ผลกระทบจากการประกาศชิงเก้าอี้ประธานของ ลาปอร์ต้า
ทุกๆคนคงผ่านตาข่าวการประกาศลงชิงตำแหน่งประธานสโมสรบาร์เซโลน่าของ โจน ลาปอร์ต้า ไปแล้วนะครับ ซึ่งผมเชื่อว่า คงถูกใจสาวก ‘กูเล่ส์’ ไม่มากก็น้อย เพราะหลายๆคนคงยังติดตาภาพความสำเร็จยุคทริบเบิ้ลแชมป์สมัยแรกได้ดี นั่นเป็นยุคทองที่ถือเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของสโมสรเลยทีเดียว
ทีมเล่นอย่างมีสไตล์ สวยงาม ทรงประสิทธิภาพ ทั้งยังใช้นักเตะจาก ลา มาเซีย เป็นแกนหลัก สร้างความภาคภูมิใจให้แฟนบอลอย่างยิ่ง
ตัดภาพมาดูยุคปัจจุบันภายใต้การนำของ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว แฟนๆคงสะท้อนใจ เพราะต่างกันราวฟ้ากับเหว ฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งในแง่ผลการแข่งขันและการบริหารงาน
โทษว่าเป็นเพราะโควิด-19 ก็ได้ แต่หลายๆการตัดสินใจของ บาร์โตเมว นำมาซึ่งเหตุการณ์ความวุ่นวายซึ่งเกิดก่อนโควิดจะบุกเข้ามาด้วยซ้ำ ยังดีที่ท้ายที่สุดแล้วเขายังสามารถรั้ง ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะคนสำคัญที่สุดของสโมสรเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟนบาร์ซ่า พวกเขายังคงไม่วางใจ เพราะการที่ ‘คิงเลโอ’ ยอมรั้งอยู่กับทีมต่อไป เห็นได้ชัดเจนว่า ‘จำใจ’ มากกว่า ‘เต็มใจ’ อันด้วยสัญญาที่ผูกมัดไว้ดูจะเสียเปรียบ อีกทั้งเจ้าตัวยังไม่ต้องการขึ้นศาลกับสโมสรที่ผูกผันมาตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ บาร์เซโลนิสโม่ จำนวนไม่น้อยจึงกลัวว่าเมื่อถึงเดือนมกราคมปีหน้า เมสซี่ จะเซ็นฟรีกับสโมสรอื่นแล้วย้ายออกไปหลังเดือนมิถุนายน 2021
เมสซี่ ใสสีเสื้อทีมอื่น..เป็นภาพที่แฟนบาร์ซ่าทุกคนไม่อยากเห็น
แต่จะมีทางไหนบ้างที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้น ?
ส่วนตัวผมคิดว่าพอมีอยู่ครับ ผมมองว่าการลงสมัครรับเลือกตั้งประธานสโมสรคนใหม่ของ ลาปอร์ต้า คือสัญญาณในแง่บวกซึ่งส่งผลต่อความเป็นไปของเรื่องนี้
ผมเชื่อว่าถ้า ลาปอร์ต้า ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เขาคงไม่ลงสมัครในครั้งนี้แน่ เพราะได้รับบทเรียนมาแล้วเมื่อปี 2015 ที่เขาฝืนจะกลับมาทั้งๆที่เป็นรอง
ตอนนั้นกระแสของ บาร์โตเมว ดีกว่ามาก ไม่ว่าจะสำรวจจากโพลสำนักไหนก็ชี้ตรงกัน ประกอบกับ บาร์เซโลน่า เพิ่งจะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ เบอร์ลิน มาได้หมาดๆ เลยทำให้ ลาปอร์ต้า แพ้ราบคาบ
ผลคะแนนเมื่อ 5 ปีก่อน บาร์โตเมว ได้รับเสียงโหวตไปทั้งสิ้น 54.63% (25,823 เสียง) ขณะที่
ลาปอร์ต้า ได้ไป 33.03% (15,615 เสียง) ส่วนอันดับ 3 และ 4 ได้แก่ เอากุนติน เบเนดีโต้ 7.16 % (3,386 เสียง) , โตนี่ เฟรชา 3.70% (1,750 เสียง)
มาครั้งนี้ ลาปอร์ต้า กลับมาในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป ไม่เพียงแค่ บาร์โตเมว คู่แข่งตัวฉกาจหมดสิทธิลงชิงตำแหน่งเท่านั้น แต่ผลพวงจากการบริหารของเขายังทำให้สโมสรกำลังตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ โซซิโอทุกคนต้องการเปลี่ยนแปลง มากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
สถานการณ์ ณ ตอนนี้ โซซิโอต้องการพระเอกขี่ม้าขาวเข้าพลิกฟื้นสโมสรทั้งการเงินและผลงานทีม ทั้งยังหวังว่าประธานคนใหม่สามารถรั้ง เมสซี่ ให้อยู่กับทีมได้ต่อไป
หากผู้สมัครรายใดสามารถทำให้โซซิโอเชื่อว่าสามารถทำได้จริง เขาจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งผมคิดว่าคนๆนั้นน่าจะเป็น ลาปอร์ต้า
“พลิกฟื้นเศรษฐกิจ, ชาบี กลับมาคุมทีม และนำ เนย์มาร์ กลับมา” แคมเปญที่คาดว่า ลาปอร์ต้า จะใช้หาเสียง ซึ่งเอาจริงๆแล้ว เป็นไอเดียที่ simply เอามากๆ แถมผู้สมัครคนอื่นๆก็พยายามที่จะชูแคมเปญคล้ายคลึงนี้มาหาเสียงเช่นกัน
แต่ความแตกต่างคือ wording เดียวกัน ความคิดเดียวกัน แต่คนพูดคนละคนกลับสร้างพลังความน่าเชื่อถือที่แตกต่างกัน
บิคตอร์ ฟอนต์,ยอร์ดี้ ฟาร์เร่,ยุยส์ เฟร์นานเดซ,ยอร์ดี้ โรเช่,เอากุนตี เบเนดีโต้ คือแคนดิเดตที่จะลงสมัครในครั้งนี้ ซึ่งดูจากชื่อชั้นแล้วมีเพียงในรายของ ฟอนต์ เท่านั้นที่น่าจะสู้กับ ลาปอร์ต้า ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ฟอนต์ เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ ดูไบ หลายปี ในฐานะผู้บริหารเดลต้า พาร์ทเนอร์ กรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาดานโทรคมนาคมระดับนานาชาติ ซึ่งช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ ชาบี เอร์นานเดซ ขึ้นมา
ดังนั้นหากจะมีใครที่ชูแคมเปญ “ชาบีคุมบาร์ซ่า” แล้วทำให้โซซิโอเชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นได้จริง นอกจาก ลาปอร์ต้า แล้ว ก็คงจะเป็น ฟอนต์ นี่แหละ นอกจากนี้แล้วในเรื่องของประสบการณ์ ความเป็นที่รู้จัก และยอมรับก็มีเพียงแค่เขาที่ดูจะคู่คี่ที่สุด
อย่างไรก็ดี ผมมองว่า ลาปอร์ต้า มีโอกาสสูงมากที่จะชนะการเลือกตั้งนี้ ข้อได้เปรียบเเรกคือภาพลักษณ์ของเขายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ บาร์โตเมว อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อ บาร์โตเมว ละเลง บาร์ซ่า จนเละไม่มีชิ้นดี โซซิโอย่อมอยากที่จะโดดไปหาขั้วที่มีนโยบายแตกต่างกัน
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเขากับ โยฮัน ครัฟฟ์ บุคคลที่แฟนบาร์ซ่าทุกคนให้ความเคารพก็ถือว่าเป็นจุดแข็ง ซึ่งยังได้เชื่อมต่อไปยัง ยอร์ดี้ ครัฟฟ์ ลูกชายของ โยฮัน และ ยอร์ดี้ นี่แหละที่ถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ เพราะเขาเป็นคนที่ ชาบี หมายตาเอาไว้จะให้เข้ามาทำงานร่วมกันหากเขาถูกแต่งตั้งให้คุม บาร์ซ่า
นอกจากนั้นแล้ว ในยุคที่ ลาปอร์ต้า นั่งแท่นบริหาร คือยุคที่ บาร์ซ่า ประสบความสำเร็จสูงสุด คว้าทริบเบิ้ลแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เชื่อว่าแฟนบอลส่วนใหญ่ยังคงติดภาพแห่งความสำเร็จนี้
แม้ข้อเสียของเขาคือการบริหารการเงิน สมัยที่เขาเป็นประธานทีมเคยมีปัญหาเรื่องนี้ จนถูกบอร์ดของ ซานโดร โรเซลล์ กับ บาร์โตเมว ฟ้องร้อง กระนั้นถ้าเวลาก็ผ่านมานาน อีกทั้งเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบันซึ่งย่ำแย่กว่า ก็น่าจะทำให้โซซิโอมองข้ามข้อด้อยตรงนี้ไป
การมาของ ลาปอร์ต้า ครั้งนี้ เชื่อว่ามีการวางแผนเป็นอย่างดี และสิ่งที่สามารถคาดหวังได้จากการมาของเขาก็คือสามารถรั้ง เลโอ เมสซี่ เอาไว้กับทีมต่อไป
ไม่ว่าใครจะขึ้นแท่นบริหารเป็นประธานคนต่อไปของ บาร์เซโลน่า ย่อมไม่มีใครต้องการเป็นประธานสโมสรคนแรกในรอบ 20 ปีที่ไม่มี เมสซี่ อยู่กับทีม
การบริหารงานปีแรกคงหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง หากว่าปราศจาก เมสซี่ ทั้งในแง่ของการฟื้นฟูการเงิน ทั้งในแง่ของผลการแข่งขันในสนาม จริงอยู่จะช้าจะเร็ววันนึง บาร์ซ่า ก็จะไม่มี เมสซี่ แต่มันจะต้องไม่ใช่ปีแห่งแรกแห่งการทำงานของท่านประธานคนใหม่
เช่นนี้แล้ว ส่วนตัวผมจึงคิดว่าการที่ ลาปอร์ต้า ประกาศลงชิงตำแหน่งประธานบาร์ซ่าในครั้งนี้ นอกจากจะมั่นใจว่าชนะการเลือกตั้งแล้ว เขายังต้องมั่นใจมากๆว่าสามารถรั้ง เมสซี่ ไว้กับทีมได้
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ บาร์เซโนิสโม่ สามารถคาดหวังได้จากการคัมแบ็กของชายที่ชื่อ โจน ลาปอร์ต้า
เจมส์ ลา ลีกา