ที่สุดของคำว่า "วีรสตรีทีมชาติไทย"
และทุกอย่างก็เห็นผล เมื่อเกมดังกล่าว ทีมชาติไทย อาศัยทีมเวิร์คและประสบการณ์ที่เจนจัดมากกว่า ดาหน้ายิง 2 ประตู จาก "กัปตันเจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ทำให้เอาชนะไป 2-0 ก่อนจะเสมอ 0-0 ในนัดสอง เข้ารอบชิงไปชนะ อินโดนีเซีย สกอร์รวมทั้ง 2 นัด 6-2 คว้าแชมป์สมัยที่ 6 ไปครอง
ต้องยอมรับว่า "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เป็นยิ่งกว่าผู้จัดการทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ไปแล้ว จากความทุ่มเทที่เธอแสดงแพสชั่นออกมาเต็มที่ และอยู่ร่วมกับทีมตลอด 10 กว่าวัน ทั้งที่ก่อนรับตำแหน่งก็รู้ว่า รายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ต้องเตะแบบข้ามปี โดยที่ไม่มีเวลาไปเคาท์ดาวน์หรืออยู่กับครอบครัวแน่นอน
ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง และทุ่มเทสุดตัว ทำให้ทีมได้แชมป์พร้อมกับกลายมาเป็น ผู้จัดการทีมหญิงคนแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คว้าแชมป์อาเซียน มาครองได้สำเร็จอีกด้วย เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีชาติไหนที่ใช้ผู้จัดการทีมเป็นผู้หญิง และคว้าแชมป์รายการนี้มาก่อน
หากย้อนกลับเมื่อราว 15 ปีก่อน ในวัย 43 ปี ผู้หญิงคนนี้เริ่มต้นทำทีมฟุตบอลหญิง จนสามารถเข้าไปแข่งฟุตบอลโลกได้ในปี 2015 เป็นครั้งแรก ที่แคนาดา และอีกหนในปี 2019 ที่ฝรั่งเศส
ก่อนจะลาออกจากทีม “ชบาแก้ว” ไปบริหารจัดการทีม การท่าเรือ เอฟซี และเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา กับบทบาทใหม่ในการเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลชาย เพื่อเข้ามากู้วิกฤตศรัทธาให้ฟุตบอลทีมชาติไทย หลังผลงานแผ่วไปในช่วง 5 ปีหลังอย่างชัดเจน
ทั้งการไม่สามารถป้องกันแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018, ตกรอบซีเกมส์ 2017และตกรอบสอง ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ทำให้อันดับโลกร่วงกราว เป็นเหตุให้แฟนบอลเริ่มที่จะหมดความเชื่อมั่นในการบริหารงานของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย
อันดับโลกที่เคยอยู่ในท็อป 100 ก็ค่อยไต่ระดับลงมา จนถึง 120 กว่าๆ เป็นช่วงเวลาที่สวนกับทาง เวียดนาม ที่กลายเป็นยุค “โกลเด้น เจเนอเรชั่น” สามารถสถาปนาตัวเอง ทะยานมาเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนและติดท็อป 100 ของโลกได้สำเร็จ
จากการที่ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประมุขลูกหนังไทย ที่ยอมกลืนน้ำลายกลับมาใช้ระบบ "ผู้จัดการทีม" พร้อมกับตั้ง "มาดามแป้ง" เข้ามารับงานนี้ จนเริ่มต้นจากการทำทีม ยู-23 เข้ารอบสุดท้าย ศึกชิงแขมป์เอเชีย ได้เป็นผลสำเร็จพร้อมกับ อุซเบกิสถาน (เจ้าภาพ), คูเวต แชมป์กลุ่มดี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แชมป์กลุ่มอี, ออสเตรเลีย แชมป์กลุ่มจี, มาเลเซีย แชมป์กลุ่มเจ, ญี่ปุ่น แชมป์กลุ่มเค โดยชุดดังกล่าวได้รับเงินอัดฉีด 2 ล้านบาท
ต่อเนื่องจนมาถึงการประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ถ้วยอาเซียนสมัยที่ 6 มาครองได้ ซึ่ง "มาดามแป้ง" ได้อาศัยคอนเน็คชั่นส่วนตัวหาเงินอัดฉีดจากคนรักฟุตบอลไทยมาเพิ่มรวมเป็นยอดเงินกว่า 26 ล้านบาท บวกกับเงินส่วนตัวของ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย 10 ล้านบาท
ไปจนถึงเงินรางวัลจากการเป็นแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ราว 300,000 เหรียญหรือประมาณ 10 ล้านบาท เป็นเงินทั้งสิ้น 46 ล้านบาท เอาไปแบ่งกันแบบทั้งทีม ซึ่งในนี้ให้รวมกลุ่มสตาฟฟ์โค้ช และบรรดา KIT MAN ที่ทำงานอย่างหนักกันทุกคน
หลังงานฉลองเจ้าตัวได้มีการขอบคุณบุคลากรหรือผู้ใหญ่ที่ให้คำแนะนำ ทั้ง "บิ๊กอ๊อด" ที่เปิดโอกาสครั้งสำคัญให้ได้เป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย
รวมทั้ง "บิ๊กหอย" วนัสธนา สัจจกุล , "บิ๊กแป๊ะ" ถีรชัย วุฒิธรรม, "บิ๊กโต้ง" กิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งทั้ง 3 คนเคยเป็นอดีตผู้จัดการทีมชาติไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังได้มีการกล่าวขอบคุณไปยัง เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ ระวิ โหลทอง ประธานสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ให้กำลังใจและให้คำปรึกษาอยู่เสมอนับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทย และได้กล่าวขอบคุณไปยังประธานสโมสรทั่วทั้งไทยลีกที่ปล่อยตัวนักเตะมารับใช้ชาติ
นี่แหละคือความทุ่มเทของ "มาดามแป้ง"นวลพรรณ ล่ำซำ กับการเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย กู้ศักดิ์ศรีวงการลูกหนังให้กลับมาแบบสะท้านอาเซียน
ขอบคุณจริงๆ สำหรับของขวัญปีใหม่ ปี 2565 ที่ทำให้วงการฟุตบอลไทยกลับมาคึกกันกันได้อีกครั้ง