:::     :::

[ตลาดปีศาจ] ตัดเกรดดีลไหนรอดไม่รอด ลุ้นแชมป์ได้ยัง?

วันพฤหัสบดีที่ 02 กันยายน 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
5,399
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่คือบทสรุปภาพรวมทั้งหมดของตลาดซื้อขายนักเตะแมนยูว่า ในแต่ละดีลดีหรือแย่ยังไงบ้างในแง่ไหน และภาพรวมของตลาดนี้ปีศาจแดงพร้อมแล้วหรือไม่ ที่จะขึ้นสู่ผู้ท้าชิงบัลลังก์แชมป์!!!!

จบลงไปแล้วกับตลาดซื้อขายนักเตะที่ปิดลงในวันที่31 สิงหาคม หรือเวลาตีห้าของเช้ามืดวันพุธที่ 1 กันยายน 2564 ตามเวลาในบ้านเรา ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นตลาดซื้อขายที่บ้าคลั่งมากๆของหลายๆทีมที่นักเตะซุปเปอร์สตาร์ระดับท็อปของโลกย้ายทีมกันเยอะมาก โดยเฉพาะ สองGOATผู้ยิ่งใหญ่ที่ครองโลกฟุตบอลมาตลอดสิบปีก็ย้ายทีมเช่นกัน

สโมสรเราเองก็มีการซื้อขายที่มีหลากหลายสีสัน ตั้งแต่ดีลเซ็นฟรีนักเตะเก่าเข้ามาเป็นแบ็คอัพ, ทั้งการปิดดีลระดับเมกะโปรเจ็กต์ที่รอคอยมานาน, การได้นักเตะของดีระดับท็อปคลาสในราคาที่ไม่แพง

และที่สำคัญ ดีลซุปเปอร์เซอไพรส์ระดับมหากาพย์ครองพิภพ ที่เกือบจะเสียฮีโร่ระดับตำนานไปให้กับคู่อริตัวเอ้ แต่สุดท้ายเรื่องกลับกลายเป็นว่านอกจากจะไม่ย้ายไปแล้ว ยังเป็นทีมเราที่ตัดหน้าชิงตัว "เขา" กลับคืนสู่ "บ้าน" ที่แท้จริงได้อีก!

ซึ่งนอกจากการนำเข้านักเตะมาแล้วนั้น ก็ยังมีดีลขาออกจากสโมสรไปด้วยเช่นกัน ที่มีการปล่อยระบายนักเตะออกไปบางส่วน ทั้งในรูปแบบการปล่อยยืม การขายขาดออกไป

และแน่นอน ใช่ว่าเราจะได้ตามที่ต้องการหมดทุกตัว มีการที่เราไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าตัวนักเตะใหม่ในบางตำแหน่งที่ "จำเป็นต้องเสริมทีม" มาเช่นกัน

ดีลต่างๆของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในตลาดซัมเมอร์ฤดูกาล 2021/22 มีอะไรบ้าง รวบรวมมาให้ และตัดเกรดให้คะแนนกันแบบ "คร่าวๆ" โดยประมาณ ด้วยมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนว่า แต่ละดีล ดีหรือไม่ดีมากน้อยเพียงใดจากคะแนนเต็ม10

ดีลขาเข้า : รายจ่ายรวม 119.79 ล้านปอนด์

1. Tom Heaton : Free Transfer (คะแนนดีล 8/10)

ทอม ฮีตัน คือนักเตะที่ปั้นขึ้นมาจากอะคาเดมี่ของแมนยูไนเต็ดตัวจริงเสียงจริงตั้งแต่อายุน้อย และเริ่มถูกปล่อยให้กับสโมสรต่างๆยืมตัวออกไป นับตั้งแต่ปี2005 (ตอนที่เขาอายุ19ปี) ไปสู่ 6 สโมสรได้แก่ Swindon Antwerp Cardiff QPR Rochdale และ Wycombe

ก่อนที่จะหมดสัญญาเป็นฟรีเอเย่นต์ และไปอยู่กับ Cafdiff เมื่อปี 2010 จากนั้นก็ย้ายฟรีไปอยู่ Bristol ในปี2012 สุดท้ายแล้วฮีตันก็ได้เจอสโมสรที่เขาได้อยู่โยงแบบถาวร นานที่สุดอย่าง Burnley ในปี 2013 เป็นตัวจริงและลงเล่นยาว 6 ปี ถึง 2019 แล้วจึงย้ายฟรีไปแอสตัน วิลล่า อยู่ที่นั่นสองปี และสุดท้าย แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็ไป "เซ็นฟรี" กลับมาอยู่กับเราอีกครั้งในตลาดนี้

ฮีตันย้ายกลับมาในฐานะผู้รักษาประตูมือสามแทนแซร์คิโอ โรเมโร่ ที่จะถูกปล่อยตัวออกไป และเป็นการเซ็นสัญญารายแรกของทีมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา

ข้อดีของดีลการเซ็นทอม ฮีตันก็คือ การได้นายด่านมือสามที่รู้จักสโมสรเป็นอย่างดี เนื่องจากเติบโตมาจากที่นี่โดยตรง เข้าใจวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เพราะฉะนั้นการได้นักเตะที่เป็นหนึ่งในครอบครัวที่รู้จักรากฐานสโมสรอย่างดีกลับเข้ามาช่วยงาน จึงเป็นสิ่งที่ดีมากๆ

ส่วนทางด้านฝีไม้ลายมือก็ยังพึ่งพาได้ เพราะผ่านเกมระดับสูง และลงเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกมาหลายๆปียามที่สโมสรขึ้นมาอยู่ในลีกสูงสุด ด้วยวัย 35ปี ก็เข้ามาทดแทนกับ เซร์คิโอ โรเมโร วัย34ปี ทดแทนกันโดยตรง จากที่เห็นในเกมช่วงปรีซีซั่นก็ค่อนข้างจะชัดว่า ทอม ฮีตัน ฝีมือยังดีอยู่ ด้วยความนิ่งจากประสบการณ์ที่สูง และไว้ใจได้ ทำให้เราได้โกลมือสามที่แข็งแกร่งและเก๋าประสบการณ์เข้ามาสู่ทีมแบบไม่มีค่าตัว

เป็นดีลที่ดีมากที่มีแต่ประโยชน์ล้วนๆ ให้คะแนนสูงตรงที่ เอาลูกหม้อฝีมือดี เข้ามาทดแทนตัวที่จะปล่อยออกไปได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ สร้างแรงบันดาลใจให้เหล่านักเตะดาวรุ่งในอะคาเดมี่ลูกหนังเราอีกต่อ

2. Jadon Sancho : 72.9 ล้านปอนด์ (คะแนนดีล 9/10)

เจดอน ซานโช่ ตัวรุกริมเส้นสัญชาติอังกฤษที่ซื้อมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รายนี้ คือปีกแห่งอนาคตที่เราให้ความสนใจ ตามscout ฟอร์มการเล่นมานานแล้ว และได้รับการมองว่านี่คือ "ดีลหลัก" ที่จำเป็นต้องซื้อเข้ามาร่วมทีมเพื่อเสริมแกร่งด้วยนักเตะที่มีฟอร์มการเล่นอยู่ในระดับท็อปๆของทวีป เพื่อยกระดับทีม และเป็นการสร้างทีมในแผนการระยะยาวของโซลชา ที่สร้างทีมด้วยนักเตะอายุน้อยเป็นแกนหลักต่อเนื่องไปอีกหลายปี

ในตลาดซัมเมอร์ปี 2020/21 มีข่าวอย่างหนักระหว่างดอร์ทมุนด์ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่หลังจากข่าวยื้อกันไปยื้อกันมานานมากระหว่างสองฝ่าย มีเพียงข่าวที่ดูเหมือนว่าทางด้านเงื่อนไขส่วนตัว นักเตะจะโอเคกับปีศาจแดงแล้ว แต่ระหว่างแมนยูไนเต็ด กับ ดอร์ทมุนด์ ยังเคลียร์กันไม่ได้ในเรื่องของค่าตัว ที่ฝ่ายเสือเหลืองต้องการเงินถึงราว 120ล้านยูโร

สุดท้ายแล้วเมื่อตกลงราคากันไม่ได้ เพราะแมนยูไนเต็ดต้องการราคาที่ต่ำกว่านี้ ในขณะที่ดอร์ทมุนด์ยืนยันว่าจะขายที่ราคานี้เท่านั้น ดังนั้นดีลจึงไม่เกิดขึ้น

คำถามคือ แบบนี้ถือว่าปีที่แล้วเรา "ล้มเหลว" จริงๆหรือที่ดึงตัวมาไม่ได้

หรือถือว่า นี่เป็นดีล "ล่าช้า" ที่กว่ารอซื้อสำเร็จต้องรอข้ามไปอีก1ปีเต็ม กว่าที่จะได้ซานโช่มาในหน้าต่างปี 2021/22

ดีลนี้ช้าจริงๆหรือ??

ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ดอร์ทมุนด์เมื่อปีที่แล้ว ถือไพ่ในมือเหนือกว่าแมนยูไนเต็ดทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาของนักเตะที่ยังเหลืออีกหลายปี และการไม่ยอมต่อรองราคาของพวกเขา เพราะต้องการขายในราคาที่ตั้งไว้เท่านั้น

ซึ่งราคาระดับ100ล้านปอนด์ แมนยูไนเต็ดมองว่าสูงเกินไป และกำลังโดนดอร์ทมุนด์ "โก่งราคาขาย" อย่างเห็นได้ชัด

จะให้แมนยูโดนโก่งราคา แล้วยอมจำนนจ่ายเงินในราคาที่ "แพงเกินเหตุ" เพียงเพื่อคว้าตัวมาให้ได้ทันทีในปีที่แล้ว ตามที่แฟนบอลบางส่วนเรียกร้อง

ถ้ายอมโดนโก่ง จ่ายเงินไปแพงๆ นี่เรียกว่าประสบความสำเร็จจริงๆเหรอ? ผมว่าไม่ใช่ ห่างไกลมาก

แบบนั้นมันคือการทำตัวเป็น "ลูกไล่" ให้สโมสรอื่นเอาเปรียบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดต่างหาก

ถ้าปีที่แล้วยอมซื้อซานโช่มา120ล้านยูโร จะกลายเป็นบรรทัดฐานชุ่ยๆที่ทำให้เราโดนโก่งต่อในอนาคตอีกแทบทุกดีลอย่างแน่นอน จะไปซื้อใครก็ยาก ถ้าเคสนั้นยอมจ่ายเงินเพียงเพราะเสียไม่ได้ที่จะต้องเสริมทีม

แต่บัดนี้สโมสรแสดงให้ได้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าใครหน้าไหน ต่อจากนี้ไม่มีทางมาเอาเปรียบแมนยูไนเต็ดได้อีกต่อไปแล้วในการขายนักเตะ

เราต่างหากที่จะถือไพ่เหนือกว่า เพราะอำนาจทางการเงิน และแบรนด์สโมสรที่ทำให้นักเตะหลายๆคนอยากย้ายมาอยู่ด้วย

ในภาวะที่สโมสรประสบปัญหาโควิดที่ทำให้รายได้หายไปค่อนข้างมาก การจะจ่ายเงินร้อยล้านปอนด์แบบหนักๆเพื่อนักเตะคนเดียวที่สโมสร "ประเมินค่าตัวจริงๆ" ของเขาแล้วมันไม่ควรสูงถึงขนาดนั้น

ดังนั้นปีที่แล้วแมนยูไนเต็ดจึงเลือกที่จะ "ไม่ยื่นเรื่องซื้อ"

และไม่มี offial bid ไปให้ดอร์ทมุนด์ในที่สุด

ซึ่งสิ่งนี้สร้างความหงุดหงิดให้กับแฟนบอลบางส่วนที่มองว่าสโมสรล้มเหลวที่ไม่สามารถซื้อซานโช่เข้ามาได้ ดีลช้า กว่าจะซื้อมาได้ต้องรอมาอีกเป็นปีๆ

แต่ผู้เขียนกลับมองว่า ดีแล้วที่ปีก่อนที่ "ไม่บ้าจี้ โง่ไปตามเกมโก่งราคาของดอร์ทมุนด์" 

การตัดสินใจไม่ซื้อในปีที่แล้ว คือสิ่งที่ฉลาดกว่า และทำถูกแล้วของสโมสรแมนยูไนเต็ด

เพราะเวลาจะซื้อใคร แมนยูมักโดนโก่งราคาทุกทีในสมัยก่อน อย่างที่แฟนบอลหลายท่านทราบกัน เนื่องจากสโมสรอื่นรู้ว่าเรามีเงิน ดังนั้นพวกเขาจึงมักโก่งราคานักเตะเสมอๆ ไม่ว่าเราจะสนใจใคร

120ล้านยูโรมันไม่สมเหตุสมผล ยูไนเต็ดจึงไม่ซื้อซานโช่ในปีที่แล้ว และรอเวลาผ่านมาอีกหนึ่งปี สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผลงานของซานโช่ก็ตกลงบ้างเล็กน้อย เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อฉีก และต้องหยุดพักการลงสนามไปนาน ก่อนที่จะค่อยๆกลับมาและเรียกฟอร์มขึ้นมาได้ภายหลัง

ค่าตัวประเมินของซานโช่หลังจบฤดูกาล 2020/21 ไม่อยู่ในจุดที่ดอร์ทมุนด์จะสามารถเรียกราคา 120ล้านได้อีกแล้ว ในขณะที่สัญญาของเขาก็เหลือระยะเวลาน้อยลง ดังนั้นดอร์ทมุนด์จึงมีอำนาจต่อรองที่ลดลง เพราะค่าตัวนักเตะไม่ถึงระดับนั้น และก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า ตัวผู้เล่นเองก็อยากย้ายมาอยู่กับเรา

ในที่สุดเมื่อตลาดเปิดอีกครั้ง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็เริ่มดำเนินการทันทีโดยไม่ต้องรอให้ลุ้นกันจนถึงวันท้ายๆอย่างล่าช้าเหมือนที่เคยๆ

ตลาดนักเตะซัมเมอร์นี้ เปิดวันที่ 9 มิถุนายน และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยื่น official bid ไปเป็นครั้งที่3 (3rd offer) ก็สามารถตกลงกันได้ที่ราคา85ล้านยูโร หรือ 72.9ล้านปอนด์ ซึ่งAgreedกันในวันที่ 1 กรกฎาคม

เท่ากับว่า เปิดตลาดมาเพียง 3สัปดาห์แรก ก็ปิดดีลซานโช่ได้ทันที จบได้เร็วมากหากดูการดำเนินงานกันจริงๆ

แบบนี้ผมถือว่าเป็นดีลที่จัดการได้โคตรเร็วมากๆ และประกาศดีลใหญ่ของซัมเมอร์นี้เป็นดีลแรกๆเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่หลังจากนั้นจะมีการย้ายทีมแบบตู้มต้ามเกิดขึ้นเต็มไปหมด

ซึ่งตอนที่เดินเรื่องซื้อขายกันนั้น ซานโช่ยังอยู่กับทีมชาติอังกฤษอยู่ด้วยซ้ำ และเพิ่งจะผ่านรอบ16ทีมเข้ามา

แต่แมนยูกับดอร์ทมุนด์ ยืนยันข้อตกลงเรียบร้อยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ทำให้ดีลซานโช่กับแมนยูเรียบร้อยระหว่างทัวร์นาเมนต์ยูโร2020 ยังไม่จบ และอังกฤษก็ยังไม่ตกรอบ

ซึ่ง2วันต่อมา ในวันที่ 3 กรกฎา ซานโช่ก็ได้ลงสนามเกมยูโร2020 ให้ทีมชาติอังกฤษในรอบ8ทีมสุดท้าย เจอกับยูเครนในฐานะตัวจริง และสร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยม ในฐานะว่าที่นักเตะแมนยูไนเต็ดอย่างเป็นทางการ

ไม่ต้องรอลุ้นให้จบยูโรก่อนแล้วค่อยเดินดีล แต่ทีมซื้อขายจัดการดีลให้จบสิ้นโดยไม่ต้องรอให้อังกฤษตกรอบ

เพราะเมื่อค่าตัวของซานโช่ลดลงมาอยู่ในระดับที่จะซื้อได้อย่างสมเหตุสมผล สโมสรเราที่มีการจัดสรรโครงสร้างภายในขึ้นมาใหม่ ให้มีผู้รับผิดชอบด้านนี้โดยตรงในการตัดสินใจ ซึ่งมีความรู้ด้านฟุตบอลเข้ามาทำงานเป็นผู้อำนวยการกีฬา อย่าง จอห์น เมอร์ทัฟฟ์ เข้ามาด้วยแล้วนั้น ทำให้ทีมจัดการปิดดีลได้อย่างรวดเร็ว

นี่คือราคาที่เหมาะสมสำหรับนักเตะคนสำคัญหนึ่งรายที่จะเข้ามาเป็น "ตัวหลัก" ให้กับทีม ราคาประมาณนี้ถือว่าปกติมากๆ แถมถูกกว่าแมกไกวร์ที่80ล้านปอนด์เสียอีก ซานโช่ซื้อมาได้ต่ำกว่าเขา7ล้านปอนด์ แต่อายุการใช้งานยังเหลืีออีกเป็นสิบปี

เป็นการเดินดีลที่น่าชื่นชมสำหรับความอดทน ใจเย็น และไม่บ้าตามเกมดอร์ทมุนด์ให้เขาโขกโง่ๆเมื่อปีที่แล้ว แถมยังได้มาในราคาที่ต่ำกว่าที่คิดเยอะ กับค่าตัวราว73ล้านปอนด์ แลกกับนักเตะดีกรีทีมชาติอังกฤษวัย 21 ปี

(ตอนแรกคิดว่า 80-90ล้านซะด้วยซ้ำ ได้ราคาแค่นี้เฉยเลย ทีมต่อรองโคตรเก่ง)

การอดทนรอหนึ่งปีเพื่อซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล ทำให้ยูไนเต็ดประหยัดเงินในดีลซานโช่ไปได้ถึง 35 ล้านยูโรเต็มๆ

ที่สำคัญ เป็นการซื้อที่เสริมทีมและแก้ปัญหาได้ "ตรงจุด" ที่สุดดีลนึง ในการควานหาปีกขวาที่ทีมขาดอยู่หลายปี แมนยูลงเล่นด้วยการที่ทีมไม่มี "ปีกขวาแท้" ดีๆเอาไว้ใช้งานเลย และเกมฝั่งนั้นกลายเป็นแดนสนธยาของทีมมาโดยตลอด

แต่ดีลซานโช่ เป็นการเลือกนักเตะที่ "ดีที่สุด" และเหมาะกับแมนยูไนเต็ดมากที่สุดมาเข้าทีมเพื่ออุดในตำแหน่งที่ขาดพอดี

ปีกขวาในตลาดมีมากมายหลายคนที่อาจจะซื้อมาได้ในเกรดรองกว่านี้ ราคาต่ำกว่านี้ เช่น ราฟินญ่า ลีออน เบย์ลีย์ ฯลฯ แต่นี่คือการลงทุนเลือกนักเตะที่ดีที่สุดในศักยภาพรุ่นอายุนี้เข้ามา ไม่มีอะไรจะบรรยายได้อีกแล้ว

ที่สำคัญ ซานโช่ยังเข้ามาเพื่อเติมเต็มในแง่แทคติกได้อีก ในปัญหาที่แมนยูขาดนักเตะตัวสร้างสรรค์เกม ซึ่งปีกคนอื่นๆอย่าง แรชฟอร์ด มาร์กซิยาล เจมส์(ในขณะนั้น) หรือ กรีนวู้ด ไม่มีใคร"สร้างสรรค์เกมรุก"ได้ดีพอให้กับทีม

การทำเกมรุก และการใช้จินตนาการสร้างสรรค์และครีเอทการบุกหาช่องเจาะคู่แข่งนั้น ภาระตกไปอยู่กับ "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" อยู่คนเดียว รวมถึงลุค ชอว์ และป็อกบาในยามที่ฟิตเต็มที่

ทีมมีคนทำเกมแค่3คนนี้จริงๆ และหลักๆมันมีแค่บรูโน่คนเดียวในแดนหน้า

การได้ซานโช่ผู้ซึ่งทำสถิติแอสซิสต์เฉลี่ยตกปีละ20แอสซิสต์มาติดต่อกันสามปีแล้วนั้น เป็นการเข้ามาที่ทำให้ทีมสมดุลมากขึ้น เนื่องจากแดนหน้าเรามีแต่ตัวจบสกอร์ดีๆเต็มไปหมด ทั้งแรชฟอร์ด กรีนวู้ด คาวานี่ และรวมถึง "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" อีกคนในยามนี้ที่ย้ายเข้าทีมอย่างเป็นทางการแล้ว

มีตัวยิงเถื่อนๆเต็มทีมก็จริง แต่ถ้าไม่มีคนเปิดบอลให้ กองหน้าเราจะคมขนาดไหนก็ไร้ความหมายถ้าบอลไม่ถึง หรือไม่มีคนทำเกม ดังนั้นซานโช่ก็เข้ามาเติมในสิ่งนี้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วย

ฉะนั้น ถ้าให้คะแนนดีลของซานโช่นั้น คงต้องให้คะแนนสูงจริงๆในเรื่องที่ซื้อมาแล้วมีแต่ประโยชน์มากมาย และคุ้มมากอย่างเห็นๆ ไม่ว่าจะเป็น

-การซื้ออย่างสมเหตุสมผลในราคาที่ดี ไม่โดนดอร์ทมุนด์โก่งราคาเว่อร์ สโมสรประหยัดเงินไปเยอะ

-การอุดรูรั่วตำแหน่ง "ปีกขวา"ที่ขาด

-การเพิ่มนักเตะที่มี creativity สูงให้กับทีม

-มีความยืดหยุ่นในการลงเล่นได้หลากหลายตำแหน่งทั้งปีกซ้ายปีกขวาโดยที่คุณภาพไม่ต่างกัน

-ปิดดีลได้เร็วภายใน3สัปดาห์นับตั้งแต่เปิดตลาดซื้อขาย ไม่ต้องลุ้นวันท้ายๆให้ล่าช้า

ดังนั้นดีลนี้จึงถือว่าเป็นดีลที่ทำได้ดี และควรได้รับคะแนนเกือบเต็มไปเช่นกัน

ส่วนที่หักคะแนนไป 1 แต้ม ไม่ให้เต็ม10นั้น ติดแค่อย่างเดียวสำหรับดีลซานโช่คือ หักคะแนนเรื่องการสื่อสารกับแฟนบอล ที่ทำให้แฟนปีศาจแดงรู้สึกแย่ ที่ปีก่อนปิดดีลไม่สำเร็จ ไม่สื่อสารเคลียร์ออกมาให้ชัดเจนว่า เพราะอะไรถึงยังไม่ซื้อ จนทำให้แฟนบอลบางส่วนก็ด่าทีมกันอย่างเสียๆหายๆ และ "ไม่เข้าใจ" จนถึงบัดนี้ ที่บางคนยังคิดอยู่เลยว่า นี่คือดีลที่ต้องใช้เวลา2ปีถึงจะซื้อมาได้

ในเมื่อเราไม่อยากซื้อเพราะเขาขายแพง แมนยูไนเต็ดผิดด้วยเหรอถ้าไม่ซื้อมาปีที่แล้วเพราะว่ามันแพงเกินเหตุ?

การสื่อสารที่ไม่ดี กับการไม่เคลียร์สถานการณ์ของตัวเองให้มันชัดๆในตลาดปีที่แล้ว ทำให้เราต้องหักคะแนนไป ในเรื่องที่มัวไปมีข่าวอยู่แต่กับซานโช่ แต่ไม่ไปเดินดีลอื่นให้เรียบร้อยก่อน เหมือนคุยไปละตัว ไม่มีแผนอื่นสำรอง ไม่งั้นเราอาจจะได้ตัวอื่นๆเข้ามาก่อนเพื่อช่วยทีม

ดังนั้นจึงหักคะแนนไป1แต้ม เรื่องการไปงมอยู่กับแค่ดีลซานโช่มากเกินไป และไม่เคลียร์ข่าวให้ชัดเจนว่าเราจะไม่ซื้อ ปล่อยให้สื่อเล่นกันไปเรื่อยๆจนแฟนบอลหงุดหงิด

แต่สุดท้ายแล้วปีนี้ดีลก็สำเร็จในที่สุด และเชื่อว่าด้านการปรับตัวไม่น่ามีปัญหาอะไร อีกสักพักซานโช่น่าจะจูนการเล่นเข้ากับทีมได้ และฟอร์มการเล่นจะดีขึ้นเรื่อยๆแน่นอนไม่ต้องห่วง

Form is temporary, Class is permanent คลาสซานโช่มันยังอยู่เหมือนเดิม เดี๋ยวเข้าที่เมื่อไหร่ ฟอร์มก็มาเอง

ดีลนี้จึงเอาคะแนนการดีลไป 9/10

3. Raphaël Varane : 34 ล้านปอนด์ (คะแนนดีล 10/10)

ดีลนี้ผมบอกเลยว่า เป็นดีลที่โคตรดี ซื้อนักเตะมาได้ถูกคน และคุ้มค่าคุ้มราคากับสิ่งที่ได้รับมากๆ กับคุณภาพระดับเวิร์ลคลาสของราฟาเอล วาราน ที่ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองอะไรอีกแล้ว เพราะการอยู่กับทีมอันดับหนึ่งของโลกในยุคเฟื่องฟูมาตลอด10ปี และคว้าแชมป์มามากมาย ไม่ว่าจะเป็น แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 / แชมป์ลาลีกา 3 สมัย / แชมป์UCL 4 สมัย และถ้วยอื่นๆอีกมากมายเป็นสิบถ้วย ในฐานะกองหลังตัวจริงคู่หูของเซร์คิโอ รามอส ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค

อายุ28ปี เป็นวัยที่เริ่มเข้าจุดพีคในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คพอดี และโชคชะตาฟ้าลิขิตมาแล้วให้เขาจะต้องได้มาอยู่ที่นี่ เมื่อวารานต้องการความท้าทายใหม่ๆ และสัญญาเขากำลังจะหมดปีหน้าพอดี ในขณะที่คู่หูก็ย้ายทีมเช่นกัน

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นทีมที่เดินเกมเร็ว และเลือกนักเตะได้ถูกตัวมากๆ เมื่อเราคือทีมที่เข้าวินปาดปารีส ชิงลายเซ็นของราฟาเอล วาราน มาได้เน้นๆ เนื่องด้วยเจ้าตัวต้องการจะมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอยู่แล้วด้วย เราจึงสามารถเซ็นสัญญาเข้ามา ในราคาที่ถูกแสนถูก ถูกมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับนักเตะที่คุณภาพการเล่นอยู่ในเลเวลที่เรียกว่า "World Class"

ซื้อตัวworld class มาในราคา 34ล้านปอนด์ มึงบ้าไปแล้วววววววววววววว!!!

ราคานี้เมื่อรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ โบนัส และ add-ons ดีลอาจจะขึ้นไปได้ถึงราว 43ล้านปอนด์ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ราคาแทบจะไม่ได้ต่างกันเลย ราคานี้เอาจริงๆมันควรจะได้แค่นักเตะเกรดB ถึง B+ เข้ามาเป็นแค่ Squad Player เท่านั้น

แต่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดดีพอจะเซ็นวารานมาด้วยราคาที่ถูกยิ่งกว่าขี้ถ้าเทียบกับฝีเท้าของเขา แล้วแค่วันแรกที่มาเปิดตัวก็สร้างอิมแพ็คสุดๆด้วยการปิดเงียบหลายวันไม่เปิดตัว หลังจากที่มาอังกฤษแล้วต้องกักตัวรออยู่5วัน สุดท้ายเดินใส่สูทถือเสื้อเบอร์19 ลงมาเปิดตัวต่อหน้าแฟนบอลที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ก่อนเกมถลุงลีดส์ 5-1 อย่างชื่นมื่น

เป็นการเปิดตัวที่โคตรหล่อที่สุดจริงๆ

สุดท้ายแล้ววารานก็ได้ลงสนามครั้งแรกในเกมนัดที่สามของพรีเมียร์ลีก ในการไปเยือนวูล์ฟนัดที่ผ่านมา และเมื่อเจอกับปัญหาแทคติกของทีมที่ผิดพลาดในครึ่งแรก และปัญหาของกองกลางที่ไม่สามารถสกรีนงานได้ ทำให้เขาได้โชว์ความสามารถในการเล่นเกมรับ ป้องกันการโจมตีของคู่แข่งได้อย่างเด็ดขาด หมดจดทุกช็อต ไม่ว่าจะเป็นการเคลียร์จังหวะสุดท้าย การบล็อคคู่แข่ง หยุดเกมรุก และรวมถึงการป้องกันลูกโด่งที่ดีเท่าๆกับแฮรี่ แมกไกวร์ ยิ่งทำให้แมนยูไนเต็ดแข็งแกร่งต่อลูกกลางอากาศและเซ็ตพีซต่างๆอีก

มานัดเดียวก็แบกทีมซะแล้ว และดูท่าว่าวารานจะต้องทำแบบนี้ไปอีกอย่างน้อยครึ่งฤดูกาล เพราะทีมยังไม่ได้ซื้อมิดฟิลด์ตัวรับเข้ามาช่วยทีม ดังนั้นภาระเกมรับของทีมก็จะไปตกอยู่ที่แบ็คโฟร์ค่อนข้างมาก

ราฟาเอล วาราน จะได้พิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มที่ตลอดครึ่งซีซั่นแรกนี้แน่นอน แล้วค่อยไปลุ้นตลาดหน้าหนาวกันอีกทีว่าสโมสรจะจัดมิดฟิลด์มาแบ่งเบาเขาหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ แค่เกมนัดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือดีลที่ถูกต้อง ในราคาที่ถูกกว่าฝีเท้าและความเป็นจริงอย่างมาก

เขาเข้ามาเติมเต็มทีม ในสิ่งที่แฟนผีรอคอยจะให้แฮรี่ แมกไกวร์ มี "คู่หู" กองหลังที่สมน้ำสมเนื้อ ด้วยระดับคลาสที่สูงเทียบเท่า หรือมากกว่า ทำให้ตอนนี้แฟนผีได้ "คู่หูเซ็นเตอร์ตัวหลัก" คู่ใหม่อย่างแมกไกวร์-วาราน ที่เป็นเหมือน "กำแพงที่ไม่มีวันพังทลาย" (Invincible Wall) เกิดขึ้นมาได้สำเร็จ หลังจากที่รอคอยกันมายาวนานนับตั้งแต่สมัยที่เราเคยมี ริโอ เฟอร์ดินานด์ & เนมันย่า วิดิช

ดีลนี้คุ้มเกินคุ้ม และต้องให้คะแนนเต็มสิบเท่านั้น เพราะเหมาะสมทุกประการ ไม่ว่าจะราคาที่ถูกมาก คุณภาพฝีเท้าที่อยู่ระดับท็อป และการเติมเต็มทีมที่ทำให้แนวรับของทีมเข้าที่สมบูรณ์แบบ และนิ่งกว่าเดิมมากจนสามารถเอาตัวรอดในเกมเจอวูล์ฟมาได้หวุดหวิด จากการแบกกองหลังของคู่แมกไกวร์ วาราน รวมถึง ดาวิด เดเคอา ในร่างNEOที่เปิดอัลติฝ่ามือหยุดกระสุน ช่วยกันรักษาคลีนชีทได้สำเร็จ

ลงเกมเดียว แมนยูได้คลีนชีทครั้งแรกในรอบ11เกมทันที!

ดังนั้นดีลวารานถือว่า Perfect 10 แบบไร้ข้อสงสัย

4. Cristiano Ronaldo : 12.86 ล้านปอนด์ (คะแนนดีล 11/10)

ดีลนี้ขอมอบให้ "11แต้ม" ทะลุปรอทคะแนนเต็ม10กันไปเลยสำหรับการกลับมาของ "ตำนาน" และ "ครอบครัว"ของเราอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดดึงตัวกลับมาจากยูเวนตุส ด้วยเงินต้นราคา 15 ล้านยูโร (12.86 ล้านปอนด์) บวกกับ add-ons ที่อาจจะมีเพิ่มอีกราว 8ล้านยูโร (6.86ล้านปอนด์) ซึ่งสุดท้ายแล้วรวมๆก็อยู่แถวๆไม่เกิน 20ล้านปอนด์อยู่ดี

น่าเหลือเชื่อจริงๆที่ จากกลับมาในครั้งนี้ แมนยูไนเต็ดซื้อจากยูเวนตุสในราคาราว "12.86 ล้านปอนด์" ตัวเลขเกือบจะใกล้เคียงกันกับของเดิมตอนที่ซื้อโรนัลโด้มาจากสปอร์ติ้งลิสบอน ในราคา "12.24 ล้านปอนด์"

ขามา ราคา 12 ล้าน ขากลับ ก็กลับด้วยราคา 12 ล้าน เช่นกัน!

เรื่องเงินราคาแค่ 12.86 ล้านปอนด์ถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับการเสริมทีมที่ไม่ได้ใช้เงินมากมาย กับนักเตะที่เหลือสัญญาแค่ปีสุดท้ายกับยูเวนตุส บางคนอาจจะคิดว่ามันเยอะในการซื้อนักเตะอายุ 36ปี เข้ามาในราคา 12.86 ล้านปอนด์

"แต่ได้โปรดอย่าลืมว่า นี่คือใคร"

นี่คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นักเตะที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาล และแข่งขันเคียงข้างมากับนักเตะเบอร์หนึ่งอีกคนหนึ่งอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ มาตลอดสิบๆปีที่ผ่านมานี้ ที่เรียกกันว่าเป็นยุคของ โด้-เมส นั่นแหละ

นี่คือการเซ็น 1 ใน 2 "GOAT" (Greatest Of All Time) ของโลกนี้เข้ามาสู่สโมสร ราคานี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยสุดๆ

ที่สำคัญ ฝีเท้าของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังถือว่าเป็นกองหน้าตัวเป้าระดับท็อปคลาสของโลกอยู่ ณ ขณะนี้

ขนาดว่าใครแซะนักแซะหนาว่าหมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว แต่ซีซั่นที่ผ่านมา CR7 ก็ยังเป็น "ดาวซัลโวสูงสุดของเซเรียอา" อยู่ดี กดไป 29ประตู ยิงได้เยอะกว่านักเตะที่ว่ากันว่าแรงที่สุดในขณะนี้อย่าง โรเมลู ลูกากู ที่ทำไปแค่ 24ลูกเท่านั้น

และเมื่อรวมทุกรายการ ซีซั่นที่แล้ว CR7 กดไปทั้งหมด 36 ประตู กับ 4 แอสซิสต์จากทุกรายการ

ก็เครื่องจักรถล่มประตูดีๆนี่เอง

แถมล่าสุด ในวัย36ปี ก็ยังเป็น "ดาวซัลโวยูโร2020" อีกด้วยจำนวนที่ยิงไป 5ประตู กับ1แอสซิสต์ ทั้งๆที่โปรตุเกสได้เล่นแค่4เกม ไปได้แค่รอบ 16ทีมสุดท้ายเท่านั้นเอง แต่โด้มีส่วนร่วมกับประตูไปถึง 6ลูกเต็มๆ ซิวรางวัลส่วนตัวเป็น Golden Boot ไปครองอีกหนึ่งรางวัล

อายุ 36 ปี แต่ผลงานยังอยู่ในระดับท็อปอยู่ เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ ทั้งๆที่นักเตะส่วนใหญ่พออายุเกิน32ขึ้นมาก็จะเริ่มดรอปลงเรื่อยๆ และส่วนใหญ่ถ้าถึง 35 แล้วแขวนสตั๊ดก็ถือว่าเก่งแล้ว

แต่นี่ 36 ยังเป็นเบอร์หนึ่งอยู่เลย เราคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากแล้วว่า CR7 คือตำนานนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกคนนึง ที่ยังคงเล่นอยู่ และเพิ่งจะขึ้นเป็น "ตำนานตลอดกาล" สดๆร้อนๆ ด้วยPassionที่ไม่ยอมแพ้ แม้จะยิงจุดโทษพลาด และทีมตามหลัง 0-1 จนถึงนาที88 แต่โรนัลโด้ตามโขกตีเสมอให้โปรตุเกส

จากนั้นนาทีทดเจ็บ 90+5 โขกเบิ้ลอีกหนึ่งลูกในช่วงเวลาแบบ "เฟอร์กี้ไทม์" อันโปรดปราน พาโปรตุเกสยิงแซงไอร์แลนด์ และเอาชนะไป 2-1

พร้อมทั้งทำลายสถิติโลก กลายเป็น "นักเตะที่ยิงประตูสูงสุดในนามทีมชาติมากที่สุดตลอดกาล" แซง 109 ลูกของอาลี ดาอี ขึ้นเป็นตำนานหมายเลขหนึ่งเดี่ยวๆ ในประตูที่ 110 และ 111 แถมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยิงแค่นี้..

และตอนนี้ เขากลับมาหาเราแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!

สิ่งที่เหนือกว่าใดๆทั้งปวงในดีลโรนัลโด้คือ มหากาพย์เรื่องราวการย้ายทีมของโด้ เกือบจะกลายเป็นโคตรดราม่าแล้ว เมื่อตัวเขาแจ้งกับต้นสังกัดทีมม้าลายอย่างชัดเจนว่า ต้องการจะย้ายทีม จากสัญญาที่เหลือไม่มาก และเมื่อยูเวนตุสไม่สามารถทำโปรเจ็คการพาทีมประสบความสำเร็จได้ตามที่โด้ต้องการแล้ว เขาจึงต้องการที่จะย้ายทีมเพื่อจะหาความสำเร็จ และไปอยู่กับสโมสรที่มีแผนงานน่าสนใจในสายตาเขา

และทีมแรกที่มีข่าวขึ้นมา มันดันเป็นแมนเชสเตอร์ซิตี้ คู่อริของแฟนผีตลอดกาลทีมนึงของเรา

มีข่าวว่า ฮอร์เก้ เมนเดส เอเย่นต์ของโด้นั้นได้ไปพูดคุยโดยตรงกับแมนซิตี้เพื่อที่จะเสนอนักเตะให้ซิตี้เซ็น โดยพูดคุยเรื่องเงื่อนไขสัญญาต่างๆ ซึ่งทางแมนซิตี้ไม่น่าจะมีปัญหากับการตกลงเงื่อนไขส่วนตัวของโรนัลโด้ ในขณะที่ตัวนักเตะเองจริงๆแล้วก็ "ไม่เคย" พูดปิดโอกาสตัวเองในการกลับมาลงเล่นในพรีเมียร์ลีก

ถ้ามีดีลดีๆที่เข้ามา ในฐานะนักฟุตบอล ที่จะย้ายทีมเพื่อหาที่ลงเล่น ก็ถือว่าเข้าใจได้ในฐานะเส้นทางอาชีพนักฟุตบอล ที่จะต้องหาที่ที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

จุดสำคัญของดีลนี้อยู่ที่ว่า ทางต้นสังกัดยูเวนตุสนั้น ต้องการเงิน 28-30 ล้านยูโร เป็นค่าตัวของโรนัลโด้ ในขณะที่เอเย่นต์และทางแมนซิตี้นั้นไม่ต้องการจ่ายเงินส่วนนี้ และอยากจะเซ็นฟรีCR7ไปเลย

ดีลของโด้กับแมนซิตี้ จึงเหลือแค่การยื่นจ่ายค่าตัว28ล้านยูโรให้กับยูเวนตุสเท่านั้น หากว่าซิตี้จ่ายเงิน ดีลก็พร้อมถูกดันให้มันกลายเป็น "done deal" ทันที

แต่ทันทีที่ข่าวโรนัลโด้มีสิทธิ์ย้ายไปแมนเชสเตอร์ซิตี้เกิดขึ้นมานั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนก็เห็นกันแล้วว่าเกิดอะไร

มันไม่เคยมีสัญญาณมาก่อนหน้านี้เลย เพราะซิตี้มีแต่ข่าวกับแฮรี่ เคนเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าสเปอร์ส จะไม่ต้องการขายเคนแบบถูกๆ และเงินร้อยล้านก็ไม่สมหวังในดีลนี้ สุดท้ายแล้ว แฮรี่ เคน ก็ออกมายืนยันว่า เขาจะอยู่โยงกับ สเปอร์ส ต่อไปในฤดูกาลนี้ ยังไม่ย้าย

เมื่อเป้าหมายซิตี้อย่างเคนจบลงไป โมเมนตัมจึงหันไปหากองหน้าตัวอื่นที่เหลือ และมันก็มาเกิดข่าวกับโรนัลโด้ เพราะเมนเดสเดินทางไปคุยมาจริง มีภาพที่เขาปรากฏตัวที่ปอร์โต้หลังจากไปคุยกับฝ่ายแมนซิตี้มา

ข่าวโรนัลโด้กับซิตี้ จึงเป็นผลกระทบชิ่งจากการยืนยันอนาคตของเคนที่ปิดตัวลง จึงอาจจะกลายเป็นโด้ที่ซิตี้จะไปดึงมาเป็นกองหน้านตัวจบสกอร์ให้ทีมแทน เพราะทีมพวกเขาแม้จะบุกดียังไง แต่ก็ยังขาดหน้าเป้าอยู่ดี

ผมมองเห็นชัดเจนว่า ปีนี้แม้จะได้กรีลิชราคา100ล้านไปแล้ว แต่ซิตี้จะเจอปัญหาเดิมในบางเกมที่เจาะคู่แข่งไม่เข้า อันเป็นผลจากการที่ไม่มีกองหน้าตัวเป้า บางครั้งการทำเกมของพวกเขาที่อาศัยการครองบอล วิ่งช่อง ทะลุเติมขึ้นมาทำเกม อาจจะเจาะไม่สำเร็จในเกมที่คู่แข่งแพ็คกลางกันได้แน่นพอจะเอาอยู่

และไม่มีกองหน้าไป "ค้ำ" ในพื้นที่อันตราย ซึ่งตอนนี้ลูกทีมของเป๊ปในแดนหน้า ไม่มีนักเตะประเภทดังกล่าวเลย จึงขาดความหลากหลาย และเชื่อว่าพวกเขาจะต้องมีเกมที่พลาดเกิดขึ้นเพราะประเด็นนี้อีกแน่นอน

ดังนั้นเมื่อเกิดข่าวที่โด้จะไปซิตี้ และมีโอกาสสูงมากนั้น คนที่อยู่ไม่เป็นสุขที่สุด ก็คงจะเป็นแฟนผีทั้งโลกนี่แหละที่หน้าร้อนผ่าว ใจไม่ดี กระวนกระวาย อยู่ไม่เป็นสุข และสถานการณ์มาคุสุดๆในวันนั้น

หลายๆคนช็อค และหลายคนเสียใจหนักมากที่เราไม่คิดว่า "ฮีโร่" คนหนึ่งที่เราชื่นชม มีแต่ภาพจำดีๆที่นี่ และตามเชียร์เขามาตลอดหลายต่อหลายปี กำลังจะกลายเป็น "Judas" ย้ายไปอยู่กับทีมคู่อริที่เราเกลียดมาก และเลือกที่จะกระทำการทรยศต่อความรู้สึกของแฟนบอลที่รักและบูชาเขามากที่สุดบนโลกนี้ อย่างแฟนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เราคือแฟนบอลที่รักเขามากที่สุดบนโลกนี้แน่นอน เรามั่นใจ เพราะไม่ว่าโด้จะย้ายไปที่ไหน จะต้องมีแฟนผีตามไปให้กำลังใจและเชียร์ในทุกๆทีมของพี่โด้ ไม่ว่าจะเป็นมาดริด ยูเว่ หรือแม้กระทั่งทีมชาติโปรตุเกส

จริงอยู่แฟนมาดริด หรือ แฟนยูเว่ ก็อาจจะรักโด้มากเช่นกัน แต่เชื่อว่าคงไม่เทียบเท่าความรู้สึกที่แฟนผีส่วนใหญ่ ยกให้โด้เป็นความทรงจำที่สวยงามของการเชียร์แมนยูในอดีต และยกให้เป็น "ตำนานสโมสร" ไปแล้วเรียบร้อย

เพราะสโมสรแห่งนี้ของพวกเราคือสถานที่ปลุกปั้นนักเตะผู้ซึ่งกลายมาเป็น "GOAT" นักเตะที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล ที่ทำลายสถิติต่างๆมานับครั้งไม่ถ้วน

ก้าวสุดท้ายที่โด้เกือบจะมีโอกาสย้ายไปซิตี้ ก็ถูกขัดขวางด้วยการเข้ามาร่วมวงแย่งชิงโรนัลโด้แบบทันทีทันใด จากการเดินเรื่องของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดภายในหนึ่งวันต่อมา หลังจากที่มีข่าวกระแสจะย้ายไปซิตี้อย่างมาก และแฟนทีมคู่อริต่างตีปีกกันพรึ่บพั่บ รอที่จะเยาะเย้ยและสะใจในดีลนี้กันแล้ว 

แต่วันรุ่งขึ้น เกมพลิกไปอีกอย่างทันที

ทั้งๆที่ไม่มีกระแสมาก่อนว่ายูไนเต็ดสนใจจะดึงโรนัลโด้กลับมา ด้วยหลายๆปัจจัยทั้งทางด้านเหตุและผลในเชิงแทคติก และการสร้างทีมปัจจุบัน มันไม่มีแผนงานตรงไหนเลย ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

สโมสรยอมรับตามตรงว่า CR7 ไม่ได้อยู่ในแผนปีนี้มาก่อน เพราะพวกเขามองไม่เห็นทาง และไม่เคยคิดว่าโอกาสในการดึงตัวกลับมาจะเกิดขึ้น

แต่จากการร่วมแรงร่วมใจกันของบุคลากรทุกภาคส่วนของสโมสรแมนยูไนเต็ด ตั้งแต่บอร์ดบริหารเบื้องบน ทีมงานติตด่อซื้อขาย ที่เดินดีลกันสุดแรงเกิด, เหล่าศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของแมนยูไนเต็ดที่ต่อสายกันไปหาพี่โด้แบบสายไหม้ ไม่ว่าจะเป็นริโอที่ต้องโทรไปถามว่าให้เพื่อนคอนเฟิร์มว่ามันไม่จริงใช่ไหม ในขณะที่ตัวพ่ออย่างเอฟร่าเองก็ไม่พลาดที่จะรีบแชทไปถามหาเพื่อนสนิทเขา รวมถึงอีกหลายๆคนที่น่าจะติดต่อโด้ไปอีกที่ยังไม่เปิดเผย ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนของเขา

ที่สำคัญที่สุด ติ่งพี่โด้ระดับแฟนตัวยงอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ก็ได้ข่าวว่าโทรไปเกลี้ยกล่อมและชวนพี่โด้อยู่ทั้งคืนก็ตามที ทุกๆคนร่วมแรงร่วมใจกันทำให้ดีลนี้เกิดขึ้นมาได้

โดยมีตัวแปรคนที่สำคัญที่สุดในดีลการดึงโรนัลโด้กลับมาครั้งนี้ คือ "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน"

ชายผู้ยังคงเป็นจิตวิญญาณและลมหายใจของปีศาจแดงเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย เพราะเขาคือแกนหลักที่สั่งการให้สโมสรเดินเครื่องนำศิษย์รักรายนี้กลับมาให้ได้ ทั้งการพูดคุยด้วยตัวเองและการเร่งดีลต่างๆ

อาจเป็นไปได้แม้กระทั่งการที่เกิดจาก "ทฤษฎีสมคบคิด" ระหว่างป๋าและเมนเดส ที่ทำให้ดีลนี้เป็นจริงด้วย

ก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกันว่า เมื่อป๋ารู้ว่าโรนัลโด้ต้องการจะย้ายออกจากยูเวนตุส และอยากให้ยูไนเต็ดไปเซ็นมาให้ได้ ป๋าจึงอาจจะนัดแนะให้คนสนิทอย่างเมนเดส เคลื่อนไหวไปหาทางแมนซิตี้ เพื่อที่จะทำให้แฟนบอลและผู้เกี่ยวข้อง รวมถึง "บอร์ดสโมสร" ร้อนรนจนนั่งไม่ติด

การที่เมนเดสไปตั้งโต๊ะคุยกับซิตี้ มันทำให้แมนยูไนเต็ดต้องรีบเร่งไปดีลตัดหน้ามา และทำทุกอย่างให้สำเร็จให้จงได้ เพื่อไม่ให้ซิตี้คว้าตัวไป

แม้ทฤษฎีนี้อาจจะดูมโนไปหน่อย แต่มันก็มีเค้าที่อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ ไม่งั้นจู่ๆคนสนิทของป๋าอย่างเมนเดส จะไปคุยดีลโรนัลโด้กับแมนซิตี้ ทั้งๆที่มีคอนเน็คชั่นที่ดีกับทางนี้อยู่.. มันน่าคิดมากๆ

และแฟนผีก็น่าจะรู้ ว่าป๋าเราร้ายกาจขนาดไหน

เรื่อง "Mind Games" ไม่เป็นสองรองใครบนโลกนี้ แกอาจจะทำสิ่งที่ว่านี้จริงๆก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดที่แน่ๆ แกคือคนที่ทำทุกอย่างเพื่อพาลูกชายกลับบ้านสำเร็จ คือพ่อคนที่สองของโรนัลโด้คนนี้

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นั่นเอง

ความสำเร็จในครั้งนี้ ป๋าคือตัวแปรสำคัญอย่างแท้จริง เพราะหลังจากที่การย้ายทีมเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โรนัลโด้เองก็เปิดเผยความในใจของเขาผ่านช่องทางสื่อสารของเจ้าตัว

สิ่งที่เขาลงท้ายเพื่อพูดถึงดีลการกลับมาครั้งนี้ คือคำที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาอีกครั้งในการเชียร์แมนยูไนเต็ด นั่นก็คือ

PS - Sir Alex, this one is for you…

"ป๋า ผมทำเพื่อป๋านะ"

ดีลการพาโรนัลโด้กลับบ้าน จึงเป็นผลงานของเซอร์อเล็กซ์ที่ "เซฟแฟนผี" และสร้างคุณประโยชน์มหาศาลเพื่อสโมสรอีกครั้ง ที่ขวางไม่ให้เกิด "worst case" ของการที่ตำนานเราต้องไปช่วยทีมคู่อริร่วมเมืองที่เราโคตรเกลียด ให้ได้ลุ้นแชมป์

เท่านั้นยังไม่พอ แต่กลายเป็นว่า ทีมเรากลับได้ตำนานรายนี้คืนถิ่นกลับมาอยู่กับสโมสรอีกครั้งด้วยสัญญาสองปีถึงปี2023 พร้อมออฟชั่นขยายไปอีกหนึ่งปี

และเชื่อว่าถึงตอนนั้นในวัย 38 หรือ 39 ตำนานตลอดกาลในโลกฟุตบอลผู้นี้ จะได้แขวนสตั๊ดที่นี่ กับ"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เป็นสโมสรสุดท้ายในชีวิต ที่เขาเล่นฟุตบอล..

การเข้ามาของโรนัลโด้ในดีลนี้ เป็นดีลที่มีแต่คุณประโยชน์มหาศาล ทำให้เราจึงจำเป็นต้องให้คะแนนดีลแบบล้นทะลัก เกิน10แต้มเต็มด้วยซ้ำ เอาไปเลย "11คะแนน"

เนื่องจากการซื้อโด้กลับมา มันคือดีลที่ทำเพื่อความสุข และ หัวใจของแฟนๆปีศาจแดงเป็นหลัก

ประเด็นนี้สำคัญที่สุด

จากการที่ไม่ต้องเห็นเขาไปใส่เสื้อฟ้ายังไม่พอ ยังได้ฮีโร่กลับมาบ้าน ต่อจากนี้คนรักโด้ก็ไม่ต้องเสียเวลาตามไปเชียร์ที่ทีมอื่น เราก็เชียร์อยู่ที่ทีมเราเอง เชียร์แมนยูไนเต็ดไป ก็ได้ดู ได้เชียร์โด้ด้วยในเวลาเดียวกัน

แฟนบอลอยากให้โด้กลับบ้านมานานแล้ว คราวนี้สมหวังสักที คุณจะเห็นได้จากปฏิกิริยาของแฟนบอลปีศาจแดงทั้งโลกว่าตื่นเต้นและดีใจกันขนาดไหน

เพลง Viva Ronaldo กระหึ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มันไม่ได้ถูกร้องอย่างเต็มปากมาเป็นเวลา12ปีแล้ว

นอกจากนี้ การนำโด้เข้ามา คือการยกระดับแนวรุกของทีมให้เทียบเท่าแมนเชสเตอร์ซิตี้อย่างแท้จริง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Squad Depth ของ"แนวรุก"เรานั้น คุณภาพโดยรวมยังสู้แมนซิตี้ไม่ได้ (แม้จะค่อยๆดีขึ้นมาก็ตาม)

แมนเชสเตอร์ซิตี้มีนักเตะตัวจริงอย่าง สเตอร์ลิ่ง เชซุส กรีลิช ในขณะที่ม้านั่งสำรอง ก็ยังมีนักเตะระดับ ริยาด มาห์เรซ, เฟร์ราน ตอร์เรส, ฟิล โฟเด้น ลงมาเปลี่ยนอย่างคับคั่ง และฝีเท้าโหดในระดับที่แทบจะไม่ต่างกันเลยตัวจริงตัวสำรอง

นี่ยังไม่นับพวกตัวอื่นๆที่โหดทุกขุมกำลังเต็มสตรีม ไม่ว่าจะเป็นกุนโดกัน เดอบรอยน์ แบร์นาโด้ รวมถึงพวก ดิอาซ สโตน ลาปอร์ก คันเซโล่ ฯลฯ

แต่แมนยูไนเต็ดเมื่อก่อน หันไปดูม้านั่งสำรอง เรามีแค่เพียงมาร์กซิยาล ที่ฟอร์มตกแบบที่ยังกู่ไม่กลับ, ฮวน มาต้า, แดเนียล เจมส์ ที่ตอนนี้ย้ายทีมไปแล้ว, ดาวรุ่งที่ยังต้องเพิ่มประสบการณ์อย่าง อามัด เดียโล่ เท่านั้น ที่เป็นสำรองในแนวรุกของแมนยูไนเต็ด ให้กับพวกตัวจริงอย่าง คาวานี่ บรูโน่ กรีนวู้ด และแรชฟอร์ด(ที่ไม่ฟิต และฟอร์มตกเพราะอาการบาดเจ็บ)

แต่เมื่อCR7 เข้าทีมมา นักเตะตัวรุกหลักของทีมจะอัดแน่นสุดๆจนประกอบด้วย

CR7 / Cavani / Greenwood / Rashford / Sancho / Bruno หกคนนี้ที่น่าจะเป็นตัวจริงหลักสลับกันลง

เอาแค่นี้คุณภาพก็คับแก้วจนน่าขนลุกแล้วแต่ละตัว

โดยที่ม้านั่งสำรอง คุณภาพเชิงลึกของเราก็จะมีนักเตะดีๆระดับ Martial / VDB / Mata / Lingard รอใช้งานเป็นสำรองในแนวรุกอยู่ และที่สำคัญที่สุด "Paul Pogba" ผู้ซึ่งสามารถนับเป็นแนวรุกได้อีกคน หากว่ากองกลางอย่าง McTominay กลับมาฟิตสมบูรณ์ และลงตรงกลางได้ ป็อกบาก็จะขึ้นมาเป็นหนึ่งในทางเลือกนักเตะตัวรุกหลักของทีมอีกคนเช่นกัน

ตัวรุกคุณภาพเยี่ยมในแดนหน้า มีสลับหมุนเวียนกันเป็นสิบคน คิดเอาเอง!

นึกภาพ โด้ คาวานี่ กรีนวู้ด บรูโน่ ป็อกบา ลงสนามพร้อมกัน แล้วมีสำรองระดับ แรชฟอร์ด มาร์กซิยาล มาต้า ฟานเดอเบค รอลงมาเปลี่ยนเกมอยู่

คุณภาพเชิงลึกของตัวผู้เล่น มันขึ้นมา "เทียบเท่า" แมนเชสเตอร์ซิตี้เรียบร้อยแล้ว

อดีตที่เราเคยสยดสยองกันเมื่อเห็นว่า บนม้านั่งสำรองของซิตี้น่าสะพรึงกลัวขนาดไหน ต่อจากนี้มันจะเกิดขึ้นกับแมนยูไนเต็ดเหมือนกัน

โรนัลโด้จะเข้ามายกระดับแนวรุกของทีมให้โหดขึ้นระดับท็อปสุดๆของลีก ทัดเทียมหรืออาจจะดีกว่าตัวเต็งอย่างซิตี้หรือเชลซีแน่นอน

นอกจากนี้ ดีลของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ส่งผลทางด้านการตลาดของสโมสร แบบเต็มๆ ทั้งทางธุรกิจ ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่น ที่หุ้นสโมสรพุ่งสูงขึ้นจาก 6-7 จนถึง 9% และมูลค่าสโมสรพุ่งสูงขึ้นรวดเดียวถึง 300ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

ถ้าวัดคร่าวๆ ตอนนี้มูลค่าสโมสรแมนยูไนเต็ด แซงบาเยิร์นมิวนิคขึ้นมาเป็น "อันดับสาม" แทน จากเดิมที่ Forbes รายงานแมนยูไว้ว่าเป็นอันดับ 4 มูลค่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ ตอนนี้ถ้าขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะแตะ 4.5 พันล้านดอลลาร์ แซงบาเยิร์น อันดับ3เก่าที่ 4.21 พันล้านดอลลาร์ไปแล้ว

แค่โรนัลโด้กลับมาคนเดียว หุ้นสโมสร มูลค่าสโมสร ขึ้นกระฉูด พร้อมกับยอดไลก์ยอดฟอลโลว์อีกเป็นล้านๆที่ตามมาอีกนับไม่ถ้วนจากทุกๆช่องทาง

เอาง่ายๆตอนนี้ เรื่อง "เสื้อบอล" ที่ทุกคนรอคอยอยู่ว่า โรนัลโด้กลับมาจะได้ใส่เสื้อเบอร์อะไรลงเล่น ซึ่งมีโอกาสสูงว่ายูไนเต็ดจะทำเรื่องเป็นพิเศษกับทางพรีเมียร์ลีกเพื่อขอ เบอร์7 มาให้โรนัลโด้ใส่ และเจ้าของเดิมอย่าง คาวานี่ ก็สามารถย้ายไปใส่เบอร์ 21 ที่เจ้าตัวชื่นชอบ และใช้เล่นในทีมชาติอุรุกวัยได้ด้วย

และตอนนี้ก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประกาศยืนยันว่าอย่างเป็นทางการว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะใส่เสื้อเบอร์ 7 ในการกลับสู่โอลด์แทรฟฟอร์ดครั้งนี้

โดยได้รับเบอร์เสื้อนี้จาก เอดินสัน คาวานี่ ที่ใส่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และใส่ในเกมเยือนที่บุกไปชนะวูล์ฟแฮมพ์ตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งนั่นทำให้ทางด้านของ "เอล มาธาดอร์" เอดินสัน คาวานี่ จะเปลี่ยนไปใช้เบอร์ 21 เป็นเบอร์เดียวกันกับที่กองหน้าจอมถล่มประตูของเราใส่ลงเล่นให้กับทีมชาติอุรุกวัย

พรีเมียร์ลีกอังกฤษที่ทางลีกอนุญาตให้มีการดำเนินการเปลี่ยนเบอร์กันได้เพราะมีหมายเลขว่างในสโมสรที่ปรับเปลี่ยนไล่เรียงกันไป จากตอนแรกที่จะทำเรื่องเป็นพิเศษ แต่มีดีลแดเนียล เจมส์เกิดขึ้น ทำให้เบอร์มันว่าง และคาวานี่ก็เปลี่ยนจาก 7 ไป 21 / นักเตะใหม่อย่างโด้ก็เข้ามาใส่เบอร์7แทน ตอนนี้ก็คอนเฟิร์มแล้วว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็จะได้กลับมาสวมเสื้อ "เบอร์7" ในตำนาน ลงสนามให้แมนยูไนเต็ดอีกครั้ง

ซึ่งเอาจริงๆแล้ว "เสื้อหมายเลข7" ตัวนี้ ถ้าใครมีโอกาสก็ใส่มันได้ทั้งนั้นแหละ

แต่จะ "คู่ควร" กับมันหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

นักเตะที่คู่ควรเท่านั้น ถึงจะได้รับการยกย่องว่าเป็นตำนานสโมสร ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนที่เคยใส่เบอร์นี้แล้วจะได้รับการยกย่อง

และผมเชื่อว่า ทั้งโรนัลโด้ และ คาวานี่ สองคนนี้เกินคำว่าคู่ควรกับเสื้อหมายเลข 7 ครับ

ส่วนเสื้อ CAVANI 7 ของผมปีนี้ตัวที่มีอยู่ที่ได้สั่งซื้อมาแล้ว ผมจะเก็บมันไว้อย่างหวงแหนที่สุด ไม่เปลี่ยน ไม่เสียดาย

แต่กลับกัน ผมจะยิ่งรักมันมากขึ้นด้วย เพราะCavani คือนักเตะอีกคนที่ผมรักมากๆ

และเค้าคือ "ตำนานเบอร์7" ในใจผมที่ "โคตรเท่" อีกคนเหมือนกัน

ตูนี่แหละคนแรก พี่โด้ใส่เบอร์อะไร เดี๋ยวตามไปสกรีนเพิ่มอีกตัว ส่วนของคาวนี่ก็จะเก็บรักษาไว้เป็นของแรร์อย่างดี แล้วไปซื้อเบอร์21เพิ่มอีกตัว

แค่โด้กลับมาคนเดียว ปีนี้แมนยูไนเต็ดไม่น่าจะผลิตเสื้อทันอย่างแน่นอน แค่รายได้ขายเสื้อ และสินค้าmerchandise ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ก็ได้กำไรมูลค่ามหาศาลแล้ว ง่ายๆ นับแค่เรื่องขายเสื้ออย่างเดียว ตอนนี้แฟนผีพร้อมเปย์กันแบบถวายชีวิต ยอมกินแกลบเพื่อเสื้อพี่โด้กันแน่ๆ เพราะมันคือโอกาสสุดท้ายก่อนที่จะถึงเวลาที่เขาแขวนสตั๊ดแล้ว

นี่คือดีลที่ได้ทั้งใจแฟนบอล ได้ทั้งคุณภาพการเล่นของทีมที่จะมีศักยภาพเกมรุกมากขึ้น และได้ทั้งเรื่องการตลาด ในเชิงการทำธุรกิจของสโมสรในเวลาเดียวกัน เป็นสุดยอดดีลที่ผู้บริหารเล็งเห็นแล้วว่ามีแต่ได้กับได้ จึงดำเนินการกดอัลติ เร่งเครื่องแซงซิตี้ที่ไม่พร้อมจะจ่ายเงิน และไม่แย่งโด้ด้วยหลายๆเหตุผล

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใดๆก็ตาม การดึงโรนัลโด้กลับมาได้ คือชัยชนะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างจริงแท้แน่นอน

และเป็นชัยชนะของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ด้วย ที่จะไม่ทำลายสิ่งดีๆที่เป็นภาพจำอันทรงคุณค่าของเขาในระดับ "legacy" ที่เพื่อนนักเตะแมนยูไนเต็ด เตือนเขาด้วยคำนี้ทุกคนว่า อย่าย้ายไปซิตี้เด็ดขาด ให้นึกถึงมรดกทางความทรงจำเก่าๆของนายที่มีต่อแมนยูและแฟนผีให้ดี

ถ้าย้ายไปซิตี้ ภาพจำอันมีความสุขของโด้ในยุคแรกที่เกิดกับแมนยูก็แทบจะหมดไปทันที

ภาพของการเป็นฮีโร่ของโรนัลโด้จะหายไป กลายเป็น "Judas" แบบเต็มตัวถ้าย้ายไปซิตี้ บางคนโกรธจนเผาเสื้อไปแล้ว เพราะเนื่องจากยิ่งรักมากก็ยิ่งเกลียดมาก ที่เขาอาจจะย่ำยีความรักของเราด้วยการหนีไปอยู่กับชายชู้คนที่เราเกลียดขี้หน้าสุดๆ

แฟนผีที่เคยเชียร์เขามา หากว่าเขาย้ายไปซิตี้จริงๆ ก็อาจจะยังรักและจำแต่ภาพดีๆของเขาอยู่ แต่มันจะไม่อาจชื่นชมได้อย่างเต็มปากเหมือนเดิม ไม่เหมือนตำนานคนอื่นๆที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย และไม่เคยทำให้ภาพสมัยนักเตะเสียหายด้วยการย้ายไปอยู่กับคู่อริตัวเป้งอย่างซิตี้

ความเป็น "Role Model" ในตัวโด้จะหายไปกว่าครึ่งทันที เพราะเราจะไม่สามารถยกโรนัลโด้มาเป็นตัวอย่างให้เด็กรุ่นหลังและนักเตะเยาวชน ดูเป็นตัวอย่างได้เลยว่า นักฟุตบอลที่ดีที่มีrespect ต่อความศรัทธาของแฟนบอลนั้นเป็นยังไง

แม้อาชีพจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่เกียรติและศักดิ์ศรีในตัวเองที่ต้องเคารพแฟนบอลนั้น ก็ควรจะต้องมีด้วยเช่นกัน

ซึ่งตอนนี้ในที่สุดเราก็รู้แล้วว่า โรนัลโด้ คือนักเตะที่สามารถยกย่องในเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจอีกต่อไป

แต่ในอีกมุมมองหนึ่งที่สำคัญ ก็ไม่แปลก หากว่าแฟนบอลบางส่วนที่ "ไม่อิน" กับโรนัลโด้ ที่จะไม่รู้สึกอะไร ถ้าโด้จะย้ายไปซิตี้

คือจะย้ายก็ย้ายไป ไม่รู้สึกอะไร อาจเพราะมุมมองที่เห็นแค่ว่านี่เป็นนักเตะที่มาแล้วก็ไป ไม่ได้มีเราเป็นปลายทางของความฝัน หรือเป็นแฟนบอลที่ชอบนักเตะเรายุคอื่นมากกว่า หรือจะด้วยเหตุผลส่วนตัวใดๆก็ตาม

ด้วยความจำเป็นที่เขาไม่มีทางเลือก (เนื่องจากอยากย้ายทีม) และมีแมนซิตี้เข้ามาให้ความสนใจ ในแง่ของอาชีพนักฟุตบอล ถ้าโด้ย้ายจริงๆ ถือว่าก็เข้าใจได้นะ ถ้ามันมีตัวเลือกแค่นั้น เพราะนักฟุตบอลก็คืออาชีพหนึ่ง ที่หากมีโอกาสก็ต้องคว้าเอาไว้ ไม่ว่าทีมนั้นคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม

หรือด้วยความกระหายความสำเร็จที่เรารู้กันอยู่แล้ว หากโด้จะย้ายไปเพืื่อโอกาสในการ "คว้าแชมป์" เราก็ต้องเข้าใจเขาว่า ซิตี้มีโอกาสมอบสิ่งนั้นให้เขาได้มากกว่า

การที่โด้จะย้ายไปซิตี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพียงแต่มันไม่สง่างามอย่างมากเท่านั้นเอง

แต่สุดท้ายแล้ว โรนัลโด้ก็ไม่ทรยศความรักของแฟนบอลสโมสรที่รักเขามากที่สุด ไม่ทรยศเราไปอยู่กับคู่แข่งให้เราเจ็บปวดใจ ซึ่งหากย้ายไปจริงๆ ก็จะโดนแฟนอีกทีมหนึ่ง(ที่ไม่ใช่สีฟ้า) หยิบยกประเด็นนี้มาเล่นงานเราให้เจ็บใจได้อีกด้วย

พวกนี้น่ากลัวกว่าแฟนแมนซิตี้อีก!

โรนัลโด้ก็ยังคงเป็น "ไอ้เจ็ทโด้" หรือ "โด้จิ๋ว" ของแฟนผีคนเดิม ที่ยังคงรักและมีความผูกพันกับสโมสรเหมือนเดิมตอนสมัยวัยรุ่นไม่มีเสื่อมคลาย แต่เพิ่มเติมคือ ไอ้เด็กจอมสับ จนได้รับฉายาโด้หมูสับคนนั้น ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง พัฒนาตัวเองยิ่งขึ้นกว่าเดิมตอนอยู่กับเรา และได้กลายเป็น "นักเตะที่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของโลก" ผู้สมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมในทุกๆอย่าง กลับมาอยู่แมนยูอีกครั้งในสถานะ "นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" ร่วมกับเมสซี่ไปแล้ว

การกลับมาครั้งนี้ เขาจะนำสิ่งที่มีติดตัวอยู่เสมอไม่เสื่อมคลายจนกระทั่งถึงตอนนี้ นั่นก็คือ "Passion" ที่สูงสุดขีดในตัว ซึ่งแสดงออกมาให้เห็นเสมอ รวมถึง "Winning Mentality" จิตใจแห่งความเป็นผู้ชนะที่มีความกระหายอันไม่มีที่สิ้นสุดที่จะพาทีมชนะให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม

เห็นกันจะจะแล้วเมื่อเช้านี้ ความกระหายชัยชนะของเขา กับลูกโขกสองลูกรวดแบบไม่เคยยอมพ่ายแพ้แม้เวลาใกล้หมด

โรนัลโด้จะนำความ "ฮึกเหิม" เพิ่มเข้ามาอย่างทวีคูณให้กับทีมบุกตะลุยไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ และจะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาดจนถึงวินาทีสุดท้าย แม้ว่าเกมจะตามอยู่มากน้อยเพียงใด โรนัลโด้แสดงให้ทุกๆคนเห็นว่าเขาเกลียดความพ่ายแพ้ยิ่งกว่าขี้ เพราะฉะนั้นนักเตะในทีมเราจะต้องได้รับสิ่งนี้เข้ามาในมวลรวมความรู้สึกของทีม

เมื่อสิ่งนี้ของโรนัลโด้ เข้ามารวมกับpassion และความกระหายที่มีอยู่แล้วของนักเตะบางคนในทีมอย่าง บรูโน่ คาวานี่ กรีนวู้ด จะยิ่งทำให้ทีมมี "จิตใจแห่งผู้ชนะ" มากกว่าเดิม และเล่นด้วย Passion ที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก จากการที่ตัวโรนัลโด้เองนั้น ก็เป็นเหมือนไอดอลในวัยเด็กของนักเตะหลายๆคนของเรา ไม่ว่าจะเป็นแรชฟอร์ด ผู้พยายามเดินตามรอยโรนัลโด้ หรือFC ระดับโคตรติ่งพี่โด้ตัวพ่ออย่าง "บรูโน่ แฟร์นันด์ส"

รอดูภาพนี้แทบไม่ไหวแล้ว

การเข้ามาของโรนัลโด้ จะ "Boost" ความกระหายชัยชนะของทีมมากกว่าเดิมสองเท่า เพิ่มความฮึกเหิมให้ทีมโดยรวมที่เหมือนได้รับบารมีของ "นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก" มาอยู่ในทีม

คล้ายๆกับสมัยอดีตในยามที่แมนยูไนเต็ดมี "เอริค คันโตน่า" เดินลงสนาม

เพียงแค่นั้นคู่แข่งก็กลัวหัวหด และแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่งแล้ว

เพราะบารมีพาวเวอร์ของก็องโต้ มันกดคู่ต่อสู้ได้จริงๆ ใครที่เกิดทันดูก็องโต้น่าจะเข้าใจสิ่งนี้ดีว่า ทุกวันนี้ยังไม่มีนักเตะคนไหนสามารถทำให้รู้สึกเหมือนก็องโต้ได้อีกเลย ไม่ว่าจะทักษะดีเลิศมากเพียงใดก็ตาม

บารมีที่ข่มคู่แข่งให้กลัว คือสิ่งที่ก็องโต้มี และตอนนี้ดูเหมือนว่า โรนัลโด้จะกลับมาด้วยสิ่งที่คล้ายๆกันกับก็องโต้ในครั้งนี้ด้วย เพราะเขาคือนักเตะระดับตลอดกาลที่ไม่มีบารมีใครเทียบเท่าอีกแล้วนอกจากลีโอเนล เมสซี่เท่านั้น

ถ้าจะให้พูดเป็นภาษาแบบการ์ตูนๆให้เห็นภาพ สิ่งที่ก็องโต้มี และสิ่งที่โรนัลโด้กำลังจะนำกลับมานี้นั้น

มันก็ ฮาคิราชันย์ ดีๆนี่เอง

ขนลุกโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ซึ่งมันมีแน่ๆ เดี๋ยววันที่ 11 กันยายนนี้ คุณจะได้เห็นฮาคิราชันย์แผ่ออกมาจากทีวี ทันทีที่CR7ก้าวเท้าเพียงแค่เดินลงสนามมา และกลับมาสู่ถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง

เราจะสัมผัสสิ่งเดียวกันกับก็องโต้ได้ว่า ตราบใดที่มีโรนัลโด้อยู่ในสนาม เราต้องชนะอย่างแน่นอน

สรุปแล้วสำหรับดีลของโรนัลโด้นั้น ที่ต้องเขียนอธิบายมายาวขนาดนี้ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจครบทุกประเด็นว่า ทำไมดีลคัมแบ็คของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถึงได้เป็น "ดีล 11คะแนน" จากคะแนนเต็ม จากข้อดีที่สรุปมาได้ดังนี้

-ประสิทธิภาพในการเล่นที่รับประกันการผลิตสกอร์ระดับ 30 ลูก+ ต่อฤดูกาล ให้แมนยูไนเต็ดยิงได้มากขึ้นกว่าเดิม

-ยกระดับคุณภาพเชิงลึก(Squad Depth) ของทีมให้แน่นทุกตำแหน่ง และระดับสูงเทียบเท่าซิตี้ทันที ทั้งตัวจริงและสำรอง

-เพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับสโมสรโดยตรง และจะสร้างรายได้เข้ามาอีกมหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้หลังจากนี้ ไม่ว่าจะในช่วงสองปีสุดท้ายที่ค้าแข้ง หรือภาพลักษณ์หลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว ก็จะยังคงเป็นสมบัติของสโมสรที่มีมูลค่าอย่างมากตลอดไป

-เป็นแบบอย่างและ Role Model ให้กับนักเตะเยาวชนทั้งหลาย โดยเฉพาะเด็กๆในอะคาเดมี่แมนยูไนเต็ด ที่จะได้รับ inspiration มหาศาล จากการที่ในสโมสรเรา มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เดินไปเดินมาอยู่ที่สนามซ้อมทุกวัน (แค่คิดก็ดีใจแทนนักเตะที่นั่นแล้ว)

-ช่วยถ่ายทอดวิชาโดยตรงให้กับเหล่านักเตะวัยรุ่นในทีมชุดหลักหลายๆคน อย่างแรชฟอร์ด กรีนวู้ด ซานโช่ รวมถึงพวกชุดสำรองอย่าง ฮันนิบาล เอแลงก้า ชอเรติเร อามัด เป็นต้น

โดยเฉพาะกับตัวแบกวัย19ปี จอมดูดวิชาอันดับหนึ่งอย่าง "เมสัน กรีนวู้ด" จะได้อาจารย์ชั้นอ๋องระดับเทพเจ้าถึงสองคนคอยสอนวิชาในเวลาเดียวกัน ทั้งเอดินสัน คาวานี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สองอาจารย์ผู้เป็น " 2 ใน 3" ของTop Goal Scorers ที่ผลิตประตูมากที่สุดของยุโรป นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ที่คาวานี่เดบิวต์กับปาแลร์โม่เดือนมีนาคม 2007

นักเตะที่ยิงประตูรวม มากที่สุดใน5ลีก วัดเมื่อเดือนตุลาคมปี 2020 สามอันดับแรกคือ

1.Lionel Messi 432 ประตู จาก 450 เกม

2.Cristiano Ronaldo 416 ประตู 433 เกม

3.Edinson Cavani 250 ประตู จาก 413 เกม

การเข้ามาของโรนัลโด้ จะนำเอาประสบการณ์มาสู่ทีมนักเตะอายุน้อยของเรา เช่นเดียวกันกับที่คาวานี่กำลังทำอยู่ ซึ่งนักเตะที่ขยันและใฝ่รู้อย่างกรีนวู้ดนั้น จะได้ประโยชน์อย่างมากจากเหตุผลนี้

กรีนวู้ดมักจะทำตัวเป็นฟองน้ำที่ซึมซับทุกอย่างเข้าไปในตัวตลอดเวลา และเรียนรู้แบบคนที่ "น้ำไม่เต็มแก้ว" ยังใส่เข้าไปได้อีกเรื่อยๆ ไม่มีอีโก้ว่าข้าเก่งแล้ว ข้ารู้แล้ว แบบน้ำเต็มแก้ว

ด้วยความที่น้องเป็นเด็กดีและตั้งใจฟังรุ่นพี่สอนมากๆ เชื่อว่า นอกจากคาวานี่แล้ว โรนัลโด้จะเป็นนักเตะอีกคนที่ "อัดวิชา" ให้เมสัน ไม้เขียว ได้มีอาวุธในการเข้าทำและยิงประตูที่โหดและป่าเถื่อนกว่าเดิมแน่นอน

-เติม Passion และ Winning Mentality ให้กับทีมโดยรวม ให้มีความกระหายชัยชนะที่มากขึ้นกว่าเดิม จากความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดและไม่เคยยอมแพ้ใครง่ายๆอย่างโรนัลโด้ ที่จะส่งต่อถึงนักเตะคนอื่นๆให้ฮึดตามขึ้นมาด้วย ทีมจะมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน

อีกทั้งยังได้ "ความฮึกเหิม" จากบารมีของโรนัลโด้ ที่จะข่มให้คู่ต่อสู้ต้องระวังและเกรงกลัวความอันตรายของเขาในกรอบเขตโทษ ความรู้สึกประเภทที่ว่า "ต่อให้รู้ว่าเดี๋ยวโรนัลโด้ก็ต้องขึ้นโหม่ง แต่ถึงจะรู้ก็ไม่มีใครไปหยุดเขาได้" จะต้องเกิดขึ้นจนทำให้คู่แข่งต้องมีรู้สึกหมดหวังและสั่นคลอนในใจอย่างแน่นอน

-ที่สำคัญที่สุด คือ "ความสุขของแฟนบอล" ที่ได้ขวัญใจและฮีโร่ของพวกเขากลับคืนมา ไม่ว่ากลับมาแล้วจะพาทีมคว้าแชมป์ได้ไหม หรือว่าโรนัลโด้จะระเบิดฟอร์มสุดยอดมากน้อยแค่ไหนไม่สำคัญ ขอแค่โรนัลโด้กลับมาอยู่ในทีม ได้ลงสนามในสีเสื้อของเรา แฟนผีก็มีความสุขในการเชียร์บอลกันมากๆแล้ว

แค่ข้อสุดท้ายข้อเดียวก็ดีพอจะให้คะแนนเต็ม10 ในฐานะดีลที่ดีที่สุดในรอบ10ปี ของสโมสรได้เลย แต่เมื่อดูจากประโยชน์ด้านอื่นๆอีก มันมากมายมหาศาลอย่างมาก

และเชื่อว่าเมื่อคนแบบนี้กลับมา ทีมจะต้องคว้าแชมป์ใดแชมป์หนึ่งมาสู่สโมสรได้อย่างแน่นอน

นี่คือดีลทรงคุณค่าที่สุดในรอบสิบปีของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างแท้จริง

หลังจากที่ดูนักเตะขาเข้าทั้ง4คนแล้วนั้น จะเห็นว่าปีนี้แต่ละดีลถ้าไม่นับฮีตัน คือ "โคตรของโคตรบิ๊กดีล" ล้วนๆ ที่ดึงนักเตะระดับซานโช่ วาราน โรนัลโด้ เข้ามาพร้อมกันทีเดียวสามคนอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งก็เป็นดีลที่ดี ที่ได้รับคะแนนสูงทั้งสิ้น วัดในแง่ของ "คุณค่า" ในดีลนั้นๆว่า ดีมากน้อยเพียงใดต่อการนำตัวเข้ามาในสโมสร

คราวนี้มาดูกันบ้างว่า แล้วขาออก มีดีลไหนที่ดูดีและน่าสนใจบ้าง ในผู้เล่นสำคัญๆ

ดีลขาออก : รายรับรวม 25 ล้านปอนด์

1. Daniel James : 25 ล้านปอนด์ (คะแนนดีล 5/10)

จากการให้คะแนนแล้ว ถือว่าดีลการปล่อยตัวแดเนียล เจมส์ มันมีอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกันอยู่ค่อนข้างมากในหลายๆเหตุผล แต่หลักๆก็คือ ดีลของแดน เจมส์นั้น เหมือนเป็นดีลที่ ความจำเป็นเรื่องการระบายนักเตะออกจากทีม มันมา "หวยออก" ที่แดเนียล เจมส์ พอดี จากการเข้ามาของโรนัลโด้ ทีมจึงต้องปล่อยนักเตะออก

และในขณะนั้น นักเตะคนอื่นๆที่ไม่ได้ใช้งานเป็นตัวหลัก อย่างลินการ์ด หรือ มาร์กซิยาลนั้น ก็เรียกได้ว่า "ขายไม่ออก" ได้เลย เพราะสุดท้ายแล้วเวสต์แฮมก็ไม่มาทุ่มเงินซื้อลินการ์ดไปใช้ต่อ

ในยามที่แมนยูต้องปล่อยนักเตะออก และไม่มีใครมีดีลยื่นมาเลย ยกเว้นคนเดียวก็คือ แดเนียล เจมส์ ที่ได้รับข้อเสนอมากมายจากหลายๆสโมสร และหนึ่งในนั้นคือ ลีดส์ ยูไนเต็ด

ด้วยราคาที่โคตรดีมากๆ (25ล้านปอนด์) ทำให้แมนยูไนเต็ด เลือกที่จะปล่อยเขาออกจากทีมเพื่อจัดระเบียบบาลานซ์แก่นักเตะที่ไม่มีที่จะลง

ซึ่งจริงๆแล้วการปล่อยเจมส์ถือว่าผิดจุดอยู่ เพราะว่าการที่โรนัลโด้เข้ามานั้น เขาอยู่ในฐานะ "กองหน้าตัวเป้า" โดยตรง ที่จะเป็นตัวเลือกระหว่าง โด้ คาวานี่ กรีนวู้ด สลับกันลงหน้าเป้าสามคน ดังนั้นมันไม่ได้ไปเบียดบังอะไรแดเนียล เจมส์ ผู้เล่นตัวรุกริมเส้นในฐานะปีกเลย

กลับกัน นักเตะอย่างมาร์กซิยาลต่างหากที่ความสำคัญลดน้อยลง เพราะกลายเป็นหน้าเป้าอันดับสุดท้ายของทีม เป็นคนที่4 ซึ่งคงจะไม่ได้ลงสนามยืนตัวเป้าให้ทีมอีกต่อไปนับจากนี้ ในขณะที่เล่นปีกซ้ายก็โชว์ฟอร์มไม่ออก

วัดกันจากผลงานที่ทำให้ทีม แดเนียล เจมส์มีประโยชน์กับทีมกว่ามาร์กซิยาลเยอะ ทั้งทางด้านPerformance ทั้งด้านความหลากหลายในเชิงแทคติก ที่ความแตกต่างของแดเนียล เจมส์ ในการเล่นปีกความเร็วสูงที่มีพลังงานการเล่นเยอะ และวิ่งไล่เพรสซิ่ง เล่นเกมรับได้ดี ซึ่งบอลปัจจุบันนี้ พลังงานในการเล่นเพรสซิ่งถือว่าสำคัญมากๆ

ชุดความคิดที่ว่าเล่นปีกจำเป็นต้องจ่าย ต้องยิงให้ได้เท่านั้น สกิลอย่างอื่นไม่เกี่ยว ถ้าทำสกอร์ไม่ได้ถือว่าห่วย นั่นคือการมองมุมแคบแค่ด้านเดียวในเกมรุก

แต่ฟุตบอล90นาที ไม่ได้เล่นกันแต่เกมรุกตลอดเวลา

หากมองแต่จุดอ่อนด้านนั้น โดยไม่พิจารณาว่า ในฟุตบอลสมัยใหม่ นักเตะอย่างแดนเจมส์คือผู้เล่นคนสำคัญที่มีพลังงานล้นถัง และสามารถส่งลงมาช่วยทีมในยามที่ต้องเจอเกมกดดันพื้นที่ด้วยไดนามิคการเล่นสูงๆ เพรสซิ่งหนักหน่วง และต้องวิ่งบวกปะทะกันกลางสนาม

แดเนียล เจมส์ สำคัญและมีประโยชน์กับทีมมากๆ แต่ถูกกลับเป็นคนที่ถูกขายออกไปก่อนนักเตะบางตัวที่น่าไปมากกว่า เพราะเกมรุกก็บอดพอๆกับเจมส์ ลงไปก็หายตัวไปจากเกม

แต่ความทุ่มเทในสนาม สู้เจมส์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

แดนเจมส์ไม่เคยหยุดวิ่ง และทุ่มเทชีวิตตัวเองทำเพื่อทีมอย่างสุดความสามารถทุกครั้งแบบไม่กลัวบาดเจ็บ จนสัมผัสความมุ่งมั่นตรงนี้ได้ ไม่ว่าจะโดนเตะหนักๆมากขนาดไหนก็ลุกขึ้นมาสู้ต่อในทุกๆครั้งด้วยหัวใจสิงห์ที่ใหญ่เกินกว่าร่างกายของเขา

ของแบบนี้ มีแต่ใจไม่พอ แต่ร่างกายต้องโคตรแข็งแกร่งขนาดไหนที่บวกหนักทุกเกมแต่ไม่เคยบาดเจ็บเลย ทั้งที่ร่างกายก็เสียเปรียบคนอื่นเยอะมาก

ดังนั้น การปล่อยเขาออกจากทีม จริงๆแล้วถือว่าค่อนข้างน่าเสียดายผู้เล่นประเภทที่จะ "ใช้ตามแทคติกให้เกิดประสิทธิภาพได้มากมายหลายอย่าง" อย่างเจมส์มากๆ และไม่ควรจะปล่อยเขาเลยจริงๆ

ขายผิดคนมากในดีลนี้

แต่ข้อดีของการปล่อยเจมส์ก็มี นั่นก็คือ

ข้อดีแรก ทีมได้รับเงินค่าตัวที่สมน้ำสมเนื้อ และราคาดีมากๆ ด้วยระดับ 25 ล้านปอนด์ ถือว่าราคาดีมากๆสำหรับดีลเจมส์ ซึ่งก็ช่วยเหลือเรื่องการบาลานซ์เงินคงคลังของสโมสรได้ดีมากๆ

ข้อดีที่สอง คือ แดนเจมส์ จะได้รับ"โอกาสลงสนาม" และไปเล่นเป็นตัวจริงให้กับลีดส์ ยูไนเต็ด แบบเต็มๆ ไม่ต้องมานั่งตบยุงสำรองอยู่ที่แมนยูอย่างเดียว เขาจะไปได้ดีกับบอลสายไดนามิควิ่งกันยับๆของบิเอลซ่า ที่ลีดส์อย่างแน่นอน

ยิ่งบิเอลซ่าตามจีบมาสองปีแล้ว เพิ่งจะได้ตัว ในยามที่เจมสแข็งแกร่งขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น ในวัย 23ปี

ผมมั่นใจว่าเจมส์จะโหดในมือบิเอลซ่าแน่นอน

ข้อดีข้อที่สาม คือ เกมรุกของแมนยูไนเต็ดจะมีประสิทธิภาพในด้านเกมบุกมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า แดเนียล เจมส์ เล่นเกมบุกไม่ดีเลย

เขาคือปีกสไตล์โบราณที่ใช้ความเร็วเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างเดียวในแบบ Explosive Winger และไม่มีชั้นเชิงในการเอาชนะคู่แข่ง การเลี้ยงบอลก็ไม่ได้ดีมากมาย มักจะเลี้ยงติดประจำ ทั้งๆที่ควรได้เล่นแบบ แตะบอลแล้วกระชากไปเอา มากกว่า จากการที่มีเพื่อนวางบอลให้วิ่งขึ้นหน้าไปเอาบอลเป็นต้น

ความคมในการทำประตูก็ไม่มี ความสร้างสรรค์ในด้านเกมรุกก็หาไม่เจอ มีแต่เพียงการเล่นมิติเดียวเท่านั้น เพราะงั้นการขายเจมส์ไป ก็ถือว่ามันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในเวลาเดียวกัน สรุปสั้นๆได้ดังนี้

ข้อดีก็คือ

-สโมสรได้ค่าตัวก้อนใหญ่ไปหมุนเวียน

-นักเตะก็ได้โอกาสลงสนา

-เกมรุกดีขึ้นจากผู้เล่นริมเส้นตัวอื่น

แต่ข้อเสียคือ

-ปล่อยนักเตะที่ยังมีศักยภาพจะพัฒนาได้อีกไกลในอนาคต

-เสียนักเตะที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อทีมสุดชีวิตในทุกๆครั้งที่ลงสนาม ด้วยDNAแบบแมนยูไนเต็ดจ๋าๆอยู่ในตัว

-ความหลากหลายในทีมลดลง เนื่องจากปีกตัวอื่นๆที่มี เป็นพวก Inside Forward กองหน้ากึ่งปีกตัดเข้าในแทบทั้งสิ้น ไม่มีใครเล่น Winger ธรรมชาติ ที่ถนัดขึงเกมอยู่ริมเส้นเลย

-ทีมเสียoptionสำคัญจากเจมส์ ในการปรับใช้ตามแทคติกที่จำเป็นในแต่ละเกมไปอีกคน พลังงานการเล่นที่เหลือล้น นำมาใช้กับแทคติกที่ต้องเจอคู่แข่งที่เล่นเกมเคลื่อนที่หนักๆ ทั้งการเพรสซิ่งในแดนกลาง หรือการต่อบอลเข้าทำที่รวดเร็วแม่นยำ

เจอทีมเหล่านี้จำเป็นต้องใช้นักเตะที่มีไดนามิคการเล่นสูงไปรับมือ ต่อจากนี้อาวุธก็จะลดน้อยลง เพราะเราขาดปีกสไตล์หายากในแบบ "Defensive Winger" ปีกตัวรับที่จะสามารถช่วยซ้อนแบ็คเล่นเกมรับริมเส้นได้ ออกไปจากทีม

เห็นชัดเจนว่า ถ้าเลือกได้โอเล่ก็คงไม่ปล่อยเจมส์แน่นอน เพราะโอเล่ชอบปรับใช้เจมส์ตามแทคติกที่จะใช้กับคู่แข่งอย่างมาก และส่งลงสนามในเกมสำคัญอยู่บ่อยๆ ล่าสุดก็ยังส่งลงตัวจริงอยู่เลยในเกมเจอวูล์ฟ ไม่มีวี่แววมาก่อนว่าจะขายด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นตัวที่โอเล่ "ไม่เอา"  เจมส์จะไม่มีทางได้ลงตัวจริงบ่อยๆแบบนี้แน่นอน

แต่ทางเลือกมันมีไม่มากอย่างที่บอก และโอกาสมันเข้ามาพอดี ทีมก็จึงต้องขายออกไป

ไม่ว่าโซลชาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม.. แต่ดีลนี้ก็เกิดขึ้นไปแล้ว

ดังนั้น ดีลการขายเจมส์ออก สำหรับผู้เขียนแล้วถือว่าเป็นดีลที่ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่อชั่งน้ำหนักในภาพรวม เราเสียซะมากกว่าได้ ยังมีตัวอื่นที่น่าขายกว่าเจมส์อยู่อีกหลายตัว แต่นี่ก็เป็นดีลราคาดี ที่จำเป็นต้องขายเช่นกัน

มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่พอๆกัน ดีลนี้จึงได้คะแนนแค่ครึ่งเดียว 5/10

2. Sergio Romero : Free Agent (คะแนนดีล 0/10)

เป็นเคสพิเศษที่ต้องนำมารวมพูดถึงด้วยสำหรับกรณีของ เซร์คิโอ โรเมโร่ ที่หมดสัญญากลายเป็นฟรีเอเย่นต์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากอยู่กับแมนยูไนเต็ดมาหกปี นับตั้งแต่ 2015 จนถึง 2021 ซึ่งสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้เราจำเป็นต้องให้การออกจากทีมครั้งนี้เป็น 0 คะแนน นั่นก็คือ ยูไนเต็ดปฏิบัติกับโรเมโร่ไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ยอมปล่อยเขาให้กับสโมสรที่ต้องการตัว

ทั้งๆที่ก็ไม่ใช้งานโรเมโร่ด้วย

การปฏิเสธค่าตัว 8ล้านปอนด์ อาจจะยังพอเข้าใจได้ แต่การปัดกระทั่ง ค่ายืมตัว 2ล้านปอนด์จากเอฟเวอร์ตัน ที่พร้อมจะดึงนายด่านอาร์เจนไตน์รายนี้ไปร่วมทีม พร้อมจ่ายค่าเหนื่อย 100k ให้ แต่แมนยูไนเต็ดกลับปฏิเสธแบบงงๆ

ไม่ขาย แต่ก็ไม่ใช้งาน ดองโรเมโร่ไว้ในโหล เก็บไว้กับทีมแต่ไม่ให้มีส่วนร่วมกับทีม และเสียค่าเหนื่อยฟรีๆซะยังงั้น

ถือเป็นดีลที่แปลกประหลาดมากจริงๆที่เราก็อยากจะรู้ว่า เหตุผลเบื้องลึกอันใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่เราก็ไม่อาจทราบได้จนกว่าสักวันนึง น้าเอ๊ะโรเมโร่จะออกมาเปิดเผยอะไรสักอย่างให้ชัดเจน แต่การดองเขาไว้หนึ่งปีถือเป็นเรื่องที่การจัดการแย่มากจริงๆของสโมสรที่ปฏิบัติต่อนักเตะ และอดีตฮีโร่ผู้รักษาประตูมือ 1.5 ที่สร้างความสบายใจให้แฟนผีเสมอมาในตำแหน่งผู้รักษาประตูสำรอง

นักเตะที่ถูกปล่อยตัวออกจากสโมสรฟรีๆมี 8 ราย และโรเมโร่เป็นหนึ่งในนั้น อีก7คนซึ่งเป็นพวกนักเตะเยาวชนและดาวรุ่งที่ถูกปล่อยฟรีออกไป ได้แก่

Joel Pereira เซ็นไปอยู่กับ Waalwijk / Jacob Carney ไปอยู่กับ Sunderland / Iestyn Hughes เซ็นกับ Leicester City / Mark Helm ไปอยู่ Burnley / Arnau Puigmal ไปอยู่ Almeria / Aliou Traore เป็นฟรีเอเย่นต์ / และน้อง Max Taylor ไปอยู่กับ Rochdale

หวังว่าโรเมโร่ในวัย34ปี จะหาสโมสรอยู่ได้ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะประสบการณ์และฝีมือของเขาน่าจะยังลงเล่นได้อยู่ เป็นกำลังใจให้โรเมโร่กันด้วยครับ

3. ดีลปล่อยยืมตัว (คะแนนการปล่อยยืมนักเตะ เฉลี่ย 8.88/10)

Brandon Williams : ปล่อยยืม Norwich City (10/10)

เป็นดีลยืมตัวที่ดีมากๆของแบรนดอน วิลเลียมส์ ที่ได้อยู่กับทีมในระดับพรีเมียร์ลีกอย่าง นอริช และลงเป็นตัวจริงแบ็คซ้ายของนอริชสองนัดติดๆกันแล้ว เชื่อว่าปีนี้อัพเกรดแบบก้าวกระโดดแน่นอนสำหรับ กองหลังจอมเสยผมคนนี้ ที่จะได้ประสบการณ์สูงสุดกับEPLอย่างแท้จริง ในทีมที่เชื่อว่า จะถูกทดสอบเกมรับตลอดทั้งปีแน่นอน

โอกาสมาแล้ว สู้ให้เต็มที่ ไอ้รถถังลาวาเลือดเดือดของพี่!

Axel Tuanzebe : ปล่อยยืม Aston Villa (10/10)

ดีลนี้ของตวนเซเบ้ ถือว่าได้กลับถิ่นเก่าที่เขาคุ้นเคย ที่ได้ยืมตัวมาและเคยพาวิลล่าเลื่อนชั้นกลับมาแล้ว ครั้งนี้เป็นการยืมตัวไปวิลล่าอีกครั้ง แต่สถานการณ์แตกต่างกันสิ้นเชิง วิลล่าเป็นทีมที่เสริมทัพได้น่ากลัวมาก ขุมกำลังดูดีทุกจุดโดยเฉพาะเหล่าตัวรุก ที่เสริมตัวดีๆมาทดแทนแจ็ค กรีลิช มากมาย

4นัด ได้ลงตัวจริง2นัด ถือว่ามีลุ้น มีความหวังในการเก็บประสบการณ์ที่นี่ยาวๆ เอาใจช่วยน้องตวนครับ นี่คืออนาคตของเราแน่นอน เพราะต่อสัญญาเสร็จก็ปล่อยยืมไปเลย แปลว่าทีมเรายังอยากเก็บเขาไว้อยู่

และการได้ค่ายืมตัวของตวนเซเบ้มา 5 ล้านปอนด์ ทำให้ดีลนี้วินมากจริงๆ ที่ทำให้นักเตะได้โอกาสลงสนาม / ทีมได้เงิน / วิลล่าได้กองหลังดีๆไปใช้งาน

มีแต่คุ้มกับคุ้ม
    
Andreas Pereira : ปล่อยยืม Flamengo (7/10)

การกลับไปลงเล่นฟุตบอลในอเมริกาใต้ของเปเรย์ร่าอาจจะดีในแง่ของโอกาสในการรับประกันตัวจริงลงสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่น้องต้องการ ซึ่งก็ถือว่าโอเค ถ้ามันไม่มีสโมสรในยุโรปให้ตำแหน่งตัวจริงเขาได้สักที่ ก็ย้ายดีลกลับทวีปบ้านเกิดแบบนี้ล่ะ ดีแล้ว แต่ต้องแลกกับมาตรฐานลีกที่หายไปนิดหน่อย ซึ่งในดีลของเปเรย์ร่านั้นจะไม่มีค่ายืมตัว แต่ฟลาเมงโก้จะแชร์จ่ายค่าเหนื่อยให้เปเรย์ร่าแทน พร้อมด้วย option to buy ของฟลาเมงโก้ ในราคา 20 ล้านยูโร

ถ้าเล่นดีมีสิทธิ์อยู่ต่อยาวๆ หรือไม่แน่ เปเรย์ร่าอาจจะพยายามจนเรียกฟอร์มสำเร็จ เพื่อที่จะหาทางกลับมาอยู่แมนยูไนเต็ดให้ได้ ในยามที่ตอนนี้ "ฮีโร่ในดวงใจ" อย่างโรนัลโด้ กลับมาอยู่กับสโมสรแล้ว

เปเรย์ร่าอาจจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่สโมสรเดียวกับพี่โด้ต่อไปก็เป็นได้

  
Facundo Pellistri : ปล่อยยืม Alavés (9/10)

การกลับไปยังสโมสรที่เขาคุ้นเคย และเริ่มเชื่อใจในตัวเขานั้น ถือเป็นดีลที่ดีเลยสำหรับการปล่อยยืมฟาคู กลับไปสู่อ้อมอกอลาเบสต่ออีกหนึ่งปี

ถ้าจำกันได้ เด็กน้อยผู้นี้แสดงอิทธิฤทธิ์อย่างมากในเกมปรีซีซั่น ฟอร์มและฝีเท้าค่อนข้างดูดีมีอนาคตทีเดียว การได้กลับไปพัฒนาต่อที่สโมสรเดิมเป็นการเลือกที่ถูกต้องแล้ว และจะทำให้นักเตะคนนี้พัฒนาแบบเต็มๆ

เชื่อว่าตัวนี้ดังและมีอนาคตแน่นอน ฝีเท้าดีดูมีแววสุดๆ

Tahith Chong : ปล่อยยืม Birmingham City (8.5/10)

การได้มีโอกาสลงเล่นจริงๆจังๆในพรีเมียร์ลีก สำคัญมากๆต่อพัฒนาการของเขาที่ควรได้เจอเกมบนเกาะอังกฤษบ้าง เพื่อต่อยอดการเล่นที่นี่ แม้ไม่ได้อยู่กับเราในอนาคตก็ตาม การอยู่กับเบอร์มิงแฮมในเดอะแชมเปี้ยนชิพถือว่าดีมาก ลงเล่นไป4นัด จัดไป2แอสซิสต์แล้ว

James Garner : ปล่อยยืม Nottingham Forest (10/10)

เจมส์ การ์เนอร์ เจอสโมสรที่ใช่และเหมาะกับตัวเอง กับการระเบิดฟอร์มเทพเป็นตัวแบกของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในครึ่งซีซั่นก่อน ดังนั้นเพื่อเป็นการ "ต่อยอดพัฒนาการ" การ์เนอร์จึงได้กลับมาที่นี่ และได้เล่นตำแหน่งถนัดอย่างมิดฟิลด์ตัวต่ำ ในแผนที่ใช้ "กลางรับคู่" อย่าง 4-2-3-1 ของทีมเจ้าป่า และจับคู่กับเพื่อนเก่าอย่าง Ryan Yates เช่นเคย

การเป็น DLP ที่นี่จะยิ่งทำให้คลาสบอลของการ์เนอร์แข็งแกร่งขึ้น และดีพอจะกลับมาเสริมทีมเราได้ในสักวัน เป็นดีลที่เลือกได้ถูกต้องและดีมากที่ต่อเนื่องการยืมตัวกับทีมที่ใช่

Ethan Laird : ปล่อยยืม Swansea (9/10)

สงสัยคราวนี้ได้มีผู้เล่นตำแหน่งใหม่เกิดขึ้นมา เมื่ออีธาน แลร์ด ดาวรุ่งแบ็คขวาขาตะลุยดะของเรา ย้ายขึ้นมายืมตัวในแบบอัพเกรด ที่ปีนี้อยู่กับทีมระดับแชมเปี้ยนชิพอย่างสวอนซี และได้ลงตัวจริงแน่นอน เพราะลงมาสามนัดแล้ว และเล่นในตำแหน่ง RM ซะด้วย ไม่ใช่ RB
กับความบ้าเติมเกมบุก ตำแหน่งนี้ดูจะเหมาะกับน้องดีในแผน 3-5-2 ซึ่งจริงๆมันคือวิงแบ็คขวาแหละ แต่ที่นี่เล่นสูงจน RWB กลายเป็น RM ไปเลย

แต่ยังไงดีลนี้ดีชัวร์ๆ ได้อัพเกรดจากลีกวันปีก่อน มาเจอของจริงขึ้นในปีนี้

Di'Shon Bernard : ปล่อยยืม Hull City (8.5/10)

ดิฌอน เบอร์นาร์ด ย้ายไปยืมตัวอยู่กับทีมระดับแชมเปี้ยนชิพอย่าง ฮัลล์ ซิตี้ ทำให้เรานึกภาพสถานที่ที่ปั้นแมกไกวร์ขึ้นมา เป็นดีลที่ดีมาก เหมาะสม และการได้ลงเล่นระดับแชมเปี้ยนชิพคือหนทางพัฒนาอย่างก้าวกระโดดแน่นอน ดีลนี้ดี แถมเจ้าตัวลงเป็นตัวจริงมาเต็มๆสองเกมหลังแล้ว จากสี่นัดในเดอะแชมเปี้ยนชิพ

Ethan Galbraith : Doncaster Rovers (8/10)

"มิดฟิลด์P2WARSHIP"  กองกลางสารพัดประโยชน์ยิ่งกว่าbox-to-box ที่มีความสามารถรอบตัว เล่นได้ทุกตำแหน่งตั้งแต่ สากกะเบือยันเรือรบ ทำตัวเหมือนมาร์กอส ญอเรนเต้ ของแอตมาดริดเข้าไปทุกทีๆ

ลงไปเล่นเซ็นเตอร์ก็บ่อย เล่นกลางก็มี แบ็คขวาก็ได้ และขณะนี้ย้ายไปยืมตัวกับดอนคาสเตอร์ สโมสรในลีกวัน

เป็นก้าวแรกของน้องในวัย20ปี ที่ได้ออกไปโบยบินจากสโมสรเราจริงๆจังๆเป็นครั้งแรกเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเจอเกมของจริง แม้จะเป็นลีกวันก็ตาม แต่นั่นคือเกมอย่างเป็นทางการ

เชื่อว่าอีธาน กัลเบรธ กลับมาจะเก่งกว่าเดิมแน่นอน เพราะลงตัวจริงมา4นัดแล้ว เล่นกองกลางCMไปสองนัด / เล่น RM ทางขวา 1 นัด / เล่นLM อีก1นัด

อีกสักพักสงสัยมี CB กับ RB ให้เห็น แต่เอาเถอะ ให้น้องลงเล่นเยอะๆก็พอ

สรุปโดยภาพรวมแล้วสำหรับตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ฤดูกาล 2021/22 ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้น ในภาพรวมถือว่าค่อนข้างดีทีเดียว หากนับเฉพาะ "ขาเข้า" ของการซื้อตัวเข้ามาก็ถือว่าเกือบได้คะแนนเต็มเลย จากการดึงนักเตะระดับท็อปคลาสที่มีทั้งชื่อเสียงและฝีเท้าระดับสูงครบครัน กับสามบิ๊กดีลของ ซานโช่ วาราน และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้าทีมมาได้

นอกจากนี้ ในส่วนของการบริหารจัด "การปล่อยยืมตัว" นักเตะดาวรุ่งที่ "มีแวว" จากทีมชุดสำรอง ไปอยู่กับทีมในลีกรองๆที่พวกเขาจะได้มีโอกาสลงสนามจริงนั้น

ต้องบอกว่า ปีนี้ ดีลการ "ปล่อยยืม" ของดาวรุ่งเราดีกว่าปีที่แล้ว

หลายๆคนได้ต่อยอดสโมสรที่เขาเล่นได้ออก โชว์ฟอร์มได้ดี อย่างเช่น ฟาคู กับ การ์เนอร์ ที่ได้ลงต่อเนื่องสโมสรเก่าของปีที่แล้ว, หลายๆคนย้ายไปอยู่กับทีมเกรดพรีเมียร์ลีก แถมได้ลงตัวจริง อย่างแบรนดอนที่นอริช และตวนเซเบ้ที่วิลล่า

แทบทุกดีลอยู่ในลีกระดับสูง ส่วนใหญ่เป็นเดอะแชมเปี้ยนชิพ เช่น ชอง เบอร์นาร์ด แลร์ด เป็นต้น จะมีก็เพียงกัลเบรธ ที่ไปอยู่ลีกวัน และเปเรย์ร่าที่กลับอเมริกาใต้

นักเตะอย่างเปเรย์ร่ากับกัลเบรธ ที่ไปอยู่กับทีมระดับรอง ก็อาจจะดีเหมือนกัน เพราะทีมไม่กดดันมากนัก ก็น่าจะดีเหมือนกัน

สรุปแล้ว ดีลการ "ปล่อยยืมนักเตะดาวรุ่ง" ออกไปในปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆ คะแนนเฉลี่ยเฉียดๆ 9/10 ทีเดียว

แต่ดีลที่ถือว่ามีปัญหา มีอยู่สองส่วน นั่นก็คือ "ดีลขาออก"

ปกติแล้วแมนยูขายนักเตะไม่ค่อยได้กำไรอยู่แล้ว มีแต่ขาดทุนอย่างเดียว ซึ่งนักเตะที่นึกออกว่าขายแล้วได้กำไรของแมนยู ก็มีแค่โรนัลโด้ดีลเดียวจริงๆเท่าที่ลองนึกเล่นๆ

แต่ปีนี้ การขายแดเนียล เจมส์ ถือเป็นการขายที่จะบอกว่าได้กำไรก็ถือว่าได้ เพราะย้ายมาในราคา 15 ล้านปอนด์ ขายออกไปได้ 25 ล้านปอนด์ ก็ถือว่า ดีลขายน้องเจมส์นั้นก็กำไรกว่าตอนซื้อมาประมาณ 10 ล้านปอนด์ได้

ทำได้ดีในแง่ของการขายได้ราคาที่ดีมากสำหรับแดเนียล เจมส์ ซึ่งมีหลายสโมสรแย่งตัวกัน

แต่ก็เสียหายหลายแสนในแง่ของการสูญเสียนักเตะที่ดีต่อหลากหลายด้านแทคติกการใช้งานที่สร้างประโยชน์ให้ทีมจริง และความทุ่มเททุกครั้งที่ลงสนาม

นี่คือนักเตะที่วิ่งสุดตัวสู้สุดใจเพื่อช่วยทีมเรา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกๆเกมที่เขาลง

นักเตะที่ทุ่มเทขนาดนี้ ไม่สมควรปล่อยออกจากสโมสรอย่างยิ่ง ในยามที่มี "นักเตะตัวอื่น" ที่สมควรจะปล่อยออกมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น ลินการ์ด หรือแม้กระทั่งตัวที่ไม่ค่อยได้ลง และเราเอาใจช่วยอยู่ อย่างดอนนี่ ฟานเดอเบค เองก็ตาม ถ้าอยู่แล้วไม่ได้ลงก็อยากให้ย้ายทีม น้องจะได้ลงสนาม ก็ไม่มีดีลเกิดขึ้นอีก

โดยเฉพาะนักเตะที่ควรจะถูกขายมากกว่าแดเนียล เจมส์ อย่าง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่หยุดพัฒนาไปแล้ว และมีทัศนคติการเล่นที่ไม่ดี ในขณะที่ฝีเท้าก็ดรอปลง ความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อทีมไม่สามารถสัมผัสได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ถึงได้โดนแฟนผีตำหนิค่อนข้างมาก

เพราะฉะนั้นแล้ว จะบอกว่าดีลเจมส์นั้นเป็นการขายที่ดีหรือเปล่านั้น มันก็ครึ่งๆอย่างที่เขียนไป คือดีในแง่เม็ดเงิน ดีในแง่การปล่อยน้องเจมส์ให้ออกไปมีโอกาสลงสนาม กับทีมที่ไม่ต้องกดดันมาก และเหมาะกับระดับฝีเท้า แต่ก็ไม่ดีในแง่ของการสูญเสียนักฟุตบอลที่มีทัศนคติและจิตใจนักสู้มากที่สุดคนนึงไปจากทีม

ในขณะที่ การปล่อยฟรีเซร์คิโอ โรเมโร่ ทั้งๆที่ควรจะได้ค่าตัวของเขาจากการขายปีก่อน หรือปล่อยยืมปีก่อน ถือเป็นความผิดพลาดที่สโมสรจัดการได้แย่ที่สุด จนทำให้ต้องจ่ายค่าเหนื่อยฟรีๆ1ปีเต็ม แถมไปปิดโอกาสนักเตะให้ไม่ได้ย้ายไปลงเล่นด้วย นอกจากนั้นสโมสรก็ไม่ได้เงินจากค่ายืม2ล้าน หรือค่าซื้อขาด8ล้านปอนด์อีก

ดังนั้นถ้าพูดถึงดีลขาออก ก็มีเรื่องให้ตำหนิอยู่พอสมควรสำหรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตั้งแต่ปีก่อน

และที่สำคัญที่สุดคือ การเสริมทีมในปีนี้ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เกือบจะสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ทั้งๆที่ได้ซานโช่ วาราน โรนัลโด้เข้ามา แต่เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ตลาดปีนี้ของเราทำได้ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ100% แม้จะได้ดีลนักเตะระดับพระเจ้าอย่าง CR7 เข้ามาก็ตามที

แต่อย่างที่ทุกคนรู้กัน แมนยูไนเต็ด พลาดการเซ็นสัญญากับ "มิดฟิลด์ตัวรับ" เข้ามาเสริมทีม ทั้งๆที่เป็นตำแหน่งที่ทีมขาดอยู่ เนื่องจากกลางรับจริงๆของทีมที่เล่นตำแหน่งนี้ได้ดี มีเพียงแค่ เนมันย่า มาติช คนเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งในวัย 33 ปี ของมาติช ควรจะอยู่ในสถานะตัวสำรอง รอลงมาช่วยทีมช่วงท้ายๆเหมือนมาต้าเท่านั้น (อายุเท่ากันเลย)

แต่หลายๆครั้ง เราก็จำเป็นต้องเข็นมาติชลงสนาม เพราะเราต้องการคนคุมเกมเพื่อครองบอลให้ได้กลางสนาม

จริงๆแล้วทักษะและคลาสการเล่นของมาติช ถือว่าเป็นมิดฟิลด์กลางสนามที่ "เก่งที่สุด" ในทีมด้วยซ้ำ ดีกว่าเฟร็ด แม็คโทมิเนย์ ดอนนี่ และกระทั่ง ปอล ป็อกบา ในการเล่นในพื้นที่ DM หรือ CM ก็ตาม

แต่มาติชสภาพร่างกายไม่ไหวแล้ว ทั้งสปีดความเร็วที่ไม่มี และพละกำลังที่ไม่มากพอจะวิ่งไล่บอลในแดนกลางได้เต็มที่ ในยามที่บอลพรีเมียร์ลีกยุคปัจจุบัน เล่นกันด้วยบอลสมัยใหม่ที่วัดพละกำลังกันด้วยการเล่นเกมเพรสซิ่งตลอดเวลาแบบไม่หยุดพักหายใจ

ในซีซั่นที่กรรมการมีการวางเกณฑ์ (criteria)ใหม่ในการตัดสิน ที่ดูเหมือนว่าจะไม่เอาVARมาใช้จุกจิกเหมือนปีที่แล้ว แต่มีทรงที่กรรมการจะปล่อยเกมให้ไหลมากขึ้น

เห็นได้ชัดว่า เกมพรีเมียร์ลีกหนักขึ้น เข้าปะทะกันรุนแรงและผู้ตัดสิน "ปล่อย" ไม่เป่าฟาล์ว มีเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ในเมื่อพรีเมียร์เล่นแบบนี้ เกมหนักเกมปะทะ เกมเพรสซิ่ง จึงยิ่งต้องเล่นกันหนักหน่วงกว่าเดิม

แต่แมนยูไนเต็ด มีนักเตะที่พร้อมจะเล่นเกมไดนามิคหนักๆอยู่แค่สองตัวเท่านั้นเอง นั่นก็คือ เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์ ที่จำเป็นต้องเอาลงคู่กันเท่านั้นถึงจะแสดงศักยภาพได้

นอกนั้นมิดฟิลด์ตัวอื่น ไม่พร้อมสำหรับรับมือเกมหนักๆได้ในบางครั้ง อย่างเช่นป็อกบา ที่ถนัดเกมรุกมากกว่าการวิ่งไล่บอล / มาติช ไม่เหลือทั้งแรงทั้งสปีดในการไล่บอล และ ดอนนี่ ฟานเดอเบค ที่ปริมาณพลังงานการเล่นในแดนกลาง ก็ยังเร็วและขยันสู้เฟร็ดไม่ได้ที่ดูดีกว่า

ไม่ต้องแปลกใจทำไมโอเล่จับเฟร็ดส่งลงสนามก่อนดอนนี่อยู่เป็นประจำ เพราะคุณภาพการเล่นในด้านปริมาณการคัฟเวอร์พื้นที่ และการเล่นเกมรับให้ทีม VDB สู้เฟร็ดไม่ได้เลย สิ่งที่ดอนนี่มีดีกว่าเฟร็ดคือเซนส์บอล ความสามารถในการให้บอล ความฉลาดในการหาพื้นที่ เล่นบอลgive and go เล่นบอลสั้นเร็วเท่านั้น

ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ทีมเล่นเป็นพื้นฐานเสียอีก

เพราะงั้น เฟร็ดก็น่าจะยังคงได้ลงสนามต่อไป ในเกมที่อาจจะเจอคู่ต่อสู้บุกใส่ เรายังจำเป็นต้องใช้เฟร็ดในเกมรับต่อ เพียงแต่ว่า มันจะดีขึ้น ถ้าแม็คโทมิเนย์กลับมา และช่วยกันไล่บอลสองคน หากว่าปรับเป็นแผนที่ให้เฟร็ดรับผิดชอบเกมรับคนเดียว อย่างการใช้คู่ "เฟร็ด-ป็อก" สิ่งที่ถูกต้องคือ จะต้องให้ป็อกบาลงต่ำ ยืนต่ำเป็นDLPเท่านั้น แล้วดันเฟร็ดขึ้นไปวิ่งไล่กลางสนามหรือแดนบน จะดีกว่า

แต่ครึ่งแรกที่เจอวูล์ฟ เราใช้เฟร็ดยืนต่ำคนเดียวชัดเจน แล้วให้ป็อกบาดันสูงไปเล่นร่วมกับแดนหน้า โดยโอเล่หวังว่าความขยันของเฟร็ดจะเอาอยู่ แต่จริงๆแล้วที่ผ่านมา "ใช้งานเฟร็ดในเกมรับได้เพราะเล่นคู่กับแม็คโทมิเนย์" ต่างหาก

หากนำเฟร็ดมายืนต่ำเล่นเกมรับคนเดียวเป็นตัวสุดท้ายหน้าแผงหลัง พูดได้เลยว่า "เละ" เพราะเฟร็ดตัวเดียวโดดๆไม่สามารถป้องกันคู่แข่งได้ไหว ทั้งสรีระที่เสียเปรียบ และเกมรับที่สกัดบอลไม่อยู่ แรงปะทะสู้ใครไม่ได้

ในครึ่งแรกที่โดนวูล์ฟบุกแหลกรัวๆในเกมนั้น คือคำตอบที่ว่า เฟร็ดยืนหลังคนเดียวไม่ได้ในตำแหน่ง DM

แต่ครึ่งหลัง เพียงปรับแทคติกให้ป็อกบาลงต่ำไปคุมบอล แล้วให้เฟร็ดยืนสูงขึ้นมาไล่บอล ความผิดพลาดก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย และกลายเป็นแมนยูดีขึ้น คุมเกมได้ จนในที่สุด ก็บุกจนเมสัน กรีนวู้ด ยิงประตูเอานะได้สำเร็จ จากการปรับแทคติกของโซลชาล้วนๆ โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนตัวเลยด้วยซ้ำ

(เราคิดว่าจะต้องเพิ่มมิดฟิลด์ลงมาเพื่อจะคุมเกม แต่โอเล่เพียงแค่ปรับRoleการยืนในสนามเท่านั้น ทุกอย่างจบได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวแม้แต่คนเดียว)

แต่เรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำว่า เราขาดมิดฟิลด์ตัวรับจริงๆ ที่ไม่มีคนมาปักหลักหลังบ้านคอยเล่นเกมรับ ในยามที่ทุกวันนี้ แผนการเล่นของทีมสูตร 4-2-3-1 มันไฮบริดเป็น 4-3-3 ตลอดเวลา เพราะ 1 ใน 2 มิดฟิลด์คู่ double pivot มักจะเติมเกมขึ้นสูงเสมอ โดยทิ้งอีกตัวยืนต่ำไว้ มันก็แทบจะไม่ต่างกับ 4-3-3 เลยในแง่การเล่นจริงในสนาม

เฟร็ดใช้ยืนต่ำไม่ได้ ป็อกบายืนต่ำก็เสียของเกมบุกอีก มาติชยืนได้แต่ว่า ไม่ฟิตพอจะลงตัวจริงได้ทุกเกม ในขณะที่นักเตะอย่างแม็คโทมิเนย์ คือความหวังเดียวที่จะมาช่วยยืนต่ำให้กับทีม แต่ก็จะต้องสูญเสียมิติและพลังงานการเล่นของน้องแม็คไปอีก หากว่าเอามาเล่น DM ให้ปักหลักแดนหลังอย่างเดียว เพราะจริงๆแล้วน้องเป็นมิดฟิลด์ Box-to-Box ที่พลังงานเยอะและควรได้วิ่งพล่านเติมเกมรุก เหมือนอย่างที่ทำได้บ่อยๆ

เพราะงั้น ปัญหาชัดเจนที่แฟนผีทุกคน "รู้" ว่าเราต้องหามิดฟิลด์ตัวรับเข้าทีมมาให้ได้ เพราะทุกวันนี้แดนกลางแพ้เค้าแทบจะทุกนัด คุมเกมไม่ได้ เล่นเกมรับไม่อยู่ เซ็ตบอลขึ้นหน้าลำบากมาก

ต่อให้เรามีกองหน้าระดับรถถังมหาประลัยเป็นกองพันยังไง แต่ถ้าบอลไปไม่ถึง ก็ไร้ประโยชน์ ถ้าทีมคุมเกมไม่ได้ และเป็นฝ่ายโดนบุกอย่างที่เห็น จนตัวรุกบางคนอย่างซานโช่ แทบไม่มีโอกาสได้ปั้นเกมบุกเลย ในนัดเจอวูล์ฟครึ่งแรก

แต่สุดท้ายแล้ว ปิดตลาด แมนยูไนเต็ดก็ไม่ได้ซื้อใครมาเพิ่ม และเราก็ยังคงขาด "มิดฟิลด์ตัวรับ" อยู่ดี ซึ่งถือเป็นช่องโหว่สุดๆที่เราขาดแล้วไม่ยอมซื้อในซัมเมอร์นี้

ถ้าแฟนบอลเข้าใจว่า บรูโน่ เป็นตัวเชื่อม ตัวคุมเกมแดนหน้าที่สำคัญขนาดไหน ก็ควรที่จะทราบด้วยเช่นกันว่า มิดฟิลด์ตัวรับ ก็สำคัญเหมือนกับบรูโน่เช่นกัน แต่เป็นตัวคุมเกมในแดนหลังนั่นเอง แต่เราขาดตรงนี้อยู่ ไม่มีคนที่คอยเชื่อมระหว่าง กองหลัง ขึ้นไปยังตัวรุกข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาเจอเพรสซิ่งใส่ตำแหน่งจุดอ่อนนี้ (กลางต่ำ) ทีมจึงมักมีปัญหาอยู่บ่อยๆในสภาพที่เห็น

เพราะงั้น ในเมื่อทีมยังคงมีปัญหาใหญ่เกิดเป็นรูโหว่มโหฬารให้ชาวบ้านเค้าเจาะอยู่แทบทุกนัด แต่กลับไม่ยอมเสริมทีมมาในตำแหน่งนี้ มันทำให้เราถือว่า การซื้อนักเตะในซัมเมอร์นี้ มีจุดบกพร่องใหญ่หลวงที่ต้องตัดคะแนนอย่างมาก เพราะไม่สามารถซื้อ DM คนใหม่มาเข้าทีมได้ และเราก็ต้องใช้งานนักเตะเท่าที่มีต่อไปอีกครึ่งฤดูกาล กว่าจะได้ลุ้นเสริมตัวใหม่อีกช่วงปีใหม่

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็เข้าใจได้ว่าทำไมปีนี้ถึงคว้า DM มาไม่สำเร็จในซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพราะยูไนเต็ดใช้เงินไปกับดีลของวาราน ซานโช่แล้วกว่า 106.9 ล้านปอนด์ เมื่อมาบวกกับดีลโรนัลโด้อีก 12.86 ล้านปอนด์

เท่ากับว่า เราจ่ายเงินซื้อนักเตะไปแล้วถึง 119.76 ล้าน หรือตีราวๆ "120ล้านปอนด์" ไปแล้วเรียบร้อย

ในขณะที่ ดีลระบายนักเตะออก ขายได้แค่แดเนียล เจมส์ เพียงคนเดียวเท่านั้นในวันท้ายๆ นักเตะอย่างลินการ์ด มาร์กซิยาล ขายไม่ออก ในขณะที่ดีลระบายนักเตะออกไปยืมตัวของ อามัด เดียโล่ ก็ล่มปากอ่าวอีกเพราะน้องมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ดีลต้องจบไป สุดท้ายเลยระบายใครไม่ออกเลยนอกจากเจมส์คนเดียว

เมื่อขายลินการ์ด มาร์กซิยาล หรือ ดอนนี่ไม่ได้ โอกาสที่ทีมจะซื้อมาเพิ่มก็ยิ่งลดลง

ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของ "Slot" นักเตะในทีมที่จะเต็มเอี้ยดจนไม่สามารถซื้อใครมาเพิ่มได้อีก เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องปริมาณนักเตะที่จะลงทะเบียนในรายการต่างๆด้วย ถ้ายังเคลียร์ของเก่าไม่ได้ ก็ยากที่จะหาใครใหม่เข้ามา

และอีกเหตุผลหนึ่ง คิดว่าเป็นเหตุผลสำคัญนั่นก็คือ "เป้าหมายเบอร์หนึ่ง" ที่มีการเปิดเผยมาแล้วนั้น โซลชามีมุมมองเดียวกับศาลาผีเป๊ะ ในการที่เล็ง "เดแคลน ไรซ์" เป็นเป้าหมายหลักระดับ Ideal Target ที่จะต้องเสริมเข้ามาให้ได้เท่านั้นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับขนานแท้ ที่มีเกมรับเหนียวแน่น / เล่นกองหลังก็ได้ / แถมยังครองบอลเหนียว และเป็นหลักประกันหลังบ้านให้ทีมได้เป็นอย่างดีด้วยการปัดกวาดแดนกลางได้ตัวเดียว ทำให้งานของกองหลังจะเบาลงอีกเยอะ

แต่ค่าตัวของเดแคลน ไรซ์ ที่มีสัญญากับเวสต์แฮมอีกสามปีนั้น ถูกตั้งราคาเอาไว้กว่า 80-100ล้านปอนด์ ซึ่งแมนยูไนเต็ดไม่สามารถใช้จ่ายเงินมาซื้อดีลใหญ่ระดับนั้นได้อีกแล้ว เพราะใช้เงินไป 120ล้านแล้ว

ต่อให้ขายลินการ์ดได้ 25ล้าน แมนยูไนเต็ดก็ต้องอัดฉีดเงินมาซื้อไรซ์อีกอย่างต่ำๆ 55ล้าน จนถึง 75ล้านเลยทีเดียว เพื่อที่จะคว้าตัวเดแคลน ไรซ เข้าทีมมาให้ได้อย่างที่หลายๆคนต้องการ (โดยเฉพาะโอเล่)

มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับดีลไรซ์ อันนี้เข้าใจได้ที่ไม่ซื้อมา

แต่.. ตัวเลือกอื่นๆในตำแหน่งกลางต่ำ ก็มีอีกหลายคนที่ควรจะซื้อมาแก้ขัดก่อนในราคาที่ไม่แพงมากนัก โดยเฉพาะสองรายอย่าง รูเบน เนเวส และ อีฟส์ บิสซูม่า กองกลางจากวูล์ฟ และ ไบรจ์ตัน ที่มีสกิลและโปรไฟล์ที่เล่นกลางต่ำทั้งคู่ คนละสายกัน (DLP กับ Ball-winning) นักเตะพวกนี้สามารถซื้อเข้ามาเสริมทีมก่อนได้ ด้วยราคาประเมินที่ไม่แพงมากนัก แค่สัก35ล้านปอนด์ก็ซื้อตัวมาได้แล้ว

แต่ทีมก็ไม่ซื้อมา และไม่มีข่าวเพิ่มเติมเลยในวันท้ายๆ ทั้งๆที่แม็คโทมิเนย์บาดเจ็บ ต้องผ่าตัดเล็ก และพักฟื้นอีกหลายนัด

ถ้าจะบอกว่า ทีมมีมิดฟิลด์อยู่ในทีมเยอะแล้วถึง5-6คน เลยไม่ซื้อมาเพิ่ม มันฟังดูเหมือนจะเข้าใจได้ แต่จริงๆก็ผิดทางด้านฟังก์ชั่นอยู่ดี เพราะ5คนที่ว่า มีตัวเดียวเท่านั้นที่เป็น "กลางต่ำ" จริงๆจังๆได้ คือมาติช ตัวเดียวจริงๆ

แต่แผนเรา ใช้ "กลางต่ำคู่" ในแผน 4-2-3-1 แถมยังพยายามจะปรับไฮบริดเป็น 4-3-3 ที่มีกลางต่ำยืนคนเดียวซะอีก ในยามที่ทีม ไม่มีมิดฟิลด์ตัวต่ำธรรมชาติคนอื่นๆเลยในทีมนอกจากมาติชคนเดียว

ปัญหาเกิดแน่นอนครับ

กองกลางตัวอื่นๆนอกจากมาติชนั้น ควรต้องได้เล่นตำแหน่งอื่นถึงจะดีกว่า เช่น เฟร็ด ควรยืนสูงขึ้นมาในพื้นที่CM และเล่นเป็นตัวซัพพอร์ตแบบCarrilero

แม็คโทมิเนย์ ควรได้เติมสูงขึ้นไปในกรอบคู่แข่ง แบบมิดฟิลด์B2B

ดอนนี่ ควรได้วิ่งขึ้นไปหาตำแหน่งป่วนและกดดันเป็นตัวละครลับในแดนหน้า ด้วยบทบาทของ Shadow Striker ถึงจะดีกว่าการนำเขามาเล่นตรงกลาง ซึ่งก็พอเล่นได้ แต่ไม่เจ๋งเท่าการใช้เขายืนสูงในกรอบเขตโทษคู่แข่งแน่นอน

และ ปอล ป็อกบา จะโบยบินที่สุดเมื่อได้ยืนสูงเล่นเกมรุกปั้นบอลให้เพื่อนซี้อย่างบรูโน่ หรือกองหน้าอย่างคาวานี่  กรีนวู้ด แรชฟอร์ด

เพราะฉะนั้นแล้ว การไม่ยอมลงทุนซื้อมิดฟิลด์มาอีกตัว จึงทำให้ทีมที่ดูเหมือนจะพร้อมรบนี้ ขาดผู้เล่นตำแหน่งสำคัญไป นั่นก็คือการมีมิดฟิลด์เก่งๆในทีม ที่บอกตรงๆว่ามิดฟิลด์ทีมเราถ้าไม่นับป็อกบา ก็สู้คนอื่นได้ยากในแง่การคุมเกม เพราะแม็ค เฟร็ด เล่นคู่กันทีไร คุมเกมไม่อยู่ทุกที ซึ่งการคอนโทรลตรงนี้แหละที่ต้องการมิติการโฮลดิ้งจาก DM แท้ๆสักคน ถึงจะคุมเกมได้อยู่หมัด

ทีมไหนที่ควบคุมแดนกลางได้ โอกาสเป็นผู้ชนะมีสูง นี่คือความเป็นจริงของฟุตบอลที่คนเล่นบอลน่าจะรู้กันดี

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจึงขอ "หักคะแนน" ตลาดซื้อนักเตะเข้าทีมปีนี้ ไม่ให้คะแนนเต็ม แม้จะได้ระดับ "โด้ โช่ วาราน" เข้ามาก็ตาม บวกกับการปล่อยฟรี และการขายแดเนียล เจมส์ ที่น่าเสียดายอีก

การปล่อยนักเตะส่วนเกินของทีมที่ไม่สำเร็จในบางส่วน อย่างลินการ์ด หรือ มาร์กซิยาล หักลบกับข้อดีที่ปล่อยยืมนักเตะดาวรุ่งไปสโมสรที่มีชื่อชั้นมากมายหลายคน

ภาพรวมแล้ว สรุปตลาดซัมเมอร์ฤดูกาล 2021/22 นี้ ประเมินความพึงพอใจในมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนได้คร่าวๆดังนี้

การดึงตัวดีๆเข้ามาในราคาที่คุ้มค่า อย่างสามดีลหลัก (10/10)

การไม่ยอมซื้อมิดฟิลด์ตัวรับ ที่เป็นตำแหน่งที่ขาดเข้ามาเสริมทีม (2/10)

**ให้2คะแนนเพราะเข้าใจในเหตุผลที่ระบายนักเตะเก่าไม่ออก + งบหมด)

การปล่อยนักเตะออก ระบายนักเตะไม่ได้เพราะขายไม่ออก + ขายตัวที่ไม่ควรขาย ให้ (5/10)

การปล่อยยืมนักเตะดาวรุ่งให้ไปอยู่สโมสรดีๆที่เหมาะสม (8/10)

ตัดเกรดตลาดนี้ ผมให้คะแนนในภาพรวมเป็น "8/10" เท่านั้นพอ

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วเมื่อหักลบค่าตัวนักเตะที่ซื้อเข้ามา กับตัวที่ขายได้เป็น Net Transfer Spend ดังนี้คือ

119.79-25=94.79 ดังนั้น ยอดสุทธิในปีนี้ที่แมนยูใช้ไปก็คือ 94.79 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 95ล้านปอนด์นั่นเอง

ทั้งหมดของตลาดหน้าต่างนี้ เกือบดีและperfectแล้ว แต่ดีไม่สุด และมีจุดบกพร่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆกับการที่ไม่เสริมมิดฟิลด์ตัวรับ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญมากๆที่เรามีปัญหาหนักอยู่ ทำให้ต้องหักคะแนนไปพอสมควร

8แต้มถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว แต่หากใครจะให้คะแนนดีกว่านี้หรือแย่กว่านี้ก็ไม่มีปัญหา ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้อ่านเองครับ หลายท่านอาจให้ 10เต็มเลยก็ได้ เพราะได้นักเตะเวิร์ลคลาสเข้ามาสามคนรวด ในราคาเฉลี่ยแล้ว ตกคนละแค่ 40ล้านเท่านั้นเอง เลยให้คะแนนเต็ม โดยพิจารณาจากนักเตะที่ซื้อเข้าอย่างเดียว แบบนั้นก็ได้

หรือใครจะหักคะแนนมากกว่านี้ก็ไม่ผิดอะไร จากสิ่งที่ยังขาดต่างๆ ตามที่วิเคราะห์เอาไว้อย่างละเอียดครบทุกประเด็น

แต่สรุปแล้ว ผมให้ 8/10 ไปก่อนแล้วกันสำหรับความพึงพอใจในตลาดนี้

ซึ่งคะแนน 8 ก็ถือว่าเป็นคะแนนที่ดีนะ เพราะงั้นคิดว่า แฟนผีหลายๆคน น่าจะรู้สึกโอเคมากๆกับตลาดซัมเมอร์นี้

รู้สึกว่าทำได้ดี (8คะแนน) แต่ยังดีไม่สุด (9หรือ10คะแนน) เท่านั้นเอง

และต่อคำถามสุดท้ายที่ว่า ถ้าเสริมมาด้วยนักเตะเท่าที่มีในตลาดนี้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเราพร้อมหรือยังที่จะท้าชนแชมป์

คำถามนี้หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังมีแค่ซานโช่ กับวารานเข้าทีม และยังไม่มี "มิดฟิลด์ตัวรับเข้ามา"

ถ้าเป็นตอนนั้น ผมก็จะยืนยันคำเดิมว่า ตราบใดที่ยังไม่เสริมมิดฟิลด์ตัวรับ เราก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นแชมป์

แต่ยังไงทีมก็จะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว, ทำคะแนนได้เพิ่มขึ้น และลดโอกาสการทำแต้มตกหล่นน้อยลง เนื่องจากมีกองหลังตัวเก็บงานที่คอยเซฟชีวิตให้ทีมอย่าง ราฟาเอล วาราน เข้ามา

วารานจะเป็นคนสำคัญที่ช่วยรักษาคะแนนเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้เราได้

แต่ทันทีที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับมาสู่โอลด์แทรฟฟอร์ดนั้น มันทำให้ความรู้สึกทั้งหมดของมวลรวมในสโมสรมันเปลี่ยนไป

เขากลับเข้ามาพร้อมกับพลังงานของผู้ชนะตามเข้ามาด้วย

เป็นกลิ่นอายที่ผมและแฟนผีหลายๆคนคุ้นเคย และจำความรู้สึกเหล่านั้นได้อย่างดีว่า ในอดีตมันมีความรู้สึกยังไงบ้าง

เมื่อใดก็ตามที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับมาลงสนามให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกครั้ง

ปีศาจแดงจะกลับสู่ "ร่างเดิม" ที่เคยแข็งแกร่งที่สุดทันที ด้วยความน่าเกรงขามของปีศาจตัวจริงที่แฝงอยู่ในพลังงานการเล่น และจิตใจของทีม

แม้จะเป็นปีศาจที่ยังบาดเจ็บ และไม่สมบูรณ์ในบางจุดอยู่ ที่ขาดกลางรับตำแหน่งสำคัญ แต่ฝีเท้าของนักเตะอันดับหนึ่งที่กลับมาสร้างตำนานบทใหม่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด จะมากพอให้เรากลับมาเป็นทีมที่ร้ายกาจอีกครั้ง และสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเกิดบาดแผลขึ้นอีกมากเท่าใดก็ตามจากการมีจุดอ่อนในแดนกลาง..

กลางรั่วเหรอ? ฝากงานให้วารานกับแมกไกวร์แทนไปก่อนสักพักแล้วกัน

หรือต่อให้พลาดโดนคู่ต่อสู้ยิงประตูได้..

"จะโดนเท่าไหร่ก็ช่าง ยิงม่างคืนให้กระจุยก็พอ"

โรนัลโด้ทำให้ผมคิดแบบนี้ และทำให้มั่นในใจทีมมากขึ้นจากการยกระดับทั้งในด้านการเล่น และขวัญกำลังใจของทีม

เพราะฉะนั้น แม้จะยังไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับก็ตาม แต่ตอนนี้ผมมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไป หลังจากโรนัลโด้กลับมา..

ผมรู้สึกว่าทีมเราสามารถลุ้นแชมป์ได้ในฤดูกาลนี้ครับ

-ศาลาผี-

References

https://www.transfermarkt.com/

https://www.90min.com/posts/man-utd-release-sergio-romero-after-six-years-at-old-trafford

https://www.unitedinfocus.com/transfer-talk/sergio-romero-being-considerered-for-free-agent-move-to-chelsea/

https://www.legit.ng/1372445-edinson-cavani-europes-top-5-leagues-3rd-highest-goals-scorer-ronaldo-messi.html

https://theathletic.com/news/manchester-united-complete-raphael-varane-signing/oWjyfHLhdyrx

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด