สำหรับนักเตะหมายเลข 7 คนใหม่ของทัพ “เสือใต้” อย่าง แซร์ช นาบรี้ เมื่อสามารถก้าวมาเป็นตัวหลักได้อย่างเต็ภาคภูมิ พร้อมกับพาทีมเก็บเกี่ยวความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด เขาเปิดฉากบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2020-21 อย่างน่าประทับใจ ด้วยการยิงแฮททริค ในเกมที่ต้นสังกัดเปิดบ้านถล่มชาลเก้ อย่างขาดลอย ด้วยสกอร์ 8-0
อย่างไรก็ตาม การจะก้าวมาถึงจุดน้ีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาต้องผ่านแบบทดสอบ และการพิสูจน์ตัวเองมากมาย ช่วงนี้ เราลองย้อนไปดูบางช่วงบางตอน สำหรับชีวิตของเขากันหน่อย
แซร์ช นาบรี้ เกิด และเติบโตที่เมืองสตุ๊ทการ์ท ประเทศเยอรมัน ช่วงปี 2011 เขาตัดสินใจครั้งสำคัญ เมื่อย้ายจากอะคาเดมี่ของสตุ๊ทการ์ท มาร่วมทีมเยาวชนของอาร์เซน่อล เป็นการออกมาเล่นนอกบ้านเกิดเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยนำมาซึ่งการปรับตัว และการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป
กระทั่งเดือนสิงหาคม ปี 2015 นาบรี้ ในวัย 20 ปี ย้ายออกจากทัพ “เดอะ กันเนอร์ส” ในรูปแบบของการยืมตัว เพื่อเป็นการไล่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และค้นหาโอกาสการลงสนามที่มากขึ้น จากลอนดอน มุ่งหน้าสู่เวสต์ มิดแลนด์ส โดยมีสโมสรอย่างเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เป็นจุดหมายปลายทาง
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการยืมตัว 1 ฤดูกาล ต้องหยุดเอาไว้ที่กลางทางเท่านั้น เมื่อเขาได้ลงเล่นในถิ่น “เดอะ ฮอว์ธอร์นส” เพียงแค่ 5 เดือน ก่อนถูกอาร์เซน่อล ทำการดึงตัวกลับมา เนื่องจากมองไม่เห็นการเปิดโอกาสการพัฒนาฝีเท้า และไม่มีโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควร
เมื่อตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ในการยืมตัวกับเวสต์บรอมวิชฯ นาบรี้ รับโอกาสลงสนามในศึกพรีเมียร์ลีก เพียงเกมเดียวเท่านั้น แถมยังเกิดขึ้นในฐานะตัวสำรองอีกต่างหาก รวมเวลาแล้วทั้งหมดคือ 12 นาที แน่นอนว่า พัฒนาการของเขา ที่จะได้มาจากการยืมตัวนั้น ต้องหยุดชะงักลงไปอย่างน่าเสียดาย
โทนี่ พูลิส ผู้จัดการทีมเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในช่วงเวลานั้น ออกมาย้อนความทรงจำว่า นาบรี้ ยังดีไม่พอสำหรับพรีเมียร์ลีก การถูกยืมตัวมาเล่นที่นี่ เพื่อต้องการโอกาสในการลงสนามแข่งขัน แน่นอนว่า ตัวของ นาบรี้ ก้าวขึ้นมาจากการเล่นฟุตบอลในระดับอะคาเดมี่ และไม่ได้สัมผัสประสบการณ์ในฟุตบอลลีกมากนัก
พูลิส กล่าวต่อว่า เขากำลังพูดถึงลีกสุดหินอย่างพรีเมียร์ลีก ในฐานะของกุนซือ ที่ต้องการเก็บชัยชนะ เขาจำเป็นต้องทำการเลือกสรรชุดผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนามแข่งขัน เขาไม่สามารถจับคนใดคนหนึ่ง เพื่อเอาไปขังอยู่บนม้านั่งสำรอง เพียงแค่ไม่ชอบหน้าเป็นการส่วนตัวได้
จากการเป็นเพียงแค่ดาวรุ่ง ที่แทบไม่มีโอกาสลงสนาม แม้กับทีมขนาดเล็กอย่างเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน รวมถึงการเบียดแย่งตำแหน่ง 11 คนแรก ภายในทีมอาร์เซน่อล ที่จำนวนการลงสนามอย่างเป็นทางการแทบไม่มีเช่นเดึยวกัน การกลับบ้านเกิดที่เยอรมัน จึงเป็นทางออกสุดท้าย โดยมีแวร์เดอร์ เบรเมน รับช่วงต่อ
นาบรี้ กล่าวถึงประสบการณ์ ในการย้ายมาเล่นฟุตบอลที่ดินแดนผู้ดีว่า มีข้อดีที่ปะปนอยู่ด้วยเหมือนกัน “ผมต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมมองว่า ฟุตบอลอังกฤษ เป็นอะไรที่ยากมากเลยล่ะ แต่สุดท้าย สิ่งเหล่านั้นคอยมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม และช่วยให้ผมเติบโตขึ้นมา”
“การตัดสินใจกลับมาเล่นที่เยอรมัน ส่วนสำคัญเกิดจากความผิดหวังที่เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน รวมถึงการไม่เห็นโอกาสลงเล่นที่อาร์เซน่อล สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญ ผมต้องการลงเล่นฟุตบอลในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง การกลับมาที่เล่นที่บ้านเกิด จึงเป็นทางออกที่ดี”
นาบรี้ กล่าวต่อ ถึงการต่อสู้ในแบบฉบับของตัวเอง นั่นคือการมองโลกในแง่ดี และเอาชนะทุกอุปสรรคที่ผ่านพ้นเข้ามา โดยกล่าวว่า “ผมไม่เคยสูญเสียความสุขในการเล่นฟุตบอล มันควรอยู่ในทุกกีฬา และสาขาอาชีพ เราไม่ควรสูญเสียความสุขกับสิ่งที่ตัวเองหลงใหล ผมเชื่อว่าทุกคนต่างมีความสามารถในแบบฉบับของตัวเอง หากคุณลงมือทำมันแบบจริงจังมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์จะออกมาไวขึ้นเท่านั้น”
ความคิดเหล่านั้น ช่วยให้เขาสามารถพัฒนาฟอร์มการเล่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนถูกทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ดึงตัวมาร่วมทีมในช่วงปี 2017 ก่อนจะส่งไปให้ฮอฟเฟ่นไฮม์ ช่วยขัดเกลาฝีเท้า จนสามารถกลับมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมได้เป็นผลสำเร็จอย่างที่เห็นกัน
ฤดูกาลที่ผ่านมา นาบรี้ สามารถจบฤดูกาลด้วยการพาบาเยิร์น มิวนิค ผงาดคว้าแชมป์บุนเดสลีกา พร้อมผลงานส่วนตัวในลีก คือการคว้าตำแหน่งรองดาวซัลโว และรองจอมแอสซิสต์ประจำทีม “เสือใต้” ที่จำนวน 12 ประตู กับอีก 10 แอสซิสต์ตามลำดับ ทิ้งท้ายด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองเป็นครั้งแรกในชีวิตอีกด้วย
.... และการผจญภัยของเขา ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเกียรติยศไม่หยุดลงเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
