:::     :::

โอกาสน้อย

วันพฤหัสบดีที่ 04 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,683
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ป้อมปราการเหล็กอย่างแอนฟิลด์ที่แข็งแกร่งมายาวนานกว่า 3 ปี .... บทจะพังทลายลง ก็พังลงง่ายๆ อย่างเหลือเชื่อจริงๆ เหมือนกันนะครับ



เมฆหมอกยังไม่หายไป

          ก่อนลงสนามในเกมนี้ ลิเวอร์พูลมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายให้ชวนสับสนปะปนกันไปครับ ข่าวร้ายแรกคือตอนนี้กองหลังตัวจริงของลิเวอร์พูลทั้ง 3 คนน่าจะปิดเทอมยาวหมดสิทธ์ลงสนามกันทั้งหมดแล้วครับ ซึ่งถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสแบบไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเหมือนกันครับ ที่ทีมไหนจะดวงกุดได้ขนาดนี้ แต่ปัญหานั้นก็ได้รับการแก้ไขเยียวยาในระดับนึงครับ เมื่อบอร์ดบริหารของทีมได้เซ็นสัญญาเอากองหลังตัวกลางเข้ามาพร้อมกันทีเดียว 2 คนเลย คือ เบน เดวิส และ  โอซาน คาบัค เพื่อมาแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งก็ถือว่าแก้ไขปัญหาได้ดีพอสมควรครับ ทั้ง 2 คนนี้ค่าตัวไม่ได้สูงมาก และถ้าผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเงินของลิเวอร์พูลมากเท่าไรนัก ที่สำคัญคือ การมีกองหลังมืออาชีพ (จริงๆ ) แบบนี้เสียที จะทำให้สามารถดันเอาทั้งเฮนโด้ และ ฟาบินโญ่ขึ้นไปเล่นในแดนกลางที่ตัวเองถนัดได้ครับ ซึ่งจะว่าไป เพราะลิเวอร์พูลขาด “พลัง” ในแดนกลางของทั้งคู่นี่แหละครับ ทำให้เกมของลิเวอร์พูลมันไม่เหมือนเดิมที่เราคุ้นเคยจริงๆ แต่กระนั้นเกมนี้คล็อปป์เองก็ยังจำเป็นต้องใช้เฮนโด้ ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาร์ฟไปก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ล่ะครับ และเกมนี้พวกเขายังต้องได้รับข่าวร้ายซ้ำอีกเรื่องคือ พ่อหมี อลิสซง ก็หายไปจากทีมจากอาการป่วยไปอีกคนครับ และจากที่ว่ามาข้างต้นทั้งหมด รวมๆ กันแล้วอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลิเวอร์พูลพบกับฝันร้ายในวันนี้ก็เป็นได้ครับ ....




ต้องให้เครดิตไบรท์ตัน


          ก่อนอื่นที่จะตำหนิผู้เล่นของลิเวอร์พูลเอง ต้องให้เครดิตทางฝั่งไบรท์ตันด้วยจริงๆ ครับ ว่าพวกเขาเองก็วางแผนและเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ พวกเขาไม่ได้ไล่ลิเวอร์พูลทั่วทั้งสนามแต่อย่างใดครับ แต่ว่าจะเริ่มเพรสซิ่ง “อย่างหนักหน่วง” เมื่อลิเวอร์พูลเคลื่อนเกมข้ามเข้ามาในแดนของพวกเขา นอกจากการปักหลักเล่นเกมรับอย่างมีวินัยของแผงหลังทั้งแผงแล้ว ที่ต้องชมมากๆ เลยคือ แผงมิดฟิลด์ของพวกเขานี่แหละครับ ที่คอยเร่งคอยบีบคอยตอดเล็ดตอดน้อยผู้เล่นลิเวอร์พูลให้เล่นยาก อยู่ตลอดทั้งเกม และที่น่าชื่นชมมากที่สุดคนนึงน่าจะเป็น อีฟ บิสซูม่า นี่ล่ะครับ ที่ปักหลักเก็บกวาดอยู่หน้าแผงหลังและคุมจังหวะได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่มีเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งเกมจริงๆ ไม่ว่าบอลจะไปอยู่ตรงไหนของสนามเราก็มักจะเห็นบิสซูม่าไปอยู่ตรงนั้นเหมือนกับว่าเป็นนินจาแยกร่างได้ยังไงยังงั้น แถมในเกมโต้กลับ พวกเขาก็ใช้พื้นที่ว่างของสนามได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้การโต้กลับแต่ละครั้งของไบรท์ตันแทบจะถึงหน้าประตูของลิเวอร์พูลและจบด้วยการยิงประตูแทบทุกครั้ง และถ้ายอมรับกันอย่างแฟร์ๆ พวกเขามีลุ้นทำประตูมากกว่าเจ้าบ้านอย่างลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ ตรงนี้ต้องให้เครดิตแผนและความยอดเยี่ยมของไบรท์ตันมากๆ เลยล่ะครับ




ปืนด้านกระบอกเดียว

          เมื่อปีที่แล้ว ลิเวอร์พูลถือว่าเป็นทีมที่ “ครบเครื่อง” มากๆ ทีมหนึ่งเลยนะครับ โดยเฉพาะอาวุธในเกมรุกที่สามารถทำประตูได้อย่างหลากหลาย ทั้งลูกโอเพ่น เพลย์หรือลูกเซ็ท เพลย์ต่างๆ ล้วนแต่มีความน่ากลัวไปเสียทุกอย่าง แต่มาปีนี้อาวุธของพวกเขาลดความอันตรายลงอย่างน่าใจหายครับ ลูกตั้งแตะก็ลดความอันตรายลงไปเยอะ จากการหายไปของผู้เล่นตัวสูงใหญ่อย่างฟาน ไดค์หรือโชเอล มาทิป และอาการหาเรดาห์ไม่เจอของเทรนท์ อาโนลด์ ลูกโอเพ่นเพลย์เองก็ดูแย่จนไม่น่าเชื่อครับ ทั้งซาดิโอ มาเน่ และ ฟิร์มิโน่ ที่ดูเหมือนจะตามหาความเฉียบคมไม่เจอเสียที จะมีที่ยังพอไว้ใจได้ก็แค่ ดิโอโก้  โชต้า และ โม ซาล่าห์ แค่นั้นเองครับ ที่พอจะเป็นที่พึ่งได้ในการจบสกอร์ ซึ่งโชต้าเองก็ยังเรียกความฟิตรอกลับมาลงสนามอยู่ ทำให้ตอนนี้ลิเวอร์พูลเหลือความหวังในการทำประตูอยู่เพียงแค่ โม ซาล่าห์คนเดียวนี่ล่ะครับ ซึ่งไบรท์ตันเองก็รู้แกวอยู่ครับ เขาปิดช่องทางการเล่น และซ้อนซาล่าห์จนแทบจะหาโอกาสสับไกแทบไม่ได้ หรือ พอได้โอกาสยิงก็ติดบล็อกไปหมดซะทุกจังหวะ แต่.... พอได้จังหวะสับไกโล่งๆ เจ้าตัวเองก็ทำพลาดไปเองอย่างน่าเขกกะโหลกเหมือนกันครับ ทั้งจังหวะยิงตอนต้นเกม กับจังหวะที่เทรนด์ตบกลับมาให้แป โล่งๆ ก็ดันซัดออกนอกกรอบแบบไม่ได้ลุ้นไปซะทั้งสองครั้ง แต่ก็อย่างที่บอกล่ะครับ เมื่อความหวังสูงสุดอย่างโม ซาล่าห์เองก็ยังออกทะเลไปซะขนาดนี้ ทั้งทีมเองก็แทบจะพึ่งพาอะไรในจังหวะจบสกอร์ไม่ได้เลย แม้แต่คนเดียว ผลลัพพ์มันถึงออกมาน่าถอนหายใจแบบนี้นั่นแหละ .....







สำรอง ..... หาย !!


          เป็นเรื่องที่ชวนฉงนสงสัยเหมือนกันครับ เมื่อเกมก่อนนี้กับเวสต์แฮม เจอร์เก้น คล็อปป์เองเพิ่งจะโชว์กึ๋นส่งตัวสำรองลงมาพลิกเกมได้แท้ๆ แต่เกมนี้เขาเองก็พยายามทำแบบนั้นให้ได้อีกครั้งหนึ่งนั่นล่ะครับ แต่ผลลัพพ์ของมันกลับออกมาไม่เหมือนกับนัดก่อนซะอย่างนั้น (ฮ่า) ทั้งอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน , ดิว็อค โอริกี้  หรือคนที่ลงพลิกเกมเมื่อนัดก่อนอย่างเคอร์ติส โจนส์ ต่างก็ไม่สามารถช่วยอะไรทีมได้เลย และถ้าจะว่ากันตรงๆ พอสำรองพวกนี้ลงมา เกมของลิเวอร์พูลกลับแย่ลงไปกว่าเดิมเสีบอีก น่าปวดหัวแทนเจอร์เก้น คล็อปป์เหมือนกันครับ ที่บรรดาผู้เล่นสำรองในมือของเขาตอนนี้ ฟอร์มเอาแน่เอานอนไม่ได้เอาเสียเลย.....  แต่จริงๆ แล้วก็อาจะต้องตำหนิคล็อปป์เองเหมือนกันครับ เพราะจริงๆ แล้วทั้งอ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ ดิว็อค โอริกี้ ก็ทำให้ทุกคนเห็นไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า ทั้งสองคนนั้นจะไปคาดหวังอะไรจริงจังแทบไม่ได้เลยจริงๆ แต่คล็อปป์ก็ยังเชื่อใจทั้งคู่อยู่ หรือ ว่าคล็อปป์เองอาจจะคิดอะไรไม่ออกจนต้องหวังพึ่งพลังปาฏิหารย์จากท่านเทพกี้ ไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ (ฮา)

          ทั้งหมดทั้งมวลนี้รวมๆ กัน ก็ทำให้ลิเวอร์พูลตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างน่าอเน็จอนาจในนัดนี้นั่นแหละครับ การเล่นของพวกเขาแย่มากจริงๆ ทั้งเกมพวกเขาสร้างโอกาสได้เพียงน้อยนิด และยิงตรงกรอบไปเพียงแค่ครั้งเดียว และด้วยผลงานลุ่มๆ ดอนๆ แบบนี้ก็น่าจะต้องยอมรับกันตรงๆ ล่ะครับ ว่าเปอร์เซ็นการป้องกันแชมป์ของพวกเขาอาจจะน้อยกว่าโอกาสการทำประตูของพวกเขาในเกมนี้แล้วก็ได้ ....... YNWA ครับทุกคน .... เราจะคลุมปี๊ปไปด้วยกันครับ (ฮา)
     


   




ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด