:::     :::

คราวเคราะห์ของลินเดอเลิฟ และสารพิษดิจิตอล

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,928
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดต่อ "วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ" ที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน และการถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือ "ด่า" นักเตะคนอื่นที่เขาไม่ชอบขี้หน้า ของบรรดาแฟนบอลพันธุ์ Toxic

หลายๆคนคงเหตุการณ์ที่ครอบครัวของวิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ถูกคนร้ายบุกรุกเข้าบ้านในยามที่มีเพียงแค่ภรรยาและลูกๆตัวเล็กอยู่ข้างใน และจำต้องหาที่หลบซ่อนตัวในบ้านอย่างน่าหวาดกลัว โดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้นได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีข้อมูลของคนร้าย ช่วยติดต่อแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยด่วน

แถลงการณ์ของสโมสรมีดังนี้

"ทางสโมสรยืนยันว่าเกิดการบุกรุกเข้าไปยังบ้านของวิคตอร์ ลินเดอเลิฟขึ้นจริง ในระหว่างที่ทีมกำลังลงเตะเกมเยือนเบรนท์ฟอร์ด"

"ครอบครัวของเขาอยู่ในบ้าน ณ ขณะนั้นด้วย ถึงแม้จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นอย่างมาก"

"เป็นประสบการณ์ที่น่าหวาดหวั่นของพวกเขา วิคตอร์ได้ทราบข่าวนี้หลังเกมจบ และทางสโมสรจะให้ความดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่"

"เราอยากขอให้ผู้ใดก็ตามที่มีข้อมูลของคนร้ายที่ก่ออาชญากรรมในครั้งนี้ ได้โปรดช่วยติดต่อกับทางตำรวจด้วย"

ส่วน Maja Nilsson Lindelöf ภรรยาของวิคเตอร์ ลินเดเลิฟ สตาร์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดเผยเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่หัวขโมยบุกเข้าไปในบ้านของพวกเขาในครั้งนี้

เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างหัวหน้าครอบครัวอย่างวิคตอร์กำลังลงเล่นในสนามเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และภรรยา มายา นิลส์สัน ลินเดอเลิฟ และลูกๆ จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอยู่ข้างในห้องของตัวบ้าน

พวกเขาเสียขวัญและหวาดผวาต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งสโมสรประกาศจะช่วยเหลือครอบครัวของพวกเขาอย่างสุดกำลัง

Maja เล่าในStory ของ Instagram Story ไว้ตามข้อความในรูปนี้ว่า

"ฉันอยู่ในบ้านเพียงลำพังกับลูกน้อยอีกสองคนเท่านั้น และเราต้องขังตัวเองในห้องเพื่อซ่อนตัวให้ทันก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในตัวบ้านสำเร็จ"

"พวกเราปลอดภัยดีจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่มันสะเทือนขวัญและน่ากลัวมากๆสำหรับพวกเราสองคน และลูกๆ"

"ตอนนี้เราถึงสวีเดนแล้ว เพื่อที่จะกลับมาอยู่กับครอบครัวสักระยะหนึ่ง"

ราล์ฟ รังนิค ก็ออกมายืนยันแล้วเช่นกันว่า เขาจะให้ Victor Lindelöf กลับไปดูแลที่ครอบครัวเพื่อปลอบขวัญพวกเขาจากการที่โดนบุกรุกบ้านเช่นนี้ ดังนั้นลินเดอเลิฟ จะไม่มีชื่อลงสนามในเกมเจอกับเวสต์แฮม ในคืนวันพรุ่งนี้ 4 ทุ่มตรงเป็นที่แน่นอนแล้ว

"ผมพูดคุยกับเขาอยู่นานในระหว่างไฟลท์กลับจากลอนดอน รวมถึงช่วงเช้าด้วย เราคุยกันนาน 20-25นาที เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง และมันเป็นอะไรที่น่ากลัวและกระทบกระเทือนจิตใจมากๆสำหรับภรรยาและลูกชายคนโตวัย3ขวบของเขา"

"เขามาแจ้งกับผมว่าตอนนี้เขาต้องการกลับไปอยู่กับครอบครัว เขาไม่อยากปล่อยให้ภรรยาและลูกๆอยู่กันโดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งผมเข้าใจอย่างมากในฐานะพ่อคนหนึ่งที่มีลูกสองคนเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าเขาไม่ต้องมาซ้อมในวันนี้ และไม่ต้องห่วงหน้าที่การลงสนามช่วยทีมในเกมวันพรุ่งนี้ด้วย"

นี่คืออีกครั้งที่นักเตะอย่าง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่บาดเจ็บในเกมเจอนอริชเมื่อเดือนที่แล้ว และต้องใส่เครื่องมอนิเตอร์หัวใจเพื่อเช็คความปลอดภัยที่เขาเกิดอาการแน่นหน้าอก หลังจากนั้นไม่นานก็ดันมาติด Covid-19 อีกในช่วงปลายเดือนธันวาคม

ซึ่งในระหว่างที่ลินเดอเลิฟติดโควิดนั้น ลูกชายคนเล็กของครอบครัว อย่าง ฟรานซิส (Francis Lillebror Nilsson Lindelöf) นั้น ก็ถูกนำตัวเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากเป็น viral meningitis หรือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส

เกิดจากการติดเชื้อมา ไม่ว่าจะจากไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราในบริเวณเยื่อที่หุ้มรอบๆสมอง รวมถึงไขสันหลัง ซึ่งจะทำให้บริเวณที่ติดเชื้อนั้นเกิดการอักเสบและบวม ส่งผลให้เกิดอาการอื่นๆตามมา เช่นปวดหัว ขยับคอไม่ได้ เป็นไข้ โดยโรคนี้พบมากในเด็กเล็กๆ และหลายช่วงอายุ ซึ่งถึงชีวิตได้เลยถ้าเป็นรุนแรงและรักษาไม่ทันท่วงที

ในแง่ของการแข่งขัน แน่นอนแล้วว่าลินเดอเลิฟที่ระเบิดฟอร์มอันยอดเยี่ยมในเกมนัดล่าสุดมา จะไม่มีชื่อในแมตช์พรุ่งนี้ที่เจอกับเวสต์แฮมยูไนเต็ด

บอกตรงๆว่า เรื่องนี้ไม่มีความสำคัญอะไรเลยต่อความรู้สึกที่จะมาเป็นห่วงว่า แมนยูขาดลินเดอเลิฟไป ทีมจะมีปัญหาไหม ทีมจะรั่วรึเปล่า ฯลฯ ไม่เลย

อาจจะมีบางมุมมองที่เกิดขึ้นได้ว่า ทำไมลินเดอเลิฟไม่นึกถึงประโยชน์ของทีม จิตใจไม่เข้มแข็ง เหลาะแหละ ไม่ใจสู้ นักเตะบางคนพ่อแม่เสียยังมาลงสนามเพื่อทีมได้ ฯลฯ

มันต้องมีแน่นอนความคิดเช่นนี้ แต่บางที passion ที่มองแต่เรื่องของฟุตบอลมากเกินกว่าเหตุ มันก็ไม่ได้ดูคูลอะไรหรอก ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม เหนือเหตุผลอื่นไม่ว่าจะในกรณีใดๆ มนุษย์เราควรที่จะมี "มนุษยธรรม" (Humanity) ติดตัวเอาไว้เสมอ

สิ่งนี้เป็นคุณธรรมที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อันเกิดจากระบบความคิดที่ซับซ้อนกว่า

ลดทอนความเกลียดชังที่บังตา และเพิ่มเติม "ความเป็นมนุษย์" ด้วยจิตใจที่กรุณาต่อคนอื่น สังคมบนโลกนี้จะน่าอยู่กว่าที่เป็นในปัจจุบันมากขึ้นอีกเยอะ ซึ่งสังคมดังกล่าวมันถูกกลืนกินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผู้เขียนรู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่โคตรย่ำแย่อย่างมาก และเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมกับเรื่องของ "อังเคล ดิมาเรีย" ที่เคยโดนโจรขึ้นบ้านสมัยค้าแข้งอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เรื่องนี้ผลส่งกระทบต่อจิตใจของเขาโดยตรง และเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกที่ไม่อยากจะค้าแข้งที่นี่มากยิ่งกว่าเดิมอีก

เหตุการณ์ลักษณะนี้มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องในสนามแล้ว แต่มันคือโลกความเป็นจริงของชีวิตครอบครัวนักเตะคนนั้นๆ ที่ถูกล่วงละเมิดก่ออาชญากรรม และอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิตได้ หากว่าถูกโจรเหล่านั้นทำร้ายเพื่อที่จะปิดปาก

ดิมาเรียเมื่อย้ายไปค้าแข้งอยู่กับPSG เขาก็ยังซวยอีกครั้งเมื่อถูกโจรบุกบ้านที่กรุงปารีสซ้ำสองอีกครั้ง ซึ่งนอกจากเขา เพื่อนร่วมทีมอย่างมาร์ควินญอสก็โดนบุกปล้นบ้านพ่อแม่ด้วยเช่นกัน

ถือว่าน่าเห็นใจมากๆสำหรับดิมาเรียในกรณีนี้

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมากสำหรับชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งเสี่ยงเหลือเกินที่อาจทำให้ต้องสูญเสียครอบครัวได้ เพราะว่า "ชีวิต" และ "ครอบครัว" คือสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ที่คุณควรจะใช้เวลาให้มากที่สุด และมีค่าที่สุดกับพวกเขา

ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่อย่างเพลิดเพลินหรือมีความสุขแค่ไหน นึกถึงหน้าคนที่เรารัก และครอบครัวของเราเอาไว้เสมอ นั่นคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

ไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้สำคัญกว่าครอบครัวอีกแล้ว แม้จะเป็นเงินทองมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตาม เทียบกันไม่ได้เลยกับครอบครัวของมนุษย์เราทุกๆคน

เงินไม่มีค่าอะไรเลยจริงๆเมื่อเทียบกับความสุขของครอบครัว และการได้อยู่กับพวกเขาไปให้นานที่สุดเท่าที่ร่างกายที่ยืมธรรมชาติมานี้จะมอบเวลาให้เราได้

เชื่อว่าหลายๆคนคงจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี

เราไม่ได้มาพูดอะไรเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ หรือยึดอุดมคติบ้าบอคอแตกอะไร และไม่ได้หมายความว่าเงินไม่จำเป็น แต่แค่จะบอกว่า อย่าให้สิ่งใดมีความสำคัญเกินกว่าครอบครัวเป็นอันขาด

อย่างที่พยายามเขียนและพูดเรื่องนี้บ่อยๆผ่านคอนเทนต์ต่างๆที่มีในคอลัมน์ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตพวกเราจริงๆ มันยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะ ครอบครัว และ สุขภาพร่างกายของเรา เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งควรต้องดูแลอย่างดี เพื่อให้ชีวิตที่เกิดมานี้มีความหมายและมีคุณค่ากับคนที่เรารัก

แม้เนื้อหาในบทความบนพื้นที่เว็บไซต์แห่งนี้จะเป็นเรื่องของกีฬาและการเชียร์ฟุตบอลเป็นเรื่องหลักก็จริง แต่สิ่งอื่นบนโลกนี้ก็มีอีกหลายอย่างเหลือเกินที่สำคัญกว่าเรื่องฟุตบอลมากนัก

การเชียร์ทีมโปรดของพวกเรา เป็นเพียงอีกส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราได้ใช้เวลากับ "สิ่งที่เรารัก" อีกเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง

แต่อย่าให้ความเกลียดชังที่มากจนเกินไป มากลืนกินศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเอง อย่าให้มันเหมือนกับคอมเม้น Toxic ที่เกิดขึ้นมาในโซเชียลเน็ตเวิร์ค กับกรณีที่เกิดขึ้นนี้

โดยที่ข่าวครอบครัวลินเดอเลิฟถูกโจรบุกขึ้นบ้าน ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงความเกลียดชังและด่าใส่อีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ชอบ เป็นต้นว่า

"น่าจะบ้านเฟร็ดมากกว่านะ"

หรือ

"ทำไมมึงไม่ไปขึ้นบ้านแมกไกวร์วะ มันจะได้ไม่ต้องลงสนาม"

ซึ่งผมเดาได้ไม่ยากเลยว่ามันจะต้องมีคอมเม้นประเภทนี้เกิดขึ้นมาแน่นอน และไม่ใช่มีเพียงแค่เคสนี้ แต่กับ "ทุกๆเรื่อง" ในโลกของการเชียร์ฟุตบอลผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ ไม่ว่าจะประเทศเราเองก็ตาม รวมถึงต่างประเทศ ก็มักจะมี คอมเม้นขยะ ที่มีแต่ทัศนคติเชิงลบเหล่านี้เกิดขึ้นมาเสมอๆ

สามารถโยงไปหาเรื่องด่าทีมตัวเองได้ทุกๆเรื่อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความสุขในการเชียร์บอลยังไง?

สารพิษดิจิตอลถูกพ่นออกโดยไม่มีการกลั่นกรองจากหัวสมอง และไม่มีความรับผิดชอบใดๆจากคนคอมเม้นในเหล่านี้ทั้งสิ้น

วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุด อย่าเอาเวลาชีวิตอันมีค่าของเราเสียไปเปล่าๆให้ toxic เหล่านี้

ประเด็นความโชคร้ายของครอบครัวลินเดอเลิฟที่โดนคนร้ายบุกรุกบ้านซึ่งมีแต่ผู้หญิงและเด็กอีกสองคนเพียงลำพัง ถูกคนไร้จิตสำนึกขั้นพื้นฐานเหล่านั้นเอาไปใช้เป็นพื้นที่และเครื่องมือสาดความเกลียดชังต่อนักเตะคนอื่นๆในทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่เขาไม่ชอบ

ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นนักเตะทีมเราเท่านั้น เพราะทุกคนบนโลกนี้ก็ไม่สมควรที่จะโดนโจรบุกบ้านรุกบ้านแบบนี้(โว้ย)

นักเตะคนดังกล่าวที่ถูกสาปแช่งให้โดนโจรบุกรุกเหล่านี้เขาทำผิดอะไรนักหนา? กับการที่อาจจะลงไปในสนามแล้วสร้างความผิดพลาด เล่นไม่ดี ไม่เต็มที่ หรืออาจทำให้ทีมแพ้

แต่นั่นก็คือเรื่องในสนามฟุตบอล ผิดพลาดตรงไหนเราก็ตำหนิกันตรงนั้นสิ เขาเล่นไม่ดียังไง ผิดพลาดยังไง ก็ว่ากันไปอย่างพอเหมาะพอควร

และ "ไม่ล้ำเส้น"

ถ้าเขาเล่นไม่ดีก็ตำหนิไปที่เรื่อง "การเล่น" ของเขา จะบอกว่าแมกไกวร์ห่วย เฟร็ดอ่อน การเล่นของอารอน วาน-บิสซาก้าไร้คุณภาพ ไม่ทุ่มเท สมาธิไม่ดี ทำทีมเสียหาย ฯลฯ ต่างๆนานา

มีอะไรก็ว่ากันไปถึงเรื่องที่เขาทำในสนาม ตำหนิไปให้เต็มที่ด้วยเหตุและผลของการเล่นฟุตบอลกันไป

แต่ไม่ใช่ไปชี้นิ้วโจมตีใส่ตัวบุคคลด้วยความหยาบคาย และเอาความเกลียดชังเป็นสารตั้งต้นเช่นนี้

ในความเป็นจริงที่ปรากฎบนโซเชียลเน็ตเวิร์คในยุคปัจจุบันที่ใครๆก็สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆ เพียงแค่รูดปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ และสมัครบัญชี anonymous สร้างอวตาร หรือแอคหลุมขึ้นมา ก็สามารถที่จะด่าและทำร้ายผู้อื่นด้วยคอมเม้นสาดเสียเทเสียได้ง่ายๆ

... "ไอ้โง่เฟร็ด" บ้างล่ะ ไอ้หัวโต "แม็กควาย" บ้างล่ะ

นี่คือการ "ล้ำเส้น" ที่มันเกินเลยไปมาก เพราะคำวิพากษ์วิจารณ์ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติผู้อื่น และ"เคารพความเป็นมนุษย์" ของผู้ถูกวิจารณ์ด้วย

คอมเม้นtoxicเหล่านั้นมักจะด่าเขาว่าเป็นควายบ้าง ไป bully, body shaming เขาบ้างล่ะ ไป abuse หรือ racist เหยียดนักเตะเหล่านี้กันอย่างมากมาย ซึ่งมันเกินขอบเขตของการเป็นแฟนบอลที่ดี ที่ควรมีทัศนคติในการดูฟุตบอลอย่างเหมาะสม

สิ่งเหล่านี้มันเกินเบอร์จากคำว่า วิจารณ์ ตำหนิ หรือ "บลัฟ" ไปเยอะมากแล้ว

และมันไม่ควรเกิดขึ้น

แฟนฟุตบอลที่มี หัวใจ ไม่ว่าจะทีมไหนๆก็ตาม ควรที่จะระลึกถึงสิ่งนี้เอาไว้ในใจตลอดเวลา

ฟุตบอลคือกีฬาของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" เพราะงั้น เพิ่มความเป็นมนุษย์ให้มากขึ้นก็พอ แล้วฟุตบอลจะเป็นส่วนหนึ่งของความสุขในชีวิตเราอย่างที่ถูกที่ควรตลอดไป

ฟุตบอลควรดูด้วยความรักและความบันเทิงเป็นหลัก

และการเชียร์บอลที่ขับเคลื่อนด้วยการ"ด่า" ก็มีแต่จะสร้างสารพิษให้กับตัวเองและคนอื่นในสังคมเท่านั้นเอง

อย่าเชียร์บอลด้วยการมอง "คนด้วยกัน" เป็นอย่างอื่น..

-ศาลาผี-

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด