เสียงโห่ใน เบร์นาเบว
ไม่กี่วันก่อน มีบทสัมภาษณ์ของ แกเร็ธ เบล ออกมา มีตอนนีงพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับแฟนๆใน เบร์นาเบว ที่ไม่ค่อยราบรื่นนัก หัวหอกทีมชาติเวลส์ยกเรื่อง 'การโห่' ขึ้นมาเป็นประเด็น เขาเล่าว่า “เสียงโห่ทำให้คุณรู้สึกแย่ คุณจะเสียความมั่นใจ ยิ่งถ้าคุณพลาดโอกาสทำประตู แล้วโดนแฟนตัวเองโห่ใส่ ปากประตูจะยิ่งดูเล็กลงกว่าเดิม" "ผมมีคน 80,000 คนที่โห่ใส่ภายใน เบร์นาเบว มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย , ครั้งแรกที่ผมได้ยิน ผมถึงกับถามตัวเองว่า นี่มันอะไรวะเนี่ย ?”
...................................
ทำไมแฟนมาดริดถึงโห่ เบล ? เพราะพวกเขาเกลียด เบล ยั้งงั้นหรือ ?
มุมมองส่วนตัว ผมว่ามันไม่แย่ถึงขนาดนั้น เอาจริงๆ ระหว่าง เบล กับแฟนๆ มันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่าแข้งคนอื่นๆของ เรอัล มาดริด...มันก็แค่ความสัมพันธ์ฉันท์ "นักบอล-มาดริดิสต้า" ทั่วไป
จากประสบการณ์ที่เห็น เบล มาตั้งแต่วันเปิดตัวต่อหน้าสาวกมาดริดิสต้า 25,000 คนในเบร์นาเบว กระทั่งตอนนี้ ผมขอยืนยันว่าเสียงโห่ใน เบร์นาเบว ไม่ได้ถูกสงวนไว้สำหรับ แกเร็ธ เบล เพียงคนเดียว...ไม่ใช่แบบนั้นหรอก
'เสียงโห่ใน เบร์นาเบว' นั้น มีมาช้านาน เป็นของคู่กัน จนสามารถให้คำจำกัดความได้ว่า 'วัฒนธรรมการโห่'
พฤติกรรมนี้ของแฟนบอลมาดริด ส่วนนึงมาจากพื้นฐานนิสัยของคนสเปนที่เป็นประเภท 'expressive' ชอบแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา "รักก็บอก-เกลียดก็แสดงออก" บางครั้งพร่ำบ่นดูเหมือนคนขี้โวยวาย ประกอบกับฐานะของพวกเขาที่ถูกวางเอาไว้แตกต่างจากแฟนบอลทีมอื่นๆทั่วไป
ควรทราบว่าระบบการบริหารงานของ เรอัล มาดริด คือ 1 ใน 4 ของ ลา ลีกา ที่มีความเฉพาะตัวสูง ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของบริษัท เป็นระบบการบริหารที่ไม่มีใครคนใดคนนึงเป็นเจ้าของ คล้ายคลึงกับประเทศในระบอบประชาธิปไตยประเทศนึง
ประชาชน คือ โซซิโอ (socio) หรือ สมาชิกสโมสร
โซซิโอ ที่มีคุณสมบัติถึงพร้อม (นับอายุการเป็นสมาชิก) ก็จะได้รับเลือกให้เข้าไปมีปากมีเสียงในสภาของสโมสร สามารถซักฟอกประธาน และบอร์ดบริหาร เหมือนเช่น ส.ส. อภิปราย รัฐมนตรี
ส่วนประธานสโมสรนั้นเหมือนนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งลงคะแนนของโซซิโอ
แฟนมาดริด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโซซิโอของสโมสรได้รับการบอกกล่าวตามหลักการว่าพวกเขามีฐานะเป็น 'เจ้าของสโมสร' เฉกเช่นคำพูดที่ในโลกแห่งประชาธิปไตยที่ว่า “ประชาชนคือเจ้าของประเทศ"
เมื่อแฟนของ มาดริด (socio) รู้สึกว่าตัวเองคือหนึ่งในเจ้าของสโมสร เช่นนี้แล้วพวกจึงมองว่าตัวเองมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะต่อว่า หรือ โห่ใส่นักฟุตบอลตัวเองได้
มันก็เหมือนเจ้านายดุด่าลูกน้องนั่นแหละ จริงอยู่ว่าเจ้านายมีหลายประเภท เจ้านายบางคนก็ไม่ทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่ดุด่าลูกน้องตัวเอง แต่โชคร้ายหน่อยที่ เบร์นาเบว เป็นเจ้านายประเภทปากคอเราะร้าย
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างหน้า 'วัฒนธรรมการโห่' ของแฟนมาดริด มีมาช้านาน นานก่อนที่ เอสตาดิโอ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว จะสร้างขึ้นเสียอีก และมันไม่มีข้อยกเว้น ต่อให้เป็นฮีโร่ หรือ ตำนาน
อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ นำ เรอัล มาดริด กวาดแชมป์ยุโรป 5 สมัยติดต่อกัน แต่ทำพลาดเพียงแค่ครั้งเดียว กลายเป็นโดนโห่อย่างหนักชนิดที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
ก่อนเทศกาลคริสมาสต์ ปี 1962 ดิ สเตฟาโน่ ไปรับงานโฆษณาถุงน่องยี่ห้อ Berkshire ที่ต้องการความแปลกใหม่ และชื่อเสียงของเขามากระตุ้นความสนใจของสาวๆ
บนหน้า 12 ของหนังสือพิมพ์มาร์ก้าฉบับวันที่ 16 ธันวาคม ปรากฏโฆษณาถุงน่องยี่ห้อ Berkshire เป็นภาพ ดิ สเตฟาโน่ เสื้อแข่งเรอัล มาดริด ยืนเท้าสะเอว ส่วนท่อนล่างตัดต่อเป็นท่อนขาผู้หญิงสวมถุงน่องใส่มินิสเกิ๊ต พร้อมข้อความเชิญชวนว่า ”ถ้าผมเป็นแฟนผม ผมจะเลือกถุงน่องเบิร์กเชียร์
สเปนในยุค 60 ยังรับอะไรแบบนี้ไม่ได้ ทันทีที่แฟนมาดริดเห็นโฆษณาตัวนี้ พวกเขาโกรธจนควันออกหู !!!
มาดริดิสต้ามองว่าเสื้อเรอัล มาดริด นั้นเปี่ยมด้วยเกียรติยศ ไม่สมควรเอาเรียวขาผู้หญิงและถุงน่องมาปะปน อีกทั้ง ดิ สเตฟานโน่ ก็ยังเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของทีม นี่เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
ในเกม เรอัล มาดริด พบกับ แอธ.บิลเบา ที่ ชามาร์ติน (สนามเก่ามาดริด) ทันทีที่นักเตะมาดริดเดินลงสู่สนาม เสียงโห่ก็ดังกึกก้อง มาดริดิสต้าผู้โกรธแค้นไม่ลดราวาศอกให้แม้แต่นิดเดียว พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาโห่ ดิ สเตฟาโน่ ราวกับว่าชายผู้นี้ไม่เคยมีความดีความชอบมาก่อน
..........................
นอกจาก ดิ สเตฟาโน่ แล้ว ยอดตำนานหลายๆคนของ เรอัล มาดริด ล้วนไม่เคยมีใครรอดพ้นคมปากของ มาดริดิสต้า ไปได้ ไม่ว่าจะเป็น มานูเอล บาสเกซ โคตรมิดฟิลด์จอมเทคนิค,มาร์ติน บาสเกซ ยอดเพลย์เมกเกอร์ กับ มิเชล มิดฟิลด์ในยุค 5 พญาแร้ง หรือปัจจุบันขึ้นมาหน่อยอย่าง ซีเนดีน ซีดาน, กูตี,อีเกร์ กาซียาส,ดิ มาเรีย และแน่นอนที่สุด คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ครับ ดูจากรายชื่อนักเตะเหล่านี้ซิ โคตรบอลทั้งนั้น ยิ่งใครที่ทันดู ซีดาน เล่น คุณแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยใช่มั๊ยว่า คลาสบอลระดับเขาโดนโห่ว่าเล่นห่วยได้ยังไง แต่มันเคยเกิดขึ้นแล้ว และก็สถานที่เดียวกับ เบล นั่นแหละ..ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
...........................
ไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้าให้วุ่นวาย ก็สรุปเองได้ง่ายๆว่าไม่มีนักเตะคนไหนหรอกที่ชอบเสียงโห่จากแฟนตัวเอง
ว่าตามหลักการ ไม่แปลกที่ เบล จะรู้สึกหงุดหงิด ยิ่งเอาไปเทียบกับวัฒนธรรมการเชียร์บอลที่อังกฤษซึ่งเขาซึมซับมาตั้งแต่เด็กก็ยิ่งไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลคือ วัฒนธรรม และ วัฒนธรรมคือสิ่งที่คนสร้างขึ้น เป็นวิถีชีวิตของหมู่คณะ เป็นพฤติกรรมและสิ่งที่คนหมู่มากสร้างขึ้นจากการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ต่างคนต่างถิ่น ย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งจากคำอธิบายตรงนี้ นอกจากจะเข้าใจ เบล ในเบื้องต้นแล้ว ก็ให้รู้สึกไม่เข้าใจในคราเดียวกันว่า "ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลา 7 ปี เขาไม่ได้เรียนรู้พฤติกรรมของแฟนใน เบร์นาเบว เลยหรืออย่างไร ?"
'เสียงโห่'คือสิ่งที่ใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาเป็นนักเตะเรอัล มาดริด แล้ว จะต้องยอมรับให้ได้ เพราะว่ามันคือ nature & culture ของแฟน
สโมสรมีความคาดหวังสูงลิบ แฟนๆ มีความอดทนต่ำต่ออะไรก็ตามที่ไม่ลงเอยด้วยชัยชนะและตำแหน่งแชมป์
สำหรับ มาดริดิสต้า แล้ว ฟุตบอลไม่มีความทรงจำ ต่อให้สัปดาห์ก่อนคุณเพิ่งจะเอาบัลลงดอร์มาโชว์ในสนาม หากวันนี้เล่นห่วย คุณก็โดนโห่ได้ง่ายๆ
มีคำแนะนำจากสื่อดังของมาดริดว่า จงอย่าพยายามทำความเข้าใจกับเสียงโห่ใน เบร์นาเบว แต่จงเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน เสียงที่ดังขึ้นไม่ใช่เพราะคุณสมควรได้รับมัน แต่เพราะ เบร์นาเบว ก็เป็นเช่นนี้
จงก้มหน้ายอมรับและแปลงเสียงโห่ให้เป็นแรงกระตุ้น นี่คือสิ่งที่นักเตะมาดริดทุกคนต้องเรียนรู้ ยอมรับ และ เข้าใจ
พูดมาขนาดนี้แล้ว ก็จงทำใจเสียเถิดนะ เบล การโห่แม้มันไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่นี่คือชีวิตจริง และหลักคิดง่ายๆสำหรับเรื่องนี้คือ "การเปลี่ยนแปลงตัวเราแค่คนเดียวง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคน 85,000 คนในสนามมากมายนัก
เจมส์ ลา ลีกา