:::     :::

ซัมเมอร์ที่ไม่มีวันลืมของ บูคาโย่ ซาก้า

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในวัย 19 ปีของ บูคาโย่ ซาก้า ยังถือว่าไม่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมากนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดซัมเมอร์นี้จะกลายเป็นความทรงจำที่อาจลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต

ในวัยเพียงแค่นี้ ซาก้า กลายเป็นตัวหลักเอาฟิลต์ของ อาร์เซน่อล ที่ลงสนามมากสุดในฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยจำนวน 46 นัดจากทุกรายการ และลงเล่นในหลากหลายตำแหน่งที่สุด

ในวัยเพียงแค่นี้ ซาก้า กลายเป็นผู้เล่นที่ มิเกล อาร์เตต้า ขาดไม่ได้ และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำผลงานส่วนตัวดีเยี่ยมตรงกันข้ามกับภาพรวมของทีม

ในวัยเพียงแค่นี้ ซาก้า กลายเป็นความหวังสำหรับอนาคตของ อาร์เซน่อล ในช่วงที่พยายามกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ที่เคยมีในอดีตให้ได้

และในวัยเพียงแค่นี้ ซาก้า ได้รับเลือกให้ครองตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรประจำฤดูกาลล่าสุด และติดทีมชาติอังกฤษลุยศึกยูโร 2020 

แกเร็ธ เซาธ์เกต ใส่ชื่อดาวรุ่งหนึ่งเดียวจาก อาร์เซน่อล เป็นหนึ่งในขุนพลชุดล่าแชมป์ยุโรปสมัยแรก และล่าแชมป์ระดับเมเจอร์รายการที่ 2 ต่อจากแชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียวในปี 1966

ซาก้า มีส่วนร่วมมากกว่าที่คาดตลอดเส้นทางในยูโร 2020 ด้วยการลงสนาม 4 นัด เป็นตัวจริง 3 นัดในรอบแรกที่พบ สาธารณรัฐเช็ก ต่อด้วยรอบ 16 ทีมสุดท้ายพบ เยอรมัน และรอบตัดเชือกพบ เดนมาร์ก

ส่วนอีกนัดที่ลงเป็นสำรองคือเกมที่ใหญ่สุดในชีวิตนั่นคือ รอบชิงชนะเลิศพบทีมชาติอิตาลีที่มอบประสบการณ์ครั้งสำคัญมากมายให้กับเด็กหนุ่มวัยเพียง 19 ปีรายนี้

ในนัดแรกที่ลงสนามพบ สาธารณรัฐเช็ก ซาก้า ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นพาทัพสิงโตคำรามเก็บชัยชนะ 1-0 พร้อมคว้าตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครองซึ่งคงมีไม่กี่คนที่ลงเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่นัดแรกที่ทำได้แบบนี้

ส่วนรอบน็อกเอาต์นัดแรกที่ล้างแค้นคู่ปรับตลอดกาล "อินทรีเหล็ก" ลงได้ด้วยชัยชนะสวยงาม 2-0 บทบาทของ ซาก้า เปลี่ยนไปด้วยการต้องช่วยเกมรับของทีมมากขึ้นตามแท็กติกของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ทำให้ไม่ได้สร้างสรรค์เกมรุกเท่าที่ควร 


ดาวรุ่งจากอคาเดมี่ปืนโตได้รับบาดเจ็บในช่วงฝึกซ้อมก่อนหน้าเกมพบ ยูเครน ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ทำให้ไม่ได้ลงสนาม แต่ก็ฟิตทันเวลากลับมาช่วยทีมในรอบตัดเชือกที่พบม้ามืดแห่งทัวร์นาเมนต์อย่าง เดนมาร์ก

เกมนี้กลายเป็นเกมยากสุดของทัพสิงโตคำรามนับตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนต์เพราะแข้งโคนมลงสนามด้วยความฮึกเหิมและมีแรงกระตุ้นเต็มเปี่ยมในการสู้เพื่อ คริสเตียน เอริคเซ่น จอมทัพของทีมที่วูบคาสนามในนัดแรกจนอาจต้องแขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลไปเลย

ซาก้า ต้องช่วยเกมรับไม่ต่างจากนัดพบกับ เยอรมัน เพราะต้องรับมือกับผู้เล่นที่ทำผลงานแจ้งเกิดในยูโรครั้งนี้ทั้ง มิคเคล ดามส์การ์ด และ โยอาคิม เมห์เล่ ซึ่งขึ้นเกมในพื้นที่รับผิดชอบของแข้งดาวรุ่งอังกฤษ 

แต่กระนั้น ดาวรุ่งเชื้อสายไนจีเรียก็หาโอกาสสอดขึ้นไปช่วยเกมรุกและการวิ่งตัดแนวรับของเขาทำให้ได้หลุดเข้าไปเปิดบอลเข้ากลางบีบให้ ซิมง เคียร์ แนวรับเดนมาร์กสกัดบอลเข้าประตูตัวเองจนกลายเป็นประตูตีเสมอของอังกฤษ 

ทัพโคนมสามารถยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาก่อนเป็น ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เรียกจุดโทษและมี แฮร์รี่ เคน รับหน้าที่สังหารพาทีมชาติอังกฤษเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ปีกดาวรุ่งวัย 19 ปี ถูกดร็อปเป็นสำรองในนัดชิงดำที่สนามเวมบลีย์เพราะ เซาธ์เกต เลือกปรับแท็กติกเน้นรับส่ง คีแรน ทริปเปียร์ ลงไปต้านเกมรุกริมเส้นของอิตาลี และเป็น ทริปเปียร์ ที่เปิดบอลให้ ลุค ชอว์ ทำประตูขึ้นนำตั้งแต่ 2 นาทีแรก ก่อนที่ อิตาลี จะตามตีเสมอ 1-1 จาก เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ในครึ่งหลัง

แต่การเปลี่ยนตัวคนแรกของ เซาธ์เกต ก็เป็น ซาก้า นี่แหละที่ถูกส่งลงสนามในนาที 70 จากนั้นทั้งสองทีมสู้กันครบ 90 และอีก 30 นาทีของการต่อเวลา ทว่าไม่สามารถหาผู้ชนะได้ ทำให้ต้องตัดสินแชมป์กันด้วยการดวลจุดโทษ

อังกฤษ เจอฝันร้ายพ่ายในการดวลจุดโทษอีกครั้ง ขณะที่ ซาก้า เป็นหนึ่งใน 3 คนที่พลาดจุดโทษร่วมกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่  

ทว่า ซาก้า อาจถูกจดจำมากกว่าคนอื่นเป็นคนสุดท้ายและทันทีที่ยิงติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ทุกอย่างก็จบลง อังกฤษฝันสลายต่อหน้าแฟนบอลในสนามเวมบลีย์ที่ตั้งความหวังอย่างมากกับการได้เห็นทีมคว้าแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์  

ซาก้า ร่ำไห้ออกมาทันที ความผิดพลาดของเขาส่งผลอังกฤษต้องรอตำแหน่งแชมป์ยุโรปต่อไป และฝันร้ายในการดวลจุดโทษยังคงตามหลอกหลอนแข้งทรี ไลอ้อนส์ ไม่รู้จบ 

แต่ที่หนักหน่วงยิ่งกว่าคือ ชีวิตหลังจากวินาทีพลาดจุดโทษเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  

ซาก้า, แรชฟอร์ด และ ซานโช่ กลายเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอลบางกลุ่มที่รับไม่ได้กับความพ่ายแพ้ และล้ำเส้นวิจารณ์ 3 แข้งสิงโตคำรามแบบเลยเถิดไปจนถึงการเหยียดผิวอย่างรุนแรง

โลกโซเชียลระอุขีดสุดด้วยความเดือดดาลจากแฟนบอลชั้นต่ำที่ไร้ซึ่งความเข้าใจในเกมฟุตบอลและกีฬาทุกชนิดที่ต้องมีแพ้ มีชนะ และไร้ซึ้งความเข้าใจในมนุษย์ด้วยกันที่ทุกคนล้วนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน


การพลาดจุดโทษคือความเจ็บปวดของนักเตะที่ยิ่งเป็นเกมสำคัญยิ่งรู้สึกชอกช้ำกับบาดแผลที่จะกัดกินหัวใจอยู่นานหลายปี สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับแข้งดังหลายต่อหลายคนในอดีตซึ่ง เซาธ์เกต เองก็คือหนึ่งในนั้นหลังเคยพลาดจุดโทษในรอบตัดเชือกยูโร 96

ซาก้า ควรต้องมีซัมเมอร์แห่งความทรงจำงดงามทั้งผลงานส่วนตัวกับ อาร์เซน่อล และการเป็นหนึ่งในแข้งชุดประวัติศาสตร์ของทีมชาติอังกฤษที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูโร 2020

แต่กลายเป็นว่าส่วนหนึ่งของความทรงจำต้องถูกแปดเปื้อนจากแฟนบอลบางคนเพียงเพราะเขาทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด และกดดันที่สุดไม่สำเร็จ ทั้งที่หลายคนคงลืมไปว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย 19 ปีเท่านั้น 

จะมีเด็กอายุ 19 กี่คนในประเทศที่กล้ารับผิดชอบภารกิจสุดหนักอึ้งที่ถูกมอบหมายจากโค้ช แม้แต่แฟนบอลจอมเหยียดที่เก่งในโลกโซเชียลก็คงไม่กล้าแอ่นอกเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาแน่นอน

ซาก้า กล้าหาญอย่างถึงที่สุดแล้วกับการทำหน้าที่ที่เต็มไปด้วยความหวังของคนทั้งประเทศ เขาไม่ควรเป็นแพะรับบาปในสิ่งที่ผิดพลาดเพราะได้ทำทุกอย่างเต็มที่ ทำอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้ 

มีวัยรุ่นมากมายเคยทำเรื่องผิดพลาดและเลวร้ายยิ่งกว่าในสังคม แต่กลับไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ไม่กลายเป็นเป้าโจมตีจากรอบข้างเพราะหลบในมุมมืด 

ทว่า ซาก้า ยังคงยืนหยันท่ามกลางแสงไฟทั้งที่ความเจ็บปวดข้างในทะลักออกมาพร้อมคราบน้ำตา 

นั่นทำให้กำลังใจจากอีกหลายคนทั่วโลกที่เข้าใจและเห็นอกเห็นใจ หลั่งไหลส่งถึง ซาก้า รวมถึง แรชฟอร์ด และ ซานโช่ 

เพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษ แฟนบอล เพื่อนร่วมทีม อาร์เซน่อล หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ที่อาจไม่เข้าใจในเกมกีฬามากนัก แต่ก็มีความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่ไม่ควรถูกกระทำแบบนี้ ต่างส่งมอบกำลังใจถึงสามแข้งที่อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ซาก้า ในตอนจบของซัมเมอร์นี้จะตามหลอกหลอนเขาไปอีกนานแค่ไหน แต่สิ่งที่เขาได้รับแน่นอนคือกำลังใจจากอีกหลายคนที่พร้อมยืนเคียงข้างไปตลอด 


ความในใจของ บูคาโย่ ซาก้า  

"ผมอยู่ห่างจากโซเชียล มีเดีย สองสามวันเพื่อใช้เวลากับครอบครัวของผมและไตร่ตรองถึงช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อความนี้อาจเทียบไม่ได้กับความซาบซึ้งใจต่อความรักที่ทุกคนมีให้ผม และผมรู้สึกว่าผมต้องขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจผม"

"นับเป็นเกียรติอย่างสูงกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษ ที่มีพี่ๆ ที่เป็นตัวอย่างที่ดี เราคือพี่น้องกันและผมขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผมได้เรียนรู้ และผมรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากผู้เล่นกับสตาฟฟ์ทุกคนซึ่งทำงานกันหนักมากและช่วยให้เราเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปี การได้เห็นครอบครัวของผมบนอัฒจันทร์ และได้รู้ว่าพวกเขาทุ่มเทอะไรไปบ้างเพื่อช่วยเหลือผม นั่นมีความหมายกับผมเป็นอย่างมาก"

"ไม่มีถ้อยคำใดๆ อธิบายได้ว่าผมรู้สึกผิดหวังขนาดไหนกับผลการแข่งขันและการพลาดลูกจุดโทษ ผมเชื่อจริงๆว่าเราจะคว้าแชมป์มาเพื่อพวกคุณได้ ผมเสียใจที่เรานำมันกลับบ้านให้พวกคุณในปีนี้ไม่ได้ แต่ผมขอสัญญาว่าเราจะทำทุกๆ อย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเจเนอเรชั่นนี้รู้ว่าชนะมันรู้สึกอย่างไร"

"ปฏิกิริยาของผมหลังเกมนั้นบ่งบอกทุกอย่างแล้ว ผมเจ็บปวดมาก ผมรู้สึกว่าผมได้ทำให้พวกคุณทุกคนและครอบครัวชาวอังกฤษผิดหวัง แต่ผมขอสัญญาว่าผมจะไม่ยอมให้เหตุการณ์ครั้งนี้มันทำลายผม"

"ผมขอขอบคุณสำหรับทุกคนที่ส่งกำลังใจกันเข้ามานี่คือสิ่งที่ฟุตบอลควรจะเป็น ผู้คนที่แตกต่างกันในด้านความหลงไหล เชื้อชาติ เพศ ศาสนาและภูมิหลัง มารวมกันด้วยความสนุกเดียวร่วมกันแห่งความพลิกผันของเกมลูกหนัง"

"สำหรับโซเชียล มีเดีย แพลตฟอร์ม อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ผมไม่อยากให้เด็กๆหรือว่าผู้ใหญ่คนไหน ได้รับข้อความในเชิงเกลียดชังอย่างที่ผม มาร์คัส แรชฟอร์ด และ จาดอน ซานโช่ ได้รับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา"

"ผมรับรู้ถึงข้อความเกลียดชังที่ผมได้รับและเป็นความจริงที่น่าเศร้า ที่แพลตฟอร์มอันทรงพลังของคุณไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะหยุดยั้งข้อความเหล่านี้"

"ไม่มีพื้นที่สำหรับการเหยียด หรือเกลียดชัง หรืออะไรก็ตามในลักษณะนี้ในวงการฟุตบอล หรือในพื้นที่ใดๆในสังคม และสำหรับผู้คนที่ออกมาร่วมกันแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ผ่านทางข้อความ การแสดงออก หรือรายงานไปยังตำรวจ หรือทางใดทางหนึ่ง"

"ความรักชนะทุกอย่างเสมอ" 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})