:::     :::

ต้นแบบของ "เจ้าพ่อบอลถ้วย"

วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
3,002
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในที่สุด สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ก็สร้างเกียรติยศให้กับตัวเอง ด้วยการคว้าโทรฟี่ที่ 7 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร มาครองได้สำเร็จจากถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ หลังบู๊เดือดเสมอกับ ชลบุรี เอฟซี ใน 120 นาที 1-1 ก่อนจะดวลจุดโทษเอาชนะไปได้ 4-3

นอกจากการคว้าเงินรางวัล 5,000,000 บาท "กว่างโซ้งมหาภัย" ยังได้โควตาเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2022 รอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติทันที ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาจะหวดถ้วยเอเชียแบบไม่ใช่รอบเพลย์ออฟ เป็นหนที่สองของสโมสร ต่อจากปี 2020

แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ พวกเขาเองก็ผ่านอะไรมาเยอะมากมาย เรียกได้ว่า สุขปนเศร้าก็คงไม่ผิดนัก โดยเราจะไปย้อนวันวานของการทำทีมให้เป็น "เจ้าพ่อบอลถ้วย" กันดีกว่า


ความตั้งใจของ "บิ๊กฮั่น"

สโมสรแห่งนี้ถือกำเนิดเมื่อ 12 ปีก่อน ในชื่อ เชียงราย ยูไนเต็ด โดยมี มิตติ ติยะไพรัช เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธานสโมสร เพราะมีความชื่นชอบกีฬาฟุตบอลมาแต่เดิมและต้องการมีสโมสรฟุตบอลเป็นของตนเอง 

ครานั้นพวกเขาต้องส่งทีมลงเล่นในดิวิชั่น 2 รอบภูมิภาค โซนเหนือ ซึ่งทีมเลือก "กว่างโซ้ง" เป็นสัญลักษณ์ทีม สื่อถึงความเป็นนักสู้ และใช้สีส้มเป็นเสื้อทีมเหย้า ก่อนดึง ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล เข้ามาเป็นแม่ทัพ ก่อนปรุงแต่งผลงานให้อร่อยเหาะแบบจับต้องได้ 

จนสามารถคว้าแชมป์ของลีกภูมิภาค ภาคเหนือ ด้วยสถิติไร้พ่าย ก่อนจะจบอันดับที่ 2 ในรอบเพลย์ออฟ และได้สิทธิ์เลื่อนชั้นสู่ไทยลีกดิวิชั่น 1 ในฤดูกาลต่อมา แต่ทว่าต้องมีการเปลี่ยนแม่ทัพ เหตุเพราะ "โค้ชวัง" ขอแยกทางไปทำทีม พัทยา ยูไนเต็ด หรือ สมุทรปราการซิตี้ ในปัจจุบัน


"คูกูร่า" ผู้เปลี่ยนมิติของทีม

เมื่อเสีย "โค้ชวัง" ไป ทีมก็เริ่มมองหากุนซือใหม่เข้ามาในปี 2010 จนตัดสินใจเลือก สเตฟาโน คูกูรา กุนซือชาวบราซิลเข้ามาคุมทีมในช่วงกลางฤดูกาล นับว่าเป็นเทรนเนอร์ต่างชาติรายแรกของทีมอีกด้วย

จากทีมที่อยู่ในอันดับ 13 ของตารางขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่สาม ทำให้ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่นไทยลีกเมื่อปี 2011 ในฐานะอันดับ 3 ของลีกพระรอง เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ซึ่ง สเตฟาโน่ คูกูรา สร้างทีมได้อย่างแข็งแกร่ง จนกลายเป็นทีมที่น่าจับตามองในลีกสูงสุด และรับหน้าที่กุมบังเหียนทีมต่อจนกระทั่งปี 2012 ก็ถึงเวลาแยกย้าย ไปคุม ภูเก็ต เอฟซี, โอสถสภาฯ และ ราชนาวี 


ปั้น "ยอดตัวรุก" และ "ยอดโค้ช"

จากนั้น เชียงราย ยูไนเต็ด สร้างความฮือฮา ด้วยการมี "บอย เจียงฮาย" วสันต์ นาทะสัน ที่กลับมาเล่นให้ทีมบ้านเกิด พาทีมไต่เต้าจากดิวิชั่น 1 ขึ้นสู่ไทยลีก ซึ่งเจ้าตัวก็ช่วยถล่มประตูให้ทีมได้เป็นกอบเป็นกำ

ทว่าสวนทางกับผลงานของทีม เมื่อ สเตฟาโน่ คูกูรา ลาออกไป ทีมก็ต้องพยายามหาตัวแทน จนสุดท้ายมาได้ "โค้ชจุ่น" อนุรักษ์ ศรีเกิด เข้ามาช่วยแก้วิกฤตและรอดจากการตกชั้นได้สำเร็จ ก่อนที่ซีซั่นต่อมาอดีตนักเตะของเชียงราย ยูไนเต็ดอย่าง ธีรศักดิ์ โพธิ์อ้น ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นกุนซือใหญ่

แม้ไลเซนต์ของเขายังไม่พรอมเวลานั้น แต่ด้วยปรัชญาในการทำทีมที่มีแนวทางเน้นการพัฒนาเยาวชน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการผลักดัน "เจ้าบุ๊ค" เอกนิษฐ์ ปัญญา ที่สามารถสร้างสถิติเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ ณ ขณะนั้น ด้วยวัย 15 ปีเศษ ที่ยิงใส่ เอสซีจี เมืองทองฯ 

"โค้ชโจ" สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักในฐานะกุนซือในเวลานั้น จนกระทั่งวันนี้ก็ยังคงได้รับการยอมรับ ให้เป็นหนึ่งในโค้ชรุ่นใหม่ที่มีอนาคตอันสดใสรออยู่


2017 ประวัติศาสตร์หน้าใหม่

2016 สิงห์ปาร์ค ของบริษัทสิงห์ ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีม ทำให้เปลี่ยนชื่อเป็น สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และในปี 2017 "กว่างโซ้ง" จัดการยกระดับทีมขึ้นมาเป็นทีมเจ้าบุญทุ่มอย่างเต็มตัวด้วยงบการทำทีมกว่า 300 ล้านบาท 

พวกเขาคว้า ธนบูรณ์ เกษารัตน์ เข้าทีมมาด้วยค่าตัว 50 ล้านบาท (ตัวเลขจากรายงานข่าว) ซึ่งเป็นค่าตัวนักเตะไทยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งซีซั่นนั้นทำให้พวกเขาได้เรียนรู้การเป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยครั้งแรภายใต้การกุมบังเหียนทีมโดย อเล็กซานเดร กามา กุนซือเลือดแซมบ้าที่ย้ายมาจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

การได้แชมป์ ลีก คัพ ทำให้พวกเขาได้เล่นในถ้วยโตโยต้า พรีเมียร์คัพ ดวลกับทีมจากเจลีก ของญี่ปุ่น ส่วนแชมป์ เอฟเอ คัพ นั้นนำพาพวกเขาไปสู่ศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2018 รอบเพลย์ออฟ และนั่นเองที่อาจถือเป็นต้นกำเนิดของประวัติศาสตร์หน้าใหม่


เสียขุมกำลังแต่ไม่หวั่นไหว

กระทั่งซีซั่น 2018 กลายเป็นปีที่เริ่มมีมรสุมเข้า เมื่อทีมประสบปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การที่ผู้เล่นตัวหลักทั้ง ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ย้ายออกจากทีม เพราะด้วยการลาออกของรองประธานสโมสรผู้เป็นกำลังหลักในการบริหารและท่อน้ำเลี้ยงเส้นสำคัญของทีมอย่าง "บิ๊กโจอี้" ธนพล วิระเทพสุภรณ์ จนทีมไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาในฟุตบอลลีกได้

แต่นั่นเองก็เป็นทางเลือกให้พวกเขาโฟกัสมาที่ฟุตบอลถ้วย เพราะอย่าลืมว่าถ้าผลงานดี เหล่าสปอนเซอร์ก็จะหลั่งไหลเข้ามา ซึ่งสุดท้ายแล้วพลพรรค "กว่างโซ้งมหาภัย" ก็สามารถทำได้สำเร็จ ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์คว้า "ทริปเปิลแชมป์" ได้เป็นครั้งแรกของสโมสร

นั่นคือ เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาจึงเป็น "เซียน" ในฟุตบอลถ้วย จนถูกตั้งฉายา "เจ้าพ่อบอลถ้วย" ขึ้นมา แถมเวลานั้นสนามอย่าง สิงห์ สเตเดี้ยม ก็สมบูรณ์แบบมากๆ พร้อมใช้งานใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ทันทีอีกด้วย


เรียนรู้การทำทีมแบบนัดต่อนัด

การย่างก้าวแบบระมัดระวังของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นอีก 1 กุญแจสำคัญ เพราะการก้าวมาลุ้นแชมป์ไทยลีก 2019 ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจากบรรดาคู่แข่งอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี ก็มีการเสริมทัพชนิดจัดเต็ม เพื่อหวังจะเอาโทรฟี่นี้ให้ได้เช่นกัน

ก่อนที่ เชียงราย จะได้ลุ้นแชมป์กับ "ปราสาทสาฟ้า" ถึงเกมสุดท้าย และเป็นยอดทีมจากแดนเหนือบุกไปชนะ สุพรรณบุรี เอฟซี ขาดลอย 5-2 ส่วน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีคะแนนนนำ กว่างโซ้ง 2 แต้มก่อนเกมนัดสุดท้าย พลาดท่าถูกเจ้าถิ่น เชียงใหม่ เอฟซี ตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 88 และจบเกมด้วยสกอร์นี้ 

จนทั้งสองทีมมี 58 คะแนนเท่ากัน เมื่อจบฤดูกาล 2019 แต่เมื่อเทียบผล เฮดทูเฮด ปรากฏว่า เชียงราย ดีกว่า เพราะชนะเกมเหย้า 4-0 เสมอเกมเยือน 0-0 ผงาดคว้าแชมป์ไทยลีก สมัยแรกของสโมสรไปครอง อย่างเหนือความคาดหมาย และกลายเป็นแชมป์ที่ทุกคนพูดถึงกันมากที่สุด


6 คน คว้า 7 แชมป์ใน 4 ปี

ต้นปี 2020 ก่อนที่ โควิด-19 จะระบาด พวกเขาก็คว้าแชมป์ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ชิพ ก่อนจะข้ามปีมาเถลิงบัลลังก์ เอฟเอ คัพ 2020-2021 ซึ่งในทีมมี 6 นักเตะที่คว้าแชมป์ 7 โทรฟี่ ตลอด 4 ปีหลังสุด 

ไม่ว่าจะเป็น  ไทยลีก 2019, ลีก คัพ 2018, ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ 2018, 2020, เอฟเอ คัพ 2017, 2018, 2020 โดยรายชื่อเหล่านั้น ประกอบด้วย พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, ศิวกรณ์ เตียตระกูล, ชัยวัฒน์ บุราณ, สุริยา สิงห์มุ้ย, ชินภัทร์ ลีเอาะ และ อัครวินทร์ สวัสดี 

นี่คือประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เชื่อว่าทุกคนต่างให้การยอมรับว่านี่คือ "บิ๊กทีม" ในเมืองไทยของแท้ ที่สามารถทำสิ่งที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ให้ออกมาเป็นรูปธรรมได้มากที่สุดทีมหนึ่ง

ไม่ว่าใครจะกล่าวถึงทีมในทางใด จะดีจะร้ายแต่สุดท้ายโทรฟี่แชมป์เหล่านี้ก็มาอยู่ในตู้โชว์ของพวกเขาแล้ว และนี่แหละคือความเป็นจริงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้เลย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})