:::     :::

บัวไม่ช้ำ...น้ำไม่ขุ่น

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
2,282
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกม "ลอนดอน ดาร์บี้" ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์จบลงด้วยผลเสมอแบ่งกันทีมละ 1 คะแนน ทำให้ เชลซี ชวดที่จะขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงของตาราง

แต่สื่อเมืองผู้ดีชี้ว่าผลการแข่งขันที่ออกมาถือว่าจบลงอย่างยุติธรรมแล้ว แม้ว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะบอกว่าทีมน่าจะคว้าไปครองมากกว่า

ก่อนเกม โชเซ่ มูรินโญ่ เล่นสงครามประสาทก่อนเลย โดยชี้ว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่ได้นับความกดดันในการนั่งเก้าอี้นายใหญ่แห่งรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ เหมือนอย่างเมื่อสมัยที่ตัวเองทำหน้าที่

เท่านั้นไม่พอยังบอกว่าการทุ่มเงินขนาดนี้ต้องแชมป์เท่านั้น!!!

        

คือจะหยิบยกขึ้นมาว่าสมัยตัวเองเข้ามาปีแรก แม้จะใช้เวินไปเยอะแต่ก็เสกแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ทีมได้ว่างั้นเหอะ

ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสถนัดอยู่แล้ว 

แหม... ก็ซีซั่นที่แล้วเล่นทุบเจ้านายเก่าทั้งเหย้า-เยือนในพรีเมียร์ลีก มันก็มีเสียหน้ากันบ้าง

การจัดทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ถือว่าไม่พลิกโผอะไรนัก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับมาประจำหน้าที่ในแดนกลางอีกครั้งหลังหลีกทางให้ จอร์จินโญ่ ลงเล่นตัวจริงในเวทียุโรป ส่วนอีกคนคือ ฮาคิม ซิเย็ค ที่หายกลับมาลงเล่นเป็นสำรองในเกมกับ แรนส์ ออกสตาร์ทตัวจริง

        

หน้าตาทีมเป็น เอดูอาร์ เมนดี้ เฝ้าเสา กองหลังมี รีซ เจมส์, ติอาโก ซิลวา, คูร์ท ซูม่า และ เบน ชิล เวลล์ แดนกลาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาเตโอ โควาซิช และ เมสัน เมาท์ ทำหน้าที่ ส่วนแนวรุก ฮาคิม ซิเย็ต, ทิโม แวร์เนอร์ และ แทมมี่ อบราฮัม ประสานงาน

แต่ก็อย่างที่บอก ระบบอาจจะปรับเป็น 4-2-3-1 ได้ตามแต่จังหวะ โดย เมสัน เมาท์ สามารถสอดขึ้นไปเล่นเกมรุกได้อย่างที่ทำมาเสมอ

เปิดฉากมากลับเป็นทาง สเปอร์ส ที่เริ่มต้นด้วยการครองบอลมากกว่า ในขณะที่ฝั่ง เชลซี เองจะเริ่มบีบจังหวะต่อเมื่อมาถึงกลางสนามเท่านั้น 

แต่การแบ่งบอลคืนมาได้ก็เกือบได้เรื่องจากตรงกลางสนามที่ เมสัน เมาท์ กระชากมาถึงหน้าเขตโทษก่อนไหลให้ ทิโม แวร์เนอร์ ได้ปั่นด้วยขวาบอลเสียบเสาอย่างสวย แต่ว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าซะก่อน


เสียดายที่มันควรจะเป็นลูกยิงสร้างความมั่นใจหลังจากที่ก่อนหน้านี้ดาวยิงทีมชาติเยอรมันโดนวิจารณ์ว่าใช้โอกาสเปลืองและตัดสินใจในหลายจังหวะไม่ดีนัก

หลังจากนั้นกับจังหวะยิงของ แซร์ช โอริเย่ร์ ที่ เอดูอาร์ เมนดี้ ล้มตัวปัดเอาไว้ได้ เกมก็แทบจะเป็นเจ้าบ้านที่ได้โอกาสลุ้นประตูอยู่ข้างเดียว

ถึงกระนั้นมันก็แทบไม่ใช่โอกาสที่ดีถึงขั้นที่จะทำให้ได้เสียวแบบได้ประตูแบบเน้นๆเลย

สกอร์ 0-0 ในครึ่งแรกถือว่าสมเหตุสมผล แม้ว่าในช่วงครึ่งทางของครึ่งหลังแทบจะเป็น "สิงห์บลูส์" ได้ลุ้นอยู่ข้างเดียว แต่ก็อย่างที่บอกไม่ได้เสียวถึงขั้นต้องร้องซี๊ด

โดยเฉพาะการต่อบอลประสานงานที่ต้องบอกว่ามีให้เห็นน้อยมาก ทางฝั่ง สเปอร์ส ยังมีการต่อบอล เล่นชิ่งที่ดีกว่าอย่างชัดเจน 


โอกาสในครึ่งหลังมีอยู่สามหนที่ได้ลุ้น คือจังหวะเอาบอลลงแล้วยิงในกรอบของ ฮาคิม ซิเย็ค ที่ข้ามคาน, จังหวะสับไกนอกกรอบของ เมสัน เมาท์ ที่ อูโก้ โยริส ปัดออกหลังไป และจังหวะที่ โจ โรดอน โหม่งคืนหลังพลาด โอลิวิเยร์ ชิรูด์ พยายามยิงข้ามตัว อูโก้ โยริส แต่ก็เบาไป

ในภาพรวม เชลซี ทำได้ดีกว่า โดยเฉพาะจังหวะเข้าทำ แต่ก็อย่างที่บอกมันไม่ได้เป็นจังหวะที่น่าได้ประตูอะไรมากมาย แถมไม่มีการต่อบอลเข้าไปยิงในเขตโทษเลย

น่าจะเป็นโจทย์ที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังต้องแก้ต่อไปหากหวังจะไปถึงตำแหน่งแชมป์ โดยเฉพาะการเล่นในบ้านและเจอกับคู่แข่งโดยตรงยังไงก็ต้องคว้าชัยชนะมาครองให้ได้


ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากอาการ "กลัวแพ้" ของทั้งสองทีม ทำให้เกมหน้าพื้นที่เขตโทษอัดแน่นจนแทบไม่มีโอกาสจะแจ้งกันเท่าไร 

ผลเสมอในเกมนี้ทำให้ทีมหยุดสถิติชนะติดต่อกันไว้แค่ 6 เกม แต่ก็ยืดสถิติไม่แพ้ใครมา 14 เกมติดต่อกัน ซึ่งทีมเสียประตูแค่ 2 ลูกเท่านั้นจาก 9 เกมหลัง

เอาเป็นว่ามองในแง่ดีแม้ไม่ชนะแต่ก็ไม่ได้แพ้ แต้มก็ตามหลังจ่าฝูงแค่ 2 คะแนน เส้นทางยังอีกยาวไกล

ค่อยๆไปทีละก้าวก่อนละกัน

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด