:::     :::

VAR กับปัญหาที่พรีเมียร์ลีกต้องเร่งแก้ไข

วันอังคารที่ 08 ธันวาคม 2563 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,158
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นับตั้งแต่วงการลูกหนังเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่า Video Asistant Referee หรือ VAR เข้ามาช่วยในการตัดสินจังหวะสำคัญๆ ของเกมนั้น บางครั้งบางหนกลับกลายเป็นว่าเทคโนโลยีตัวนี้ กลับก่อให้เกิดปัญหาและเป็นประเด็นถกเถียงหนักกว่าตอนยังไม่มีเสียอีก

โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

 

เว็บไซต์ Planetfootball ได้ลองรวบรวมสถิติของทั้ง 20 ทีมในฤดูกาลปัจจุบัน แล้วมาไล่เรียงว่าทีมไหนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนคำตัดสินของวีเออาร์กันบ้าง ปรากฏว่า อันดับ 1 ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กับ เอฟเวอร์ตัน โดยทั้ง 2 ทีมนั้นได้ประโยชน์จากวีเออาร์ถึงทีมละ 3 ครั้ง ส่วนทีมที่เสียประโยชน์มากที่สุดคงเดาได้ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะครับ

 

ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นั่นไง

 

ฤดูกาลนี้แชมป์เก่าเสียประโยชน์จากวีเออาร์ไปมากถึง 8 ครั้ง และได้ประโยชน์จากการตัดสินเพียงโดยเป็นการปฏิเสธการได้ประตูของนักเตะหงส์แดงถึง 3 ครั้ง ไล่ตั้งแต่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โม ซาล่าห์ และ ดิโอโก้ โชต้า ที่เหลือเป็นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ ลิเวอร์พูล เสียจุดโทษ หรือแม้แต่จังหวะที่คู่แข่งควรได้รับการลงโทษมากกว่าแค่ใบเหลือง

 

นอกจากนี้ ยังมีการยกตัวอย่าง 2 เหตุการณ์เด่นของ ลิเวอร์พูล ที่มีปัญหากับ VAR เอามาให้เห็นภาพมากขึ้นอีกด้วย ครั้งแรกคือในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน กับจังหวะที่ควรจะเป็นประตูชัยของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน แต่ถูกตีเส้นว่าเป็นลูกล้ำหน้าจาก "ศอก" ของ ซาดิโอ มาเน่



 

อีกจังหวะคือจุดโทษของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ ฟาบินโญ่ เข้าสกัด โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ ซึ่งดูภาพช้าจริงๆ แล้วเราจะเห็นว่าเป็นการทำฟาวล์ตรงเส้นเขตโทษด้วยซ้ำ และเท้าของคนถูกทำฟาวล์ยังอยู่นอกกรอบเขตโทษอีกต่างหาก

 

เสียงก่นบ่นจากแฟนบอลเรื่องมาตรฐานการตัดสินจาก VAR ดังระงมมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนแล้วนะครับ ซึ่งในฤดูกาลนี้ทางพรีเมียร์ลีกก็ได้ปรับปรุงหลายอย่างเกี่ยวกับการใช้ VAR จากที่เคยมีแนวทางของตัวเองที่ผิดแผกไปจากลีกอื่นก็ยอมปรับมาใช้แนวทางเดียวกับทางฟีฟ่าทุกระเบียด ถึงกระนั้นเองก็ยังคงมีข้อกังขาจากการตัดสินที่ค้านสายตาและค่อนข้างไม่เมคเซนส์อยู่แทบจะทุกสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นลูกล้ำหน้าของ พาทริค แบมฟอร์ด ในเกมกับ พาเลซ, โอลลี่ วัตกินส์ ในเกมกับ เวสต์แฮม หรือกระทั่ง เอริค ดายเออร์ ที่ถูกจับแฮนด์บอลทั้งที่หันหลังให้จนทีมเสียจุดโทษช่วงทดเจ็บ

 

หันไปดูเพื่อนบ้านตามลีกใหญ่ๆ กันบ้าง ผมมองว่าลีกที่ใช้งาน VAR ได้อย่างแม่นยำที่สุด คือ บุนเดสลีกา ของเยอรมัน ด้วยความที่พวกเขานั้นเป็นหนึ่งในประเทศนำร่องที่เริ่มใช้ VAR มาช่วยในการตัดสิน ตั้งแต่ฤดูกาล 2017-18 และยังคงพัฒนาหาวิธีปรับปรุงแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าใครได้ดูบุนเดสลีกา เราจะเห็นว่าประเด็นข้อกังขาเกี่ยวกับ VAR ค่อนข้างมีน้อย อีกทั้งเกมการแข่งขันยังไหลลื่นไม่สะดุดอีกด้วย

 

ที่บุนเดสลีกา ผู้ตัดสินในสนามจะได้รับสิทธิ์ในการชี้ขาดคำตัดสินทุกกรณีครับ คำชี้แจงจากผู้ตัดสินในห้อง VAR เป็นแค่คำแนะนำเท่านั้น ไม่ใช่คำตัดสินชี้ขาดอย่างที่เราเห็นกันในพรีเมียร์ลีกบางเกม

 

มีการวัดค่าเฉลี่ยในการตรวจสอบ VAR ของบุนเดสลีกาฤดูกาลที่แล้วออกมาเป็นตัวเลข ผลปรากฏว่าค่าเฉลี่ยในการเสียเวลาไปเช็คจอ VAR หรือการปรึกษากับทีมตัดสินนั้น ใช้เวลาอยู่ที่ 45-90 วินาทีต่อครั้งเท่านั้นเอง โดยทางบุนเดสลีกาไม่ได้กำหนดจำนวนครั้งในการเช็คและไม่กำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาปรากฏว่าค่อนข้างเที่ยงตรงและแม่นยำในระดับเกรดเอเลยทีเดียว

 

ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่พวกเขาได้ใช้งาน VAR มาก่อนพรีเมียร์ลีกถึง 2 ฤดูกาล จึงทำให้บุนเดสลีกาหาจุดสมดุลตรงกลางออกมาได้ก่อนลีกอื่นก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องยอมรับนะครับว่ากฏระเบียบต่างๆ ที่ทางเยอรมันเขาใช้ ค่อนข้างรัดกุมกว่า และทำงานกันเป็นทีมได้ดีกว่า

 

ข้ามไปฝั่งกัลโช่ เซเรีย อา แม้จะเป็นลีกใหญ่แต่ประเด็นปัญหาของการใช้ VAR ถือว่าน้อยกว่าพรีเมียร์ลีกเยอะมาก ในฤดูกาลที่แล้วมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความไม่เมคเซนส์ของแฮนด์บอล ที่ไม่ว่าลูกฟุตบอลโดนส่วนไหนของแขนให้ถือว่าเป็นการฟาวล์หมด แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขาก็ปรับเปลี่ยนกฏ ถ้าเป็นตั้งแต่ช่วงไหนถึงช่วงไหนของฝ่ายรับ ไม่ถือว่าเป็นการฟาวล์ รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างห้อง VAR กับผู้ตัดสินในสนามก็มีการปรับปรุงเพิ่มขึ้น ให้อำนาจแก่ผู้ตัดสินในสนามเต็มที่ และพยายามหาทางลดปัญหาที่จะเกิดการถกเถียงในภายหลัง

 

หากเทียบเฉพาะเรื่องการใช้ VAR ในเวลานี้ พรีเมียร์ลีกตามหลังบุนเดสลีกากับกัลโช่ เซเรีย อา อยู่พอสมควร จุดหนึ่งที่ผมรู้สึกก็คือด้วยความเป็นอังกฤษ บางครั้งเหมือนพวกเขามีอีโก้บางอย่างอยู่ในตัวลึกๆ อีโก้ที่แบบว่า ฉันจะมีแนวทางของฉันแบบนี้ ฉันจะต้องไม่เหมือนที่อื่น แม้ฤดูกาลนี้จะมีการปรับเปลี่ยนบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงเห็นอีโก้นี้อยู่ในหลายๆ เกม

 

จุดประสงค์ที่วงการฟุตบอลนำ VAR มาใช้ ก็ตามชื่อที่ตั้งนั่นแหละครับ คือนำมาเป็นผู้ช่วยในการตัดสินโดยเฉพาะจังหวะสำคัญที่มีผลต่อเกม แต่จากที่เห็นตอนนี้ ผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีกเองในบางครั้งกลับไม่เลือกใช้ VAR หรือใช้ก็จริงแต่ก็ไม่เกิดประโยชน์สูงสุดตามที่มันควรจะเป็น

 

เทคโนโลยี มีขึ้นเพื่อช่วยให้มนุษย์สามารถทำงานได้ง่ายและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนใช้งานก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดานี่แหละ มนุษย์ที่เราไม่รู้เลยว่าอารมณ์มีส่วนต่อการตัดสินมากน้อยแค่ไหน และไม่รู้เลยว่ามาตรฐานของดุลยพินิจของแต่ละคนอยู่ที่ขีดไหน

 

VAR ของพรีเมียร์ลีกจะเกิดประสิทธิภาพมากกว่านี้ หากมีการขีดเส้นให้ชัดเจนในกฏไปเลยว่าส่วนไหนที่ล้ำแล้วมีผลต่อการได้ประตู การฟาวล์ที่คาบเกี่ยวต่อการเป็นจุดโทษคืออะไร เพิ่มการสื่อสารระหว่างห้องควบคุมกับคนบนสนามให้มากขึ้น เช่นจังหวะไหนควรย้อนกลับมาดู VAR เพื่อลงโทษผู้เล่นนอกเกม ลดสิ่งที่อาจเป็นอีโก้ในแบบฉบับคนอังกฤษบางอย่างลง ผมเชื่อว่าถ้าทำได้นะ พรีเมียร์ลีกจะใช้ VAR ได้ดีไม่แพ้ฝั่งบุนเดสลีกาอย่างแน่นอน


คำค้นหา : Liverpool VAR PremierLeague Bundesliga SerieA
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด