:::     :::

ภาวนาให้เป็นครั้งสุดท้าย

วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,036
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ประเด็นการทำแอสซิสต์แรกในสีเสื้อ "คาวาซากิ ฟรอนตาเล่" ของ "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองกลางกัปตันทีมชาติไทย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เงียบเป็นเป่าสาก เมื่อโดนกระแสศอกพิฆาตของ "อิศเรศ น้อยใจบุญ" อดีตแข้งของ บางกอก เอฟซี เข้ามาแทนที่

โดยแข้งเลือดร้อนไปฟันศอกใส่ ศุภสัณฑ์ เรืองศุภนิมิต ผู้เล่นทีม นอร์ทกรุงเทพ เอฟซี ในศึกมังกรฟ้าลีก รอบแชมเปี้ยนส์ลีก จนต้องเย็บถึง 24 เข็ม


เหตุการณ์ดังกล่าวแทรกซึมไปทุกสื่อกีฬาและสื่ออื่นๆ ทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว แม้แต่สื่อต่างแดนยังเอาไปขยี้ต่อ ทำให้ภาพลักษณ์ของวงการฟุตบอลไทย ที่ถูกมองในด้านลบ ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ 

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา วงการฟุตบอลไทย โดยเฉพาะเรื่องราวในสนามพัฒนาจากเดิมเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมืออาชีพของนักกีฬาที่รู้หน้าที่ของตัวเอง พัฒนาฝีเท้าเพื่อใช้หล่อเลี้ยงครอบครัว 

แนวทาง สไตล์ลูกหนังถูกปรับใช้ให้มีความทันสมัย หลากหลาย สร้างความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจให้แฟนบอลข้างสนาม และทางบ้านได้ลิ้มอรรถรสฟุตบอลไทยอย่างถึงใจ

ภาพความเกเร เล่นนอกเกม ค่อยๆ หายไปจนแทบไม่มีประเด็นให้พูดถึงนัก


คำสบประมาทว่า “บอลไทย จะไปมวยโลก” ค่อยๆ จางไป พร้อมถูกแทนด้วยคำชื่นชมจากแฟนบอลขาประจำและขาจร

อย่างไรก็ตามความใจร้อน และขาดสติเพียงชั่ววูบของนักเตะเพียงคนเดียว กำลังจะกลายเป็นหลุมดำ ดูดกลืนความดีของฟุตบอลไทยที่กำลังจะเบ่งบานให้เหี่ยวเฉาลงอีกครั้ง 

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ในวงการฟุตบอลไทย เพราะคนที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่ “อิศเรศ” ที่โดน “กระทิงเพลิง” ยกเลิกสัญญาทันควัน 

ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็เตรียมนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาทฯ เพื่อตัดสินบทลงโทษเพิ่มเติมอีก


ซึ่งกฎระบุไว้ดังนี้ ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ถูกแบน 3-5 นัด และ ปรับเงิน 80,000 บาท 

โทษแบน จากใบแดงโดยตรงที่เขาได้รับอีก 2 นัด ทำให้อาจจะถูกแบนถึง 7 นัด และปรับเงิน 80,000 บาท หรือ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อาจจะตัดสินลงโทษแรงกว่านั้น หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำให้วงการฟุตบอลไทยเสื่อมเสียชื่อเสียงและภาพลักษณ์ 

อีกทั้ง ศุภสัณฑ์ เรืองศุภนิมิต ที่โดนฟันศอกไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นคดีอาญา 

ตามประมวลกฎหมายมาตรา 295 และ 297 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี  ปรับ 40,000 บาท 

หากทำอันตรายแก่กายจนมีอาการสาหัส จะมีอัตราโทษจำคุก 6 เดือน - 10 ปี  ปรับ 10,000 บาทถึง 200,000 แสนบาทเรียกว่าโดนหลายต่อทีเดียว


นอกจากนี้สังคมกำลังจะกลับมาประนาม “ฟุตบอลไทย” อีกครั้ง ซึ่งกว่าจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีกลับมาต้องใช้เวลานาน

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ไม่แปลกที่ไม่มีใครให้อภัยการกระทำของ “อิศเรศ” แม้แต่ % เดียว 

เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ที่ดีให้กับนักเตะรุ่นใหม่และนักเตะที่ก้าวเข้าสู่ถนนสายอาชีพ เพราะคำว่า “มืออาชีพ” คุณต้องมีความเพรียบพร้อมทั้งร่างกายจิตใจมากกว่านักฟุตบอลเดินสาย หรือ สมัครเล่น

มีความรับผิดชอบ มีวินัยในการฝึกซ้อม พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ให้สมกับเงินเดือนหลายหมื่นและหลายแสนบาทที่สโมสรจ้างมาทำงาน 


ที่สำคัญนักกีฬาต้องเคารพกติกา เพื่อนร่วมอาชีพ เคารพแฟนบอล ด้วยการลงเล่นอย่างสมศักดิ์ศรี เล่นด้วยสปิริตความเป็นนักกีฬา 

อย่าลืมว่าตอนนี้นักฟุตบอลบ้านเราได้รับความสนใจไม่ใช่เฉพาะในประเทศ แต่เป็นสินค้าขายออกไปยังต่างประเทศแล้ว

หากคุณพัฒนาฝีเท้าตลอดเวลา โอกาสจะก้าวไปถึงจุดนั้นก็มีสูง ดังนั้นทุกย่างก้าวในถนนสายนี้ ต้องคิดถึงภาพรวมกว้างๆ หากไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ โอกาสที่อนาคตจะดับวูบเหมือนขุนศอกรายนี้

นอกจากนี้คนในวงการก็จะโดนตราหน้าและสบประมาทว่า “ฟุตบอลไทยมันก็อยู่แค่นี้” หรือ “ฟุตบอลไทย ไปมวยโลก” ไม่รู้จักจบสิ้น 


หวังว่านี่จะเป็นเหตุการณ์สุดท้าย และไม่เกิดขึ้นอีก  ฟุตบอลไทย จะก้าวไปข้างหน้า ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย

อย่าให้อารมณ์เพียงชั่ววูบ มาทำลายอนาคต “ฟุตบอลไทย” เหมือนสุภาษิตที่ว่า “ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นทั้งข้อง” เลย

ฝากไว้ให้คิดและเป็นอุทธาหรณ์ครับพี่น้อง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด