ไม่ฟูลทีม
เมื่อเห็นรายชื่อผู้เล่นตัวจริงที่ออกมา แฟนๆ ก็ค่อนข้างงงกันแล้ว เมื่อสตาร์เบอร์ 1 ของทีมอย่าง โม ซาล่าห์ เป็นแค่ตัวสำรอง แถมแบ็กซ้ายตัวทีเด็ดอย่างแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันนั้นยิ่งหนักกว่าคือไม่มีชื่อเป็นตัวสำรองด้วยซ้ำ นั่นก็ทำให้โอกาสตกมาถึงทาคุมิ มินามิโนะ กับ เจมส์ มิลเนอร์มาเล่นแทนในตำแหน่งของทั้งคู่ แต่ถึงกระนั้นรูปเกมโดยรวมก็ยังพอมองเห็นว่าลิเวอร์พูลยังดูดีกว่าเจ้าบ้านอยู่ดี
เริ่มเกมมาก็มีอะไรให้ยิ้มๆ นิดๆ ซะแล้ว เมื่อซาดิโอ มาเน่นั้นลืมตัวว่านักเตะจะต้องร่วมกันคุกเข่าสงบนิ่งเพื่อแสดงออกในเรื่องการเหยียดผิว พ่อณเดชน์ของเราพอได้ยินเสียงนกหวีด ปรี๊ดด!!! ก็สปริ๊นท์ออกไปทันที ได้ฮากับไป 1 ตับ !! (ฮา) เกมในสนามก็เป็นอย่างที่คาดกันไว้ เมื่อลิเวอร์พูลพยายามบุกเข้าใส่เจ้าบ้านเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเจ้าบ้านก็เน้นรับเป็นหลักและเน้นในการสวนกลับมาโจมตีทีมจ่าฝูงอยู่เรื่อยๆ ซึ่งผลจากการห่างสนามไปนาน พอต้องมาเจอเกมดาร์บี้แมชต์แบบนี้และยังโดนตั้งรับขนาดนี้ ทำให้เกมของลิเวอร์พูลมีปํญหาอยู่พอสมควร ทาคุมิ มินามิโนะนั้น ทำได้ดีขึ้นกว่าช่วงแรกๆ มากพอสมควรเหมือนกัน ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าขาและรู้ใจกับเพื่อนรวมทีมมากขึ้น แต่กระนั้นถ้าเทียบกับเจ้าของตำแหน่งเดิมอย่างโม ซาล่าห์ ก็ต้องบอกว่ายังมีความแตกต่างอยู่พอสมควรส่วนเกมบุกจากแบ็กทั้งสองฝั่งที่เคยเป็นอาวุธเด็ดของหงส์แดง ในเกมนี้ก็แทบจะไร้พิษสงไปเลย เจมส์ มิลเนอร์นั้นแทบไม่เหลือความเร็วในการเล่นริมเส้นอีกแล้ว แม้เขาจะเป็นคนที่ครอสบอลได้ดี แต่จังหวะทะลุทะลวงและเติมเกม ยังห่างจากโรเบิร์ตสันอยู่พอสมควร ส่วนทางด้านเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์นั้นเจ้าตัวฟิตสมบูรณ์ดี แต่ว่าในเกมนี้ต้องเรียกว่า “เรดาร์พัง” กันไปเลยทีเดียว เมื่อเขาได้โอกาสเปิดบอลไม่น้อย แต่ไม่มีลูกไหนที่เข้าเป้าเลย .... ไม่สิ! เรียกว่าไม่ได้ลุ้นเลยอาจจะตรงกว่าด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เองทำให้เกมรุกของพวกเขาฝืดเคืองเป็นอย่างมาก และแทบจะทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยด้วยซ้ำ
เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ นอกจากที่พวกเขาจะเล่นเกมบุกได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ในเกมนี้ก็ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างพวกเขาเอาเสียเลย เมื่อพวกเขาต้องเสียท่านรองเจมส์ มิลเนอร์ไปตั้งแต่ในครึ่งแรก นั่นก็ยิ่งทำให้เกมรุกที่ดูแย่อยู่แล้วก็ยิ่งย่ำแย่หนักเข้าไปอีก เพราะคนที่ลงมาแทนอย่าง โจ โกเมสนั้นต้องไปเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย ซึ่งดูแล้วมันไม่ใช่ตำแหน่งที่เจ้าตัวเล่นได้ดีเอาเสียเลย จริงอยู่ที่เกมรับเขาทำได้ไม่มีข้อบกพร่องแต่เกมรุกของเขาเรียกได้ว่า “ตายสนิท” กันไปเลยทีเดียว นั่นก็ทำให้เกมรุกของพวกเขานั้นดร๊อปลงไปอีกขึ้นนึง เจอร์เก้นคล็อปป์เองก็พยายามแก้เกมแล้ว โดยการส่งผู้เล่นตัวสำรองลงมาอย่างอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน หวังเปลี่ยนเกม แต่ก็ยังทำไม่ได้ จนถึงขั้นอาศัยโชคลางอย่างการส่งมหาบุรุษ บุตรแห่งแอนฟิลด์อย่าง ดิว๊อก โอริกิอุสลงมาหวังเอาเคล็ด (ฮา) ก็แล้ว....แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น และผมเองนั้นเชื่อว่า การที่คล็อปป์เองใส่ตัวสำรองเป็นโม ซาล่าห์แบบนี้ ก็เพื่อจะหวังว่าจะได้ใช้งานสตาร์ชาวอียิปต์ในช่วงเวลาคับขันนั่นเอง แต่แล้วโอกาสนั้นก็หลุดลอยไป เมื่อกองหลังอย่าง โชเอล มาทิป เกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ต้องใช้โควต้าสุดท้ายเปลี่ยนตัวเอาเดยัน ลอฟเรนลงมาแทน ทำให้แผนที่จะใช้ซาล่าห์เป็นตัวทีเด็ดช่วงท้ายเกมก็เป็นอันต้องมลายหายไปซะงั้น ...... และท่านกองหลังที่แฟนๆ หงส์แดงสรรเสริญอย่างลอฟเรน ก็เกือบจะทำให้ลิเวอร์พูลประเดิมการกลับมาลงสนามอย่างด้วยความพ่ายแพ้ไปซะแล้ว เมื่อเจ้าตัวโชว์เหวออยู่หลายจังหวะจนเกือบทำให้ทีมเสียประตูหลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว
จากที่เคยคิดว่าจะประเดิมสนามสวยๆ และลดระยะห่างจากเดิมที่ห่างกัน 2 ก้าว (ชนะ 2 นัด) แต่กับผลที่ออกมาก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าการได้ “กระดิ๊บ” เข้าไปใกล้ถ้วยพรีเมียร์ลีกอีกนิดแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นผลการแข่งขันที่โอเคแล้วล่ะ ...... ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเหลืออีก 1 ก้าวกว่าๆ แค่นั้นเองครับ รอกันต่อไปอีกนิดนะ ได้ใช้รถแห่กันแน่นอนครับ ฮรี่ๆๆๆ
