ลิเวอร์พูลที่คิดถึง
สุดยอด 11 ตัวจริง
สืบเนื่องมาจากเกมก่อนหน้านี้ที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างเคย ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ 11 ผู้เล่นตัวจริงของพวกเขาทุกตำแหน่งด้วยแหละครับ ซึ่งต่างจากเกมนัดนี้ที่ขนผู้เล่นตัวจริงครบทั้ง 11 คนลงสนามอย่างครบครัน และนั่นก็ส่งผลให้ฟอร์มของทั้ง 2 เกมนี้ต่างกันอย่างราวฟ้ากับเหว พูดอย่างไม่เกินจริงและไม่กลัวใครจะหาว่าอวยเกินเหตุ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าผู้เล่นตัวจริงของลิเวอร์พูลชุดนี้นั้น สามารถต่อกรกับทุกทีมในโลกได้้เลยในเวลานี้และมีลุ้นที่จะเอาชนะได้ทุกทีมได้เลย แค่การมีกลับมาของฟูลแบ็กอย่างโรเบิร์ตสันและการกลับมาของสตาร์อันดับ 1 ของทีมอย่างโม ซาล่าห์ ก็ส่งผลต่อรูปเกมและผลการแข่งขันอย่างเห็นได้ชัด การเคลื่อนที่ที่เข้าขารู้ใจ การรับ-ส่งบอล การสอดประสานและจังหวะจะโคนต่างๆ มันดูลงตัวและไหลลื่นไปหมดจริงๆ แต่นั่นก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนกันในแง่นี้ เพราะนั่นเท่ากับว่าลิเวอร์พูลจะเล่นได้สุดยอดก็ต่อเมื่อพวกเขาฟูลทีม และเจอร์เก้น คล็อปป์เองก็ยังไม่สามารถควานหาผู้เล่นที่คุณภาพทัดเทียมกันมาอุดช่องว่างตรงส่วนนี้ได้ ในฤดูกาลนี้พวกเขาอาจจะโชคดีเพราะว่าไม่น่าจะผลอะไรเซอร์ไพรซ์และหยุดยัั้งไม่ให้พวกเขาคว้าแชมป์ได้แล้ว แต่กับฤดูกาลหน้า ถ้าลิเวอร์พูลอยากจะยกระดับตัวเองให้สูงกว่านี้ หรือแม้แต่แค่การรักษาระดับผลงานของตัวเองไม่ให้ตกลงไป จุดอ่อนตรงนี้น่าจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจริงๆ
ภาพเดิมๆ ที่คุ้นตา
เกมนี้เป็นเกมของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง จริงๆ ครับ หลายๆ สิ่งที่ดีๆ ที่เราจะจินตนาการได้มันเกิดขึ้นแทบจะครบทุกอย่างเลย การเล่นอันสวยงาม มีประสิทธิภาพของทั้งทีม การเพรสซิ่งกดดันของทีมต่อคู่แข่งที่เราคุ้นเคย เริ่มด้วยจากการที่ลิเวอร์พูลได้ประตูนำจากลูกฟรีคิกอันสุดสวยของเทรนท์ อาโนลด์ และตามด้วยการยิงประตูอันเหนือชั้นของดาราประจำทีมอย่างโม ซาล่าห์ และยังแถมด้วยโบนัสที่นานๆ จะได้เห็นทีอย่างการยิงไกลอันทรงพลังของฟาบินโญ่ และการแอสซิสต์อันเหนือชั้นของโม ซาล่าห์ให้กับเพื่อนซี้ (ที่ผ่านการดราม่ากันมาแล้ว) อย่างมาเน่ หลุดไปยิงนิ่มๆ ที่ขาดไปอย่างนึงแต่เชื่อว่าแฟนๆ คงไม่อยากเห็นแน่ๆ นั่นก็คือ การโชว์ ซุปเปอร์เซฟของพ่อหมี อลิสซง เบ็คเกอร์ เพราะว่าเกมนี้พวกเขาจัดการผู้มาเยือนได้อย่างอยู่หมัดและหมดจดจริงๆ พวกเขาจำกัดโอกาสบุกของคู่แข่งได้อย่างยอดเยี่ยม คริสตัล พาเลซมีโอกาสยิงเพียง 3 ครั้งเท่านั้น แถมยังไม่เข้ากรอบเลย แถมลูกทีมของ รอย ฮ็อดจ์สัน ยังไม่มีผู้เล่นได้บอลในกรอบเขตโทษของลิเวอร์พูลเลยแม้แต่หนเดียว เล่นเอาพ่อหมีของเราเหงากันไปเลยทีเดียว แม้แต่คล็อปป์เองที่ปกติจะไม่ค่อยชมนักเตะของทีมบ่อยนัก แต่ในเกมนี้เขายัังเอ่ยปากชมผลงานของลูกทีมผ่านสื่อเลย นั่นเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า เกมนี้ผลงานของพวกเขานั้น ยอดเยี่ยมเพียงใด
ฉลองได้เมื่อไร ?
ตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไรพลิกล๊อกอีกแล้วล่ะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่ว่าเมื่อไรแฟนลิเวอร์พูลจะได้ปลดปล่อยอารมณ์เพื่อฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยกันมานานกว่า 30 ปีตอนไหน ทำไมผมถึงบอกว่ามันไม่น่าจะพลิกล๊อกแล้ว ก็เพราะเพียงแค่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขนี้เพียงข้อใดข้อหนึ่งลิเวอร์พูลก็จะเป็นแชมป์ทันที !
1. แมนฯ ซิตี้ สะดุด -ถ้าเพียงพวกเขาแพ้ หรือเสมอแม้แต่นัดเดียวในจำนวนโปรแกรมที่เหลือ แชมป์จะตกเป็นของหงส์แดงทันที
2. ลิเวอร์พูลชนะอีก 1 นัด - เพียงแค่ชนะอีก 1 นัดเท่านั้นแต้มก็จะขาดลอยหมดสิทธ์ที่แมนฯ ซิตี้จะตามทันแน่นอน
3. ไม่แพ้ในการปะทะกันเอง - ขอแค่ลิเวอร์พูลไม่แพ้ในการไปเยือนแมนฯ ซิตี้ แค่นั้นลิเวอร์พูลก็จะเป็นแชมป์เช่นกัน
4. สถานการณ์ปกติ - ขอแค่ไม่มีการลุกลามของเชื้อโควิท-19 หรือมีโรคใหม่ๆ เข้ามาในช่วงนี้ เชื่อว่าแชมป์จะเป็นของลิเวอร์พูลเช่นกัน
เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้ว แฟนๆ หงส์แดงจะมันรอช้าอยู่ใย .... รีบเอารถแห่มาขัดสีฉวีวัน เช็คลมยาง เช็คเครื่องให้พร้อม เตรียมตัวแห่ฉลองกันได้แล้วล่ะครับ ฮรี่ๆๆๆ