:::     :::

ร่างฟอร์ซที่ส่งมา และการคุมทีมแทนป๋าของ Steve McClaren

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
3,742
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่คือเรื่องราวที่อดีตมือขวาของป๋าอย่าง สตีฟ แม็คคลาเรน เปิดเผยให้ฟังยามที่ต้องคุมแมนยูแทนป๋าที่ไปงานแต่งงานลูกชาย และร่างฟอร์ซของป๋าที่ส่งมาคุมทีม!

ช่วงฤดูกาล 2000/01 มันมีปัญหาอยู่ราวๆสองสามสัปดาห์เกี่ยวกับปฏิทินการแข่งขันนิดหน่อย

เกมไปเยือนสนามเมนโร้ด ถูกปรับตารางใหม่เป็น 11.30 am ในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน และยังไงมันก็ต้องมีการถ่ายทอดแน่นอนเพราะเป็นเกมพิเศษที่เป็นดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งไม่มีมากว่า4ฤดูกาลแล้วนับตั้งแต่ซิตี้ลงไปเล่นในดิวิชั่นรองลงไป เพราะงั้นยังไง Sky Sports ถ่ายแน่ๆล่ะคู่นี้ และจริงๆเรามีปัญหาเล็กๆแค่นิดเดียวเอง นั่นก็คือ..

บอสเรามีธุระไปแอฟริกาใต้

ลูกชายเขา เจสัน เฟอร์กูสัน (ผู้กำกับหนังเรื่อง Never Give In ของป๋านี่แหละ -ผู้แปล) ได้กำหนดพิธีแต่งงานของเขาในช่วงสุดสัปดาห์ เป็นเพราะว่าตอนนั้นมีช่วงโปรแกรมพักทีมชาติพอดี ดังนั้นพ่อของเขา(ป๋าเนี่ยแหละ)จึงมีช่วงว่างในปฏิทินทำงาน

แต่แทนที่จะเป็นไปตามโปรแกรมที่ทางบ้านป๋าวางแผนไว้นั้น โปรแกรมเตะกระชับมิตรของทีมชาติเกิดถูกเลื่อนมาเตะกันกลางสัปดาห์แทน ดังนั้นเกมภายในประเทศจึงลงเตะกันสุดสัปดาห์กันเหมือนปกติ

และพออเล็กซ์รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จึงกลายเป็นไฟต์บังคับไปโดยปริยายที่ทำให้เขาต้องเลือกระหว่าง ฟุตบอล กับ ครอบครัว และแน่นอนอยู่แล้ว ครอบครัวสำคัญกว่า

เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งในหลายๆด้าน แต่หนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของป๋าก็คือ ความเชื่อมั่นในสตาฟฟ์ของเขา

ผมไม่รู้ว่ามีผู้จัดการทีมคนไหนไหมที่จะปล่อยให้ผู้ช่วยของเขาคุมทีมแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมที่สำคัญมากๆแบบนี้ แต่เราได้ปรึกษากันในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนเกมดังกล่าว และการพูดคุยก็เป็นไปแบบเนื้อๆเน้นๆ

"นายต้องเป็นคนคุมทีม"

ป๋าพูดง่ายๆแค่นั้น จากนั้นเขาก็เขียนรายชื่อนักเตะในทีมมาให้

"เนี่ยละ ส่งทีมนี้ เดี๋ยวเด็กๆมันจัดการของมันเองได้ ไม่ต้องห่วงเลย"

เขาเลือกทีมมาโดยที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กท้องถิ่นทั้งทีม ยกเว้นเท็ดดี้ ยอร์คกี้ และบาร์เตซ ซึ่งทุกๆคนรู้ดีกันอย่างยิ่งว่า แมนเชสเตอร์ดาร์บี้มันสำคัญขนาดไหน ขนาดซิตี้ที่เพิ่งคัมแบ็คกลับมานั้น ก็ยังถือว่าเป็นเกมที่โคตรสำคัญกับเขาเลย ทุกคนรู้ดีกันหมดว่าเกมนี้มันใหญ่สำหรับเราด้วย

บอสไม่ได้นั่งลงด้วยซ้ำ และก็คุยแค่แปปเดียว เขาไม่ได้ฝากคำสั่งอะไรไว้ให้ลำบากเลย เขาแค่บอกผมว่า ผมต้องคุมทีม บอกรายชื่อทีมที่จะใช้ในตอนนั้น และส่วนที่เหลือก็ตรงไปตรงมาง่ายๆ อาจจะไม่มีเรื่องมื้อก่อนเกมช่วง 8โมงครึ่ง ซึ่งต้องกินเร็วเพราะว่าเริ่มkick-offเร็ว

การรู้ว่าจะได้ทำสิ่งนี้เร็วกว่าที่คิดนั้นถือเป็นโบนัสในหลายๆด้าน รวมถึงการได้นอนหลับสนิทในหลายสัปดาห์นั้นด้วย!

โชคดีที่ผมมีทีมชาติอังกฤษให้ได้โฟกัสอยู่หน่อย ในช่วงกลางสัปดาห์ที่เป็นเบรคทีมชาติก่อนเกมดาร์บี้ที่ว่านั้น ผมอยู่ในชุดทีมโค้ชของอังกฤษเป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของปีเตอร์ เทย์เลอร์ และเกมแรกก็คือการไปเยือนในแมตช์กระชับมิตรกับอิตาลีที่เมืองตูริน

ตรงนั้นผมมีเพื่อนจากในยูไนเต็ดมาหลายคนที่ร่วมทางด้วย ไม่ว่าจะเป็นเดวิด เบ็คแฮม, นิคกี้ บัตต์ และก็พี่น้องเนวิลล์อยู่ในทีมนั้น ซึ่งเบ็คได้เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษครั้งแรกด้วยในคืนนั้น ช่วงนั้นเขาก็เกือบจะเข้าสู่จุดเริ่มต้นพีคแล้ว เขาสามารถเอาทุกเกมได้อยู่หมัด ทั้งการเล่นโดยรวม ด้านอารมณ์ ความกล้าหาญในการเข้าบอลกับสถานการณ์ที่บอลตาย พลังงานของเขา เขาสามารถพาคุณชนะทุกเกมได้

นอกสนามเขาพูดไม่มาก แต่ช่วยกระตุ้นเพื่อนรอบๆตัวได้ บวกกับการที่ทีมมีแต่พวกยังบลัดด้วยนับตั้งแต่ปีเตอร์มอบตำแหน่งกัปตันทีมให้เขา

พูดได้คำเดียวว่า ขนลุก

ตอนที่เรากลับมาแมนเชสเตอร์  มีกระแสต่างๆมากมายในช่วงดาร์บี้ สื่อก็โหมกันอย่างหนัก นั่นแปลว่ามีความกดดันถาโถมผมมาอย่างหนักเลย โชคยังดีว่าผมมีประสบการณ์ในการคุมทีมมาก่อนแล้ว

ผู้จัดการทีมมีหยุดพักคุมบ้างช่วงทัวร์ปรีซีซั่นที่ออสเตรเลียและตะวันออกไกลในตอนซัมเมอร์ปี1999 หลังจากที่เราคว้าทริปเปิลแชมป์แล้ว และเราก็มีเกมต้องลงเล่นสามสี่เกม จิมมี่ ไรอัน กับผมก็ช่วยกันคุมทีมในช่วงปรีซีซั่นทั้งหมด ซึ่งจริงๆเป็นเพียงแค่ไม่กี่เดือนเองหลังจากที่ผมย้ายมาทำงานกับสโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้สามแชมป์นั้นช่วยผมให้มีความมั่นใจและมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าผมจะทำได้ และที่สำคัญคือ ผมได้รับความเชื่อมั่นจากนักเตะด้วย

แต่พอบอสไม่อยู่ พวกเขาก็คุมยากอยู่เหมือนกันนะ

คุมแมนยูง่ายนิดเดียว มีแต่นักเตะเก่งๆ ใครคุมก็แชมป์.. เหรอ!!!

นักเตะหลายๆคนยังคงปริ่มเปรมกับการเป็นทริปเปิลแชมป์ อิ่มเอมกับช่วงพักซัมเมอร์ และอยู่ในบรรยากาศเฉลิมฉลองอยู่ และมันก็เป็นทริปปรีซีซั่นครั้งแรกของผมด้วยตอนนั้น ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้งาน ณ ตอนนั้น

มันเป็นทริปที่ทรหดมากเลย จากออสเตรเลียไปจีน ฮ่องกง ด้วยอากาศร้อนและการเดินทาง รวมถึงไทม์โซนที่แตกต่างกัน มันจึงเป็นบททดสอบอย่างหนึ่ง และมันก็ยากด้วย

บางเรื่องในทริปนั้นเอามาเล่าไม่ได้ เพราะมันต่างกับของเจ้านายอย่างสิ้นเชิง

แต่เวลานี้มันไม่ใช่ปรีซีซั่นอีกต่อไป มันคือดาร์บี้ มันเป็นเกมที่โคตรสำคัญมากๆ ไม่มีอะไรวุ่นวายกว่านั้น โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกกดดันกว่ามาก ทั้งความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง มันเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ลิ้มรสการเป็นคนคุมอยู่ด้านหน้าสุดบนเส้นข้างสนาม

ผมโชคดีว่าผมมีตัวช่วยที่แนะนำมา ผมมีทีมที่เลือกไว้ ซึ่งทีมนั้นก็รู้เป็นอย่างดีว่าต้องทำยังไงถึงจะชนะในเกมนี้ แต่กระนั้นก็ยังมีเรื่องให้ผมต้องตัดสินใจเองอยู่ด้วย

คุณไม่ใช่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่ต้องเข้าไปในห้องแต่งตัวก่อนเริ่มเกม คุณรู้ดีว่าคุณก็คือตัวเอง และนักเตะก็รู้ มันเป็นเวลาที่คุณต้องสื่อสารออกไปแล้ว ซึ่งต้องพยายามเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด คุณเปิด hairdryer ใส่นักเตะไม่ได้เหมือนที่เขาทำ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทีม นั่นคือทีมของผู้ชนะ พวกเขารู้ดีว่าจะชนะเกมนี้ยังไง และไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมจากผมมากนัก

ผมแค่มีสมาธิอยู่กับเรื่องที่ผมคิดว่าจำเป็นต้องเน้นยำให้นักเตะในช่วง team-talk มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ การโฟกัสกับเกม และไม่ตื่นไปกับบรรยากาศรอบๆตัวของเกมดาร์บี้ครั้งแรกในรอบหลายปี ซึ่งสื่อต่างๆก็พยายามบิ๊วมันอย่างมาก ซึ่งในนั้นก็คือการพยายามหยิบเรื่องประเด็นระหว่างรอย คีน กับ อัลฟ์ อิงเก้ ฮาลันด์มาพูดถึงด้วย

เพราะงั้นหนึ่งในเรื่องที่ผมกังวลก็คือการควบคุมอารมณ์ของรอย เพราะว่าเขามีเรื่องกันมาก่อนแล้วด้วย และเดี๋ยวช่วงท้ายซีซั่นมันจะหนักกว่านั้นอีกแน่นอนในเกมที่จะกลับไปเจอกันที่โอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง

สตีฟ แม็คคลาเรนเซนส์แรงมากๆ เพราะเกมสองที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆในเดือนเมษายนปี2001

ถ้าทีมเราเหลือ10คน คุณไม่มีทางชนะได้เลยไม่ว่าจะเกมใดๆ ยิ่งโดยเฉพาะกับดาร์บี้ ดังนั้นมันจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเราที่จะควบคุมอารมณ์ให้อยู่ และนั่นคือประเด็นหลักที่ผมพูดก่อนเกม

เก็บอารมณ์ให้อยู่หมัด

เก็บนักเตะให้อยู่ในสนามครบ11ตัว

แสดงฝีเท้าที่มีให้ทุกคนได้เห็น

เมื่อพวกเขาลงสนามไป ในภาพรวมที่เกิดขึ้นเราเริ่มต้นเกมได้ดีมาก บางทีอาจจะดีเกินไปด้วยซ้ำเมื่อมองย้อนไป เราทำประตูกันเร็วมากๆ และมันเกิดขึ้นได้เมื่อเบ็คส์ยิงโคตรฟรีคิกเข้าไปเพียงนาทีที่สองเท่านั้น

การพูดถึงเรื่องให้แสดงฝีเท้าของคุณให้เห็นนั้น คือสิ่งเดียวกันกับที่ประตูนั้นเกิดขึ้นนั่นแหละ เป็นประตูที่จะคว้าชัยในเกมดาร์บี้แมตช์ อย่างที่ผมพูดไว้แหละว่า เบ็คส์จะพาทีมคุณชนะได้ทุกเกม ต่อให้เป็นระยะ30หลาที่มีกำแพงคู่แข่งยืนขวางอยู่ก็ตาม

ผมยังจำบรรยากาศนั้นได้จนถึงตอนนี้ พวกแฟนซิตี้หมดหวังจะเอาชนะยูไนเต็ดได้ และแฟนบอลทีมเราก็แหกปากกันด้วยอารมณ์สะใจ ซึ่งถึงแม้เหตุการณ์พวกนี้จะเกิดขึ้นเหมือนกับดาร์บี้ในทุกๆครั้งทั่วไป แต่ว่าเกมนั้นก็ไม่ใช่เกมที่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่ เราจบครึ่งแรกที่ 1-0 และเมื่อเข้าไปในห้องแต่งตัว คนดูแลชุดแข่งของเราอย่าง Albert Morgan นั้นได้รับข้อความSMSจากบอสส่งมา

แน่นอน ป๋านั่งดูเกมอยู่จากแอฟริกาใต้ด้วย

แล้วข้อความที่ส่งให้อัลเบิร์ตก็โคตรเคลียร์ ป๋าฝากบอกมาว่า

: ย้ำยอร์คกี้อีกทีนะว่าให้ขยันๆกว่าเดิมหน่อย

แปลเองยังสยองเองเลย นึกน้ำเสียงแบบเรียบเชียบของป๋าดู นี่มันส่งร่างฟอร์ซมาคุมทีมชัดๆ!

คำนี้มันเอาจริงมาก และก็ไม่ค่อยสุภาพสักเท่าไหร่ด้วย ถึงแม้จะอยู่ห่างไกล แต่ป๋าสามารถส่ง hairdryer บินข้ามทวีปมาที่นี่ได้ ถึงผมจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาเหลือแค่เลเวลหนึ่งก็ตาม จากที่ดูแล้ว ข้อความมันน่าจะเถื่อนเป็นเลเวลห้าจริงๆ

ป๋านั่งดูเกมด้วยความตั้งใจอย่างไม่ต้องสงสัย เราทุกคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ตัวอาจจะอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่ง ไม่ว่าจะไกลกี่แสนไมล์ก็ตาม แต่ป๋าอยู่ที่นี่เสมอ นั่นแหละคือ "ออร่า" ที่เขามี

บารมีออร่าที่เขาสร้างมานานหลายปี

ถึงเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในห้องแต่งตัวในวันนั้น แต่ทุกๆคนก็รู้ว่าป๋าชมเกมอยู่ และเดี๋ยวมันจะมีเรื่องขึ้นแน่นอนถ้าเขากลับมาแล้วเกมมันไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น

นั่นแหละครับ แล้วยอร์คก็ฟอร์มดีขึ้นจริงๆในครึ่งหลัง

โดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้เป็นเกมที่สุดยอดมากเท่าไหร่หลังจากเบรคทีมชาติ ซิตี้สร้างแผลเล่นงานเราได้สองสามรอย โดยเฉพาะช่วงท้ายที่เวสต้องเคลียร์บอลออกจากเส้นปากประตูเลยทีเดียว แต่เราก็มีโอกาสทำประตูอีกหลายครั้งที่เราทำไม่สำเร็จ ซึ่งภาพรวมค่อนข้างสูสี เกินกว่าที่มันควรจะเป็น แต่สุดท้ายแล้วฟรีคิกของเบ็คส์ก็สร้างความแตกต่างของเกมนี้ในที่สุด

ก่อนที่ผมจะให้สัมภาษณ์ท้ายเกมเสร็จนั้น มีแมสเสจฝากมาจากอัลเบิร์ตว่า : ป๋าตื่นเต้นมากที่ในที่สุดเขาก็จะได้ไปเปิดแชมเปญฉลองงานแต่งของลูกชายซะที!

นักเตะของเราไม่ได้เฉลิมฉลองกันหลังเกมมากกว่าปกติ พวกเขาไม่ได้มีอารมณ์เดือดกับเกมนี้จนเกินไป ไม่มีเลย ซึ่งมันเป็นเกมใหญ่มากๆที่พวกเขาก็รู้ดี แต่เด็กๆเป็นมืออาชีพมากๆ เพราะฉะนั้นแล้วมันจึงไม่ได้มีอะไรใหญ่โต ทั้งอารมณ์เฉลิมฉลองหลังจากนั้น

สำหรับพวกเขาแล้วนี่ก็คือการทำงานสำเร็จไปอีกเกมนึงแค่นั้นเอง และก็ต้องเดินหน้าต่อไป

สำหรับผม มันก็คือการทำงานสำเร็จที่โล่งอก โล่งใจมากๆ กับไวน์แดงดีๆสักแก้วนึง

ในที่สุดผมจะหลับลงได้สักที!

Steve McClaren

Reference

https://www.manutd.com/en/news/detail/utd-unscripted-with-steve-mcclaren

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด