียงใด  ผมได้เห็นเส้นทางของพวกเขา"


ซึ่งหลังจากนั้นเด็กน้อยผู้นี้จึงได้เริ่มเดินทางผจญภัยในโลกฟุตบอลด้วยตัวเอง เริ่มจากสมัยจูเนียร์ที่Fletcher Moss Rangers นอกจากนี้แรชฟอร์ดยังเคยไปเทรนสั้นๆกับแมนซิตี้ด้วย แต่เมื่อยูไนเต็ดสนใจในตัวเขา เขาจึงไม่มีทางที่จะพลาดปล่อยโอกาสหลุดมือเด็ดขาด

"ผมไปซ้อมอยู่กับซิตี้ประมาณสัปดาห์นึงก่อนจะเซ็นสัญญากับยูไนเต็ด ผมเคยไปลองทดสอบฝีเท้ามาจากศูนย์ฝึกหลายๆอะคาเดมี่มาแล้ว แต่เมื่อพวกเราได้มาที่ยูไนเต็ด ผมนั่งลงกับพี่ชายและก็แม่  ที่นี่มันพิเศษกว่าที่อื่น และตอนนั้นก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างจริงจัง"

"วันที่ผมตัดสินใจเลือกยูไนเต็ดนั้น ทีมชุดใหญ่เค้าฝึกซ้อมกันอยู่ที่The Cliff ผมได้เห็นพวกเขากำลังซ้อมแค่นิดหน่อย จากนั้นเราก็เดินเข้าไปในอาคารโดมที่ศูนย์ฝึก และก็ลงชื่อเซ็นสัญญา  นั่นเป็นวันที่ผมจะไม่ลืมเลย"

ชีวิตวัยเด็กของแรชฟอร์ดมีสิ่งที่โฟกัสอยู่อย่างเดียว เป็นข้อความที่ถูกขีดเส้นใต้ในจดหมายที่เขียนด้วยตัวเองตอน11ปี

"ผมมีเป้าหมายในชีวิตอย่างนึงนั่นก็คือการได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ และก็หวังว่าจะอยู่ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วย ผมอยากทำให้ครอบครัวภูมิใจ ผมสัญญาว่าผมจะพยายามให้ถึงที่สุด" 

"ผมจำจดหมายฉบับนั้นได้ ผมเขียนเอง มันเป็นการบ้านจากที่โรงเรียน สำหรับผมการบ้านนี้มันง่ายสุดๆเลยนะเพราะว่าคุณก็แค่เขียนหรือพูดในสิ่งที่คุณเป็นอยู่ ตอนนั้นผมยังเด็กมากแต่ผมรู้ว่าผมมีเป้าหมายอะไร ตอนอายุ11, 12, 13 ผมยิ่งรู้ชัดเจนกว่าเดิมว่าผมต้องการอะไร  ดังนั้นเมื่ออยู่ที่ยูไนเต็ด คุณมีโอกาสได้เดินรอบๆสนามซ้อมและก็ได้เห็นรุ่นพี่ในสโมสรกำลังฝึกฝนทุ่มเทกันยังไงบ้างเป็นตัวอย่าง ดังนั้นสำหรับผมมันจึงพอนึกภาพออกว่ามันเป็นไปได้ เพราะมีตัวอย่างให้ได้ดูนั่นเอง"

"เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันมักจะมาคุยกับพวกเราที่โรงอาหาร ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ก็ตาม และป๋าก็บอกเป็นประจำว่า เขาหวังว่าพวกเราจะซ้อมกันอย่างหนัก  บางเวลาเราฝึกซ้อมการเล่นแบบJoga Bonito(การเล่นฟุตบอลแบบสวยงาม) ระหว่างเซสชั่นฝึกซ้อมในโรงยิม และป๋าก็อาจจะได้นั่งดูอยู่ตรงระเบียงนั้น  เวลาที่คุณเป็นเด็กๆและเขามาพูดด้วยแบบนั้น บางทีเราจะได้แรงฮึดไปอีกเป็นเดือนสองเดือนเลยทีเดียวแหละ"

วันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่21 พฤศจิกายน 2015 หลุยส์ฟานกัลตอนนั้นกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวอยู่และกำลังจะจบเพรสคอนฯพอดี แต่เหมือนมีใครบางคนที่LVGแกอยากจะพูดถึงขึ้นมา จากเกมนั้นที่ยูไนเต็ดชนะวัตฟอร์ดไป 2-1  ตอนนั้นเขาให้สัมภาษณ์ที่Vicarage Road ซึ่งคำถามส่วนใหญ่วนเวียนอยู่กับประเด็นที่รูนีย์ป่วยและไม่ได้ลงสนาม ในขณะที่มาร์กซิยาล กับ เจมส์ วิลสัน ก็ยังบาดเจ็บอยู่

ไม่ได้มีใครถามผู้จัดการทีมรายนี้ขึ้นมาเกี่ยวกับเด็กหนุ่มปริศนาวัย18ปีที่อยู่ๆมีชื่อขึ้นมาในลิสต์ม้านั่งสำรองเป็นครั้งแรกในวันนั้น แต่เขาก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาในบทสนทนาดังกล่าวว่า

"วันนี้ผมมีแรชฟอร์ดนะ มาร์คัส ระ..ะ..ร แรชฟอร์ด บนม้านั่ง" เขากล่าวพร้อมกับเน้นชื่อเขาขึ้นมาอย่างหนักแน่นด้วยสำเนียงดัตช์แบบของเขาว่า "พรสวรรค์ที่มหัศจรรย์"


ในวันนั้นแรชฟอร์ดไม่ได้ลงสนามเดบิวต์ และคำพูดที่ว่าก็ไม่ได้มีปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ที่สำนักไหนจะเอาไปเล่นเลย แต่ว่ามันถูกโจษจันปากต่อปากซึ่งฟานกัลเองก็เคยทำเช่นนี้ในอดีตมาแล้วกับเหล่านักเตะอย่าง ซีดอร์ฟ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ และไคลเวิร์ท  รวมถึงพวกปูโยล ชาบี้ อิเนสต้าด้วย พวกเขาทั้งหมดเหล่านี้ได้ลงเล่นเดบิวต์กับทีมชุดใหญ่ภายใต้ยุคของฟานกัลตอนที่เขาคุมทีมอยู่ที่อาแจ็กซ์กับบาร์เซโลน่า

สำหรับดาวรุ่งอย่างแรชฟอร์ดนั้น เกมกับวัตฟอร์ดคือประสบการณ์แรกสุดกับการมีชื่อลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะได้มาลงซ้อมรวมกับรุ่นพี่ตั้งแต่ปีก่อนแล้วตอนที่เหล่าดาวรุ่งของทีมถูกเรียกตัวมาช่วยซ้อมดริลให้กับชุดใหญ่

"เซสชั่นแรกสุดที่ผมได้ร่วมกับทีมชุดใหญ่นั้นเกิดในยุคของเดวิด มอยส์ และเอาตรงๆเลยนะ ผมไม่โดนบอลเลยด้วยซ้ำ 5555 แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆเลย ตอนนั้นผมอายุ15เอง"

"จากนั้นช่วงซัมเมอร์ในปีก่อนที่ผมจะได้เดบิวต์ ผมตื่นเต้นมากที่จะได้ออกไปปรีซีซั่นทัวร์กับสโมสร แต่ผมดันเจ็บไปซะก่อนเลยไม่ได้ไปด้วย เมื่อฤดูกาลจริงมาถึง ผมก็กลับมาเรียกความฟิตและได้ลงซ้อมกับทีมสักพักนึง หลังจากนั้นผมก็เริ่มได้มีชื่อบนม้านั่งสำรอง"


7วันหลังชนะวัตฟอร์ด แรชฟอร์ดก็ยังไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัวลงไปใช้งานในอีกนัดที่เสมอกับเลสเตอร์ 1-1 ในเวลานั้นปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะแมนยูเริ่มคลี่คลายขึ้น และนับจากนั้นอีกสามเดือนนับตั้งแต่ที่เขาเคยมีชื่อติดทีมทีเดียวกว่าจะได้ลง ตัวฟานกัลแสดงความชื่นชมเขาอย่างชัดเจนอยู่เสมอ ซึ่งแรชฟอร์ดนั้นคงจะระลึกถึงบุญคุณที่เขาได้รับความเชื่อมั่นจากผู้จัดการทีมชาวดัตช์ผู้นั้นที่เปลี่ยนจากการเป็นแค่คำพูดลอยๆ กลายเป็นการประเดิมสนามที่โอลด์แทรฟฟอร์ดแบบลืมไม่ลงของเขา

"จากที่มันเคยเป็นแค่คำพูดเขาพูดออกมา แต่เมื่อเขาให้โอกาสผมลงสนามเปิดตัว มันก็กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญเลยที่ถึงแม้คุณจะยังอายุน้อยมากๆ แต่เขาก็ไว้วางใจให้คุณลงสนามไปและทำงานให้สำเร็จ"

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดพบกับมิดทิลแลนด์ในเกมรอบ32ทีมสุดท้ายของยูโรป้าลีก และเราตามหลังอยู่2-1ในเลกแรกที่เดนมาร์ก แรชฟอร์ดนั้นตอนแรกมีชื่อเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง แต่เมื่อมาร์กซิยาลเจ็บตอนวอร์มอัพ ก็กลายเป็นโอกาสของเด็กวัย18ปีผู้นี้แบบไม่ทันตั้งตัว

เมื่อใดก็ตามที่เอ่ยถึง "Midtjylland" กับแรชฟอร์ด อารมณ์ความรู้สึกมันจะชัดเจนเสมอ


"ผมภูมิใจ.. ผู้จัดการทีมไม่ได้พูดอะไรเยอะแยะมากไปกว่าแค่ว่า เขาบอกให้ผมแสดงตัวตนในการเล่นออกมา ทำแบบที่เคยทำมาตลอดตอนเล่นกับทีมU-18 ดังนั้นผมจึงลงสนามไปและพยายามเล่นให้มันสนุก และเกมก็ดำเนินไปตามครรลองของมันตามปกติ นั่นแหละจากนั้นทุกอย่างแตกต่างออกไปแล้ว"

เขากำลังเล่าถึงค่ำคืนที่มันเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล ยูไนเต็ดตามหลังอยู่ด้วยสกอร์รวม 3-2 ในขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงแค่27นาทีในเลกที่สอง มาต้าที่ควบไปตบบอลกลับมาจากสุดเส้น และแรชฟอร์ดวิ่งมาแปด้วยข้างเท้าในระยะ8หลา เข้าประตูไปต่อหน้าสแตนด์ฝั่งStretford End.

หลังจากนั้นอีก20นาทีถัดมา เขาได้ระเบิดประตูที่สองและพาทีมของฟานกัลเข้าไปรอบ16ทีมสุดท้ายเจอกับคู่อริตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลได้สำเร็จ

"ผมแค่มีความสุขมากๆเวลาได้ลงสนามแล้วใส่เสื้อแมนยูเล่น"


"มันเป็นความฝันมานานแล้วตั้งแต่ผมหกหรือเจ็ดขวบ ซึ่งถึงแม้วันนั้นผมอาจจะไม่ได้ยิงได้สองประตู แต่แค่นั้นก็ภูมิใจมากแล้วนะ พอการยิงได้มันเลยทำให้ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีก"

เมื่อมันมีอิมแพ็คเช่นนั้น แรชฟอร์ดจึงมีชื่อเป็น11ตัวจริงในทีมชุดใหญ่อีกครั้งกับเกมในบ้าน เจอกับทีมลุ้นแชมป์อย่างอาร์เซนอลในพรีเมียร์ลีกหลังจากนั้นสามวัน และภายใน32นาทีเท่านั้นเขาก็ทำสำเร็จอีกครั้ง และแมนยูไนเต็ดก็ชนะไอ้ปืนใหญ่ไปได้ 3-2 ทำให้การลงสนามชุดใหญ่สองนัดแรก จากสองรายการแรชฟอร์ดยิงไปแล้ว4ประตู (จนได้สถิติฉายาเทพเดบิวต์ภายหลัง)

4ปีนับจากนั้น ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จเรื่องใดๆก็แล้วแต่ แต่วันเวลาเหล่านั้นจะยังคงเป็นวันพิเศษในชีวิตของเขาที่สุดตลอดไป

"สำหรับผม ใช่ ผมไม่มีทางลืม4วันนั้นเลยและประตูที่ยิงได้ด้วย มันอาจจะไม่ได้เป็นประตูที่ผมชอบมากที่สุด แต่มันมีความหมายกับผมมากกว่าประตูอื่นๆทั้งหมด"


เรื่องของครอบครัวแรชฟอร์ดนั้นเป็นที่รู้กันว่า ครอบครัวของเขาภาคภูมิใจมาก

""มันเป็นเพราะว่าช่วงแรกๆพวกเราลำบากมาก เราไม่มีรถขับกันต้องนั่งรถเมล์ไปซ้อมแล้วก็กลับบ้าน ส่วนแม่ผมก็ไปทำงาน พี่ๆผมก็ไปทำงานบ้าง บางคนต้องไปโรงเรียน ดังนั้นเมื่อมีคนกลับมาก็ต้องอยู่แต่กับบ้าน มันลำบากนะแต่เราก็ผ่านกันมาได้"

"พอเวลาที่ขึ้นไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จ มันจะยิ่งหอมหวานมากขึ้นเมื่อเราผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้"

แล้วชีวิตก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นฮีโร่ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในชั่วข้ามคืน มีนักเตะเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ก้าวสู่ความเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้อย่างรวดเร็ว หากเราย้อนกลับไปมองย้อนหลังในอดีตต่างๆ เราอาจจะลืมกันไปแล้วว่า กว่าที่รูนีย์จะดังขึ้นมาจากประตูระยะ25หลาที่ยิงใส่อาร์เซนอลนั้น ลูกแรกนั่นกว่าจะมาก็ปาเข้าไปในเกมลีกนัดที่9ของเขากับเอฟเวอร์ตันเข้าไปแล้ว

ด้านลีโอเนล เมสซี่ กว่าจะยิงประตูแรกให้บาร์เซโลน่าได้ก็ต้องใช้เวลา7เดือนเต็มๆนับตั้งแต่เดบิวต์ถึงจะยิงได้ แต่แรชฟอร์ดยิงไป4ประตู จากสองนัดแรกในชีวิตเลยซะด้วยซ้ำซึ่งเป็นเกมเหย้าที่เป็นแมตช์สำคัญอย่างยิ่งยวดทั้งสองเกม แต่ก่อนที่จะเกิดนัดนั้น เขายังเดินๆอยู่ตามท้องถนนเมืองแมนเชสเตอร์และไม่มีใครสนใจเขาซะด้วยซ้ำ

"จริงๆพอดังแล้วผมอยากทำอะไรผมต้องได้ทำสิ แต่นี่มันไม่ใช่ 5555 หลังจากสองนัดแรกนั้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย ผมจำได้ว่าผมไปเดินเที่ยวที่ย่านแทรฟฟอร์ดเซ็นเตอร์ มันทำให้รู้ว่าจากนี้ผมจะแอบไปเตร็ดเตร่เดินเที่ยวที่นั่นสักแปปนึงเหมือนที่เคยทำไม่ได้แล้ว"

เพราะมีแต่คนรุมถ่ายรูป ขอลายเซ็นเต็มไปหมด แรชฟอร์ดก็กลายเป็นขวัญใจแฟนบอลแมนยูไปในชั่วพริบตา

"มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆเลยนะครับ ในฐานะที่ผมก็เป็นแฟนบอลเหมือนกันผมรู้ดีว่าพวกเขาเป็นยังไงตอนทีมเราชนะ และความรู้สึกตอนที่แพ้เช่นกัน เรามีสายสัมพันธ์ร่วมกันที่พิเศษมาก"


การแจ้งเกิดของแรชฟอร์ดในซีซั่นแรกนั้นยังไม่จบแค่นั้น ในเวลาไม่ถึงเดือนนับจากเดบิวต์เกมกับมิดทิลแลนด์เดือนกุมภาพันธ์ เขายังยิงได้อีกในเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ที่เอติฮัดสเตเดี้ยม

"ตอนนั้นมันยอดมากๆ มีเกมลงเล่นเยอะแยะไปหมด และทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นและผ่านไปเร็วมาก"

และที่สุดแล้วมันคือการได้แชมป์เอฟเอคัพที่เวมบลีย์ และได้ลงนัดชิงกับคริสตัลพาเลซในเกมนั้นด้วย

"ปิดซีซั่นอย่างสวยเลย"


แต่จริงๆแล้วสำหรับแรชฟอร์ดมันยังไม่หยุดแค่นั้น นั่นก็เพราะเขาถูกเรียกตัวโดยปู่รอย ติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกอีกในเกมเจอกับออสเตรเลีย เป็นช่วง6วันหลังจากที่เขาได้แชมป์เอฟเอคัพ ซึ่งวันนั้นเป็นเกมนัดกระชับมิตร เตะกันที่สนามของSunderland ซึ่งภายในเวลาแค่138วินาทีหลังเริ่มเกม เขาก็ยิงได้เลย กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในนัดเดบิวต์ไปซะอีก แรชฟอร์ดการันตีตำแหน่งของตัวเองในการติดธงไปยูโร2016ด้วย

"เกมทีมชาติเป็นอีกช่วงเวลาที่ผมรู้สึกภูมิใจมากๆ มองย้อนกลับไปทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลาที่สุดในซีซั่นนั้น ต้องยกเครดิตให้กับแมนยูไนเต็ดเลยเพราะว่าสโมสรทำให้ผมพร้อมตลอดเวลา"

อีกช่วงเวลานึงในเส้นทางอาชีพที่ต้องระลึกถึงและเตือนสติตัวเองว่า เขาต้องอดทนให้มากยิ่งขึ้น คือช่วงเปลี่ยนผจก.จาก ฟานกัลกลายเป็นมูรินโญ่นั้น เขาได้พากองหน้าวัย34ปีอย่าง Zlatan Ibrahimovic เข้ามาโอลด์แทรฟฟอร์ดด้วย ซึ่งเกมเปิดหัว2เกมแรกของฤดูกาล2016/17นั้น แรชฟอร์ดกลายเป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกมของนัดที่3ในฤดูกาลนั้นในฐานะตัวสำรองกับเกมเจอHull City แรชฟอร์ดนั้นก็ได้ลงเป็นตัวจริงเพียงแค่16เกมลีกในปีนั้น พออิบราฮิโมวิชต้องยุติเส้นทางกับยูไนเต็ดไปด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง มูรินโญ่ก็ไม่รอช้าที่จะเอาลูคาคูเข้ามาแทนในซีซั่นถัดมา ครึ่งนึงของการลงสนามของแรชเกิดจากฐานะตัวสำรอง แม้ว่าสุดท้ายเขาจะยิงได้เป็นสองเท่าของเป้าหมายการทำประตูที่ตั้งไว้ในซีซั่น 16/17 และ 17/18 ก็ตาม


"ผมใช้เวลานั้นเป็นห้วงแห่งการฝึกฝนและเรียนรู้ เมื่อมีนักเตะอย่างอิบราเข้ามาในทีม มันเป็นโอกาสสำคัญมากสำหรับผมที่ได้เรียนรู้จากหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ส่วนรอมก็ช่วยผมอย่างมากเช่นกันโดยเฉพาะเวลาที่เราได้ลงเล่นร่วมกัน"

"ปีแรกกับโจเซ่ ผมเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากมายเลยว่า ผมทำอะไรได้บ้าง ผมพยายามจะไปได้ถึงขนาดไหน นอกจากนี้ผมยังได้รู้ว่า จริงๆผมเองยังทำอะไรได้เยอะกว่าสิ่งที่ทุกคนเห็นด้วย  มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากนะโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนซีซั่นแรก เพราะว่ามันเป็นปีแห่งการเรียนรู้ขนานใหญ่ และได้สัมผัสวิธีการเล่นเพื่อคว้าแชมป์ให้ได้ด้วยในเวลาเดียวกัน มันเป็นสถานการณ์ในฝันของเด็กน้อยคนนึงเลย"

ฤดูกาลแรกกับมู ในยูโรป้าลีกเขายิงประตูสำคัญในรอบรองฯ และต้องลงเล่นนัดชิงหลังจากสองวันที่แมนเชสเตอร์อารีน่าถูกวางระเบิด ซึ่งในฐานะแมนคูเนี่ยน เด็กหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ในยามที่ต้องเจออาแจ็กซ์นัดชิงชนะเลิศดีว่า เขาต้องทำให้สำเร็จเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้กับเมืองที่กำลังบอบช้ำ

"ในทีมเราพูดคุยเรื่องนี้กันก่อนเกมจะเริ่ม เราต้องการที่จะสร้างพลังบวกให้กับแมนเชสเตอร์อีกครั้ง เราลงสนามด้วยชุดความคิดว่าเราต้องชนะเท่านั้น โชคดีเหลือเกินที่เราทำสำเร็จ และอย่างน้อยที่สุดในช่วงเวลาที่มืดมิดเราสร้างแสงสว่างเล็กๆให้ชาวเมืองสำเร็จ"


ซัมเมอร์ปี2018 ได้กลายเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์สำคัญในอาชีพของแรชฟอร์ด เขาลงให้อังกฤษ6จาก7แมตช์ในฟุตบอลโลกซึ่งพวกเขาเข้าไปถึงเกมรอบรองชนะเลิศได้ที่รัสเซีย ในรอบ16ทีมสุดท้ายเจอโคลัมเบียนั้น ลงสนามไปได้แค่แปปเดียวเขาก็ต้องมายิงจุดโทษเป็นคนที่สองให้ทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบไปได้ ซึ่งตอนนั้นแรชยังอายุแค่20เองนะ เขารู้สึกเครียดหรือกดดันยังไงในสถานการณ์นั้นไหม

"มันก็พอไหวอยู่นะ คือเวลาที่ผมได้นั่งดูเกมฟุตบอลโลกสมัยก่อน ผมจำได้ดีเลยว่าช่วงยิงจุดโทษมันเป็นอะไรที่เครียดมากๆ ถ้าต้องยิงแค่สักลูกนึงก็พอยิงไหวแหละ"

ในความจริงแล้วความเครียดไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับแรชฟอร์ดเลยนับตั้งแต่เขาเจอประสบการณ์แรกสุดตอนเล่นทีมชาติอังกฤษชุด U-16 แล้วในฟุตบอลถ้วยVictory Shieldซึ่งเป็นเกมชิงแชมป์ของนักเตะรุ่นนั้น


"จริงๆเกมนั้นผมไม่ได้เครียดเท่าไหร่นะ แต่พอเริ่มรู้สึกมา มันก็ค่อยๆหลุดออกจากเกม" แรชฟอร์ดย้อนความจำเมื่อตอนเจอสถานการณ์ตอนที่ขาสั่นเป็นเจ้าเข้า

"คนจะคอยบอกว่า อย่าให้ความกลัวมันครอบงำเจ้าได้ ซึ่งเวลาเดียวที่มันครอบงำผมสำเร็จก็ดันเป็นตอนนั้นพอดีด้วยสิ หลังจากนั้นมาผมก็เลยปฏิญาณตัวไว้เลยว่าจะไม่ให้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว"

"ผมว่ามันเป็นเพียงแค่สภาวะจิตใจของตัวเองอย่างเดียวเลยนะ คุณแค่ต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณทำได้ และคุณพิชิตเกมนี้ไว้ในมือได้ เมื่อสมัยก่อนผมไม่ค่อยระลึกเรื่องพวกนี้ได้เท่าไหร่และก็ลงสนามต่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง หลังจาก2ปีที่ผมเดบิวต์เกมแรกกับทีมชุดใหญ่แล้วนั้น ผมไม่ได้มีสภาวะจิตใจแบบนั้นอีกแล้ว ช่วงเวลานั้นช่วยผมได้มาก"


หลังจากที่ยิงให้อังกฤษได้ในการดวลจุดโทษเกมฟุตบอลโลกได้สำเร็จไปแล้วนั้น  พอต้องมารับหน้าที่สังหารจุดโทษให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเกมเยือนกับปารีสแซงต์แชร์แมงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวงอีกต่อไป หลังจากที่ยืนรอVARยืนยันสักพักใหญ่ๆแล้ว แรชฟอร์ดก็ยิงจุดโทษที่เฉียบขาดที่สนามParc des Princesในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ16ทีมสุดท้ายในปีนั้น

"นั่นมันก็หลายนาทีอยู่นะ" แรชฟอร์ดพูดด้วยเสียงเรียบๆ

"มองย้อนกลับไปดูเหมือนว่ามันจะนานมากเลย แต่ในสนามตอนนั้นผมไม่รู้สึกแบบนั้นนะ ในหัวผมไม่มีลังเลอะไรทั้งนั้น มันห่างไกลเหตุการณ์ตอนขาสั่นตื่นกลัวเหมือนในเกมถ้วยVictory Shieldสมัยu-16อย่างสิ้นเชิง  ผมก็แค่ยืนรอ ตั้งสมาธิที่จะยิงลูกบอลให้เข้าไปตุงตาข่ายให้ได้ และเมื่อผมทำได้ มันโคตรเป็นความรู้สึกที่ดีเลย" 

"ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเราจะไปชนะที่นั่นได้"


แรชฟอร์ดก็ซัดไปแล้ว19ประตูในฤดูกาล 2019/20 ก่อนที่จะบาดเจ็บหลังเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเพียงแค่ต้นปีเขาก็ยิงได้มากกว่าที่เคยยิงทั้งฤดูกาลก่อนๆถึง6ลูกด้วยกัน การยึดตำแหน่งตัวจริงเป็นเหตุสำคัญที่เขาทำได้เช่นนี้เพราะแรชฟอร์ดลงสนามในเกมลีกทุกเกมก่อนบาดเจ็บ

"ช่วงนั้นอยู่ในจังหวะการเล่นที่กำลังดีมากๆ ต่อให้พลาดยังไงก็ไม่ต้องกังวลเพราะมั่นใจว่าคุณจะได้โอกาสนั้นอีกเรื่อยๆแน่นอน และเดี๋ยวก็ยิงได้เอง แต่ถ้าคุณต้องคอยเข้าๆออกๆจากทีม ได้ลงบ้างไม่ได้ลงบ้างมันจะยากมากที่จะสร้างจังหวะการเล่นให้ได้แบบนั้น แต่บางทีการอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นมันก็ทำให้ผมได้เรียนรู้เหมือนกันนะ"

ภายในเวลาไม่ถึงสองปีนับจากเกมเปิดสนาม แรชฟอร์ดแตะ200แมตช์เข้าไปแล้วสำหรับการลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเกมเจอกับนอริชเมื่อเดือนมกราคม และในโอกาสสำคัญนั้นเขายิงประตูที่63 และ 63ให้กับสโมสร

"มันเร็วมากเลย ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเล่นไปจนใกล้จะถึงแล้ว"

ก่อนหน้านั้น4วัน เขาได้รับปลอกแขนเป็นกัปตันทีมปีศาจแดงครั้งแรกในชีวิตกับเกมลีกคัพรอบรองชนะเลิศนัดแรกที่เฝ้าบ้านเจอแมนซิตี้

"ผู้จัดการทีมมาบอกกับผมก่อนเกม ซึ่งผมไม่เคยหวังมาก่อนเลยนะ และเป็นอีกเหตุการณ์ที่คุณภูมิใจมากๆเลยที่ได้ลงไปในสนามและก็ใส่ปลอกแขนดังกล่าว ผมอยากจะใส่มันไว้ตลอดชีวิตด้วยซ้ำ หวังว่าในอนาคตคงจะได้ใส่ปลอกแขนกัปตันมากกว่านี้นะ"


"ผมรู้ดีว่าผมยังทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเยอะ แม้จะเทียบกับซีซั่นนี้ก็ตาม แต่ว่าไม่ได้ถึงกับรีบ คุณจะต้องเข้าใจว่ามันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน เมื่อจังหวะมันได้ทุกอย่างก็จะลงล็อคเอง เพียงแค่คุณจงเชื่อมั่นในกระบวนการต่างๆตามขั้นตอน และเชื่อมั่นในตัวเอง คุณจะได้เห็นตัวเองเล่นได้ดีที่สุดก็คงสักราวๆอายุ26 ตอนนั้นแหละถึงจะรู้สึกได้จริงๆว่าคุณเป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบแล้ว จนกว่าจะถึงเวลานั้นคุณก็ต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆทุกวัน"

ตอนอายุ26 คุณคิดว่าแรชฟอร์ดฝันไว้ว่าจะยิงได้สักกี่ประตูต่อฤดูกาล

"โอ้ย พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ครับ ผมยิงได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น! จริงๆเรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับทีมด้วย ถึงจะยิงได้20 หรือ 30ประตู แต่จริงๆมันวัดกันที่ถ้วยแชมป์ในตอนสุดท้ายมากกว่า"

แรชฟอร์ดนั้นได้สัมผัสรสชาติของการเป็นรองแชมป์มาแล้ว และเขาก็กระหายที่จะชนะมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก แม้ว่าจะมีประสบการณ์สวยหรูในแชมเปี้ยนส์ลีกที่เอาชนะPSGมาแล้วก็ตาม

"ถึงจะชนะแมตช์นั้นแต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปต่อ หรือแม้จะเข้ารอบชิง ดังนั้นในความรู้สึกผมมันไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอะไรเลยนะแมตช์นั้น ไม่ว่าใครก็อยากคว้าแชมป์ทั้งนั้น เช่นเดียวกับความสำเร็จของทีมและเรากลับมาคว้าแชมป์ลีกและถ้วยรางวัลต่างๆได้อีกครั้ง นั่นแหละถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม"

นั่นแปลว่าการแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกมาให้ได้ด้วยใช่ไหม

"ร้อยเปอร์เซ็นต์ แน่นอนครับ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกับแฟนแมนยูทุกคนเป็นเหมือนกันหมด"

"เราจะเอาช่วงเวลาแบบนั้นกลับมาให้จงได้"



ความฝันสูงสุดของเขาในช่วง10ปีนับจากนี้ แรชฟอร์ดเปิดเผยว่าเขาคิดการใหญ่ไว้มาก

"ผมอยากได้แชมป์โลก และอยากพาแมนยูคว้าแชมป์ยุโรป"

"เราต้องเริ่มทำให้เห็นสัญญาณที่ว่า เราสามารถกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมได้ ฟุตบอลสมัยนี้มันเปลี่ยนไปมากดังนั้นอาจจะไม่เหมือนสมัยก่อนทั้งหมด แต่เรารู้ดีว่าสโมสรสามารถโค่นจักรพรรดิในยุคนี้ทั้งหลายและกลับมาครองบัลลังก์ได้อีกครั้ง มันอาจจะยากแต่นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ตราบใดที่เรายังมุ่งมั่นโฟกัสกับเป้าหมาย ผมไม่เห็นเหตุผลเลยว่าทำไมเราจะกลับมาไม่ได้"

"คุณโตขึ้นมาท่ามกลางคนมากมายที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานของยูไนเต็ดทั้งนั้น การได้เป็นตำนานคืออีกหนึ่งฝัน คือถ้าฝันจะเล่นให้แมนยูคุณคงไม่หวังแค่ได้ลงนัดเปิดสนามนัดเดียวหรอก คุณต้องหวังจะเป็นเหมือนเบ็คแฮม สโคลส์ กิ๊กส์แน่นอน สิ่งเหล่านี้เป็นฝันของเด็กอะคาเดมี่เราทั้งนั้น"

แม้รูนีย์จะไม่ได้ขึ้นมาจากอะคาเดมี่ของเรา แต่แรชฟอร์ดก็อยากจะเป็นเหมือนเขาให้ได้เช่นกัน ในวัย22ปีของเขายังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่จะขึ้นไปให้ใกล้จุดนั้นกับสถิติ 253ประตู ซึ่งการยิง20ประตูต่อปีใน10ปีหลังจากนี้อาจจะดูยากและเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่ใช่แรชฟอร์ด


"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนั้นเท่าไหร่นะ ถ้าคุณเล่นฟุตบอลให้มันดีที่สุดแล้วเดี๋ยวอะไรจะเกิดมันก็เกิดเองแหละ ถ้าผมทำลายสถิตินั้นได้แต่ว่า ตลอดสิบปีผมไม่ได้แชมป์อะไรเลยละก็ มันคงจะไม่ได้รู้สึกสุดยอดสำหรับผมแน่นอน"

"แต่ถ้าผมไม่ได้ทำลายสถิติอะไรเลยแต่ได้แชมป์ เวลาที่ย้อนมามองความสำเร็จภายหลัง นั่นแหละถึงจะสำคัญสุด"

ไม่ต่างกับเรื่องทีมชาติที่เขามีเวลาอีก13เดือนที่จะลงสนาม12นัดเพื่อกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลง50เกมในการติดทีมชาติอังกฤษ ซึ่งก็เป็นอีกสถิติของรูนีย์ที่ทำไว้ และแรชฟอร์ดเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน

"เห็นไหม ผู้คนพูดกันเรื่องนี้ ผมก็เพิ่งรู้นี่แหละ ทุกสิ่งมันเกิดเร็วมากกับการลงเล่นทีมชาติ คืออยู่ๆก็มีแมตช์ต้องลงไปเตะเลยทันที และกว่าจะรู้ตัวก็ลงทีมชาติไป10นัดละ ผมก็แค่ทำมันไปเรื่อยๆแค่นั้นเอง"

-แสดงว่า ปีเตอร์ ชิลตันไม่ต้องกังวลสถิติ 125นัดของเขาว่าจะถูกทำลายใช่ไหม

"โอ้ยยย ไม่ๆ ยากเกิน เอาเป็นว่าคุณแค่เล่นให้ดีที่สุด รักษาความฟิตให้นานที่สุด เล่นกับสโมสรให้ดีและก็ถูกเรียกติดทีมชาติไปเรื่อยๆแค่นั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมจะติดกี่นัด"

เขาคิดว่าทีมชาติอังกฤษชุดปัจจุบันมีความสามารถจะประสบความสำเร็จได้ในช่วงทศวรรษข้างหน้านี้

"เราจำเป็นต้องคว้าแชมป์ให้ได้ อย่างน้อยก็สักครั้งนึง ถ้าเราไม่ได้แชมป์ผมคงผิดหวังมากนะเพราะผมเชื่อในผู้จัดการทีมและก็เหล่านักเตะที่มี  ผมรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะได้แชมป์บ้าง เราจะทุ่มสุดกำลังในยูโร และถ้าเราเล่นได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเชื่อว่าเราเป็นแชมป์ได้นะ ถ้าทำได้มันจะกลายเป็นหนึ่งในห้วงเวลาที่ดีที่สุดในเส้นทางอาชีพผมเลย"

นี่คือเส้นทางอาชีพที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์พิเศษต่างๆมากมาย เพียงแค่ระยะเวลา4ปีเท่านั้นในฐานะนักเตะทีมชุดใหญ่ มาร์คัส แรชฟอร์ดเชื่อว่าเขานั้นทำได้ เขาจึงทำ และในอีกสิบปีข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ เขามีความฝันอีกมากมายเลยที่อยากจะทำมันให้สำเร็จเป็นจริงให้ได้

Marcus Rashford ..กองหน้าความหวังอันดับหนึ่งของแฟนผีทั่วโลก

-ศาลาผี-


References

https://www.fourfourtwo.com/features/marcus-rashford-interview-exclusive-man-utd-record-goals-premier-league-trophies-champions-league-england

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด