สำหรับเลสเตอร์ ซิตี้ ในการคว้าตัวเจมี่ วาร์ดี้ มาร่วมทีม ย้อนกลับไปฤดูกาล 2012-13 พลพรรค “จิ้งจอกสยาม” ทุ่มเงินประมาณ 1 ล้านปอนด์ ซื้อตัววาร์ดี้ จากทีมนอกลีกอย่างฟลีทวู้ด ทาวน์ แน่นอนว่า เงินจำนวนดังกล่าวกลายเป็นอะไรนที่คุ้มค่า เพราะนี่คือนักเตะที่ไล่ยิงประตูได้อย่างถล่มทลาย
วาร์ดี้ สามารถพาทีมเลสเตอร์ ซิตี้ เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก ในช่วงฤดูกาล 2014-15 พร้อมกับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยเขายิงประตูในพรีเมียร์ลีก เกินหลัก 10 ประตู เป็นปีที่ 7 ติดต่อกันแล้ว (พีคสุดคือปี 2015-16 ที่ยิงในลีก 24 ประตู) ซึ่งการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2015-16 และเอฟเอ คัพ 2020-21 ถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดของเขา
ช่วงนี้ เราไปย้อนความทรงจำบางช่วงบางตอนกันหน่อยว่า อะไรที่ทำให้ดาวเตะวัย 35 ปี สามารถยืนระยะได้อย่างยาวนาน พร้อมกับทำผลงานตอบแทนสโมสรได้อย่างคุ้มค่า ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนสำคัญคือการปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่สมัยที่เขาลงเล่นฟุตบอลในระดับนอกลีกนั่นเอง
“ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอีกล้านปี”
เจมี่ วาร์ดี้ ออกมากล่าวถึงจุดเริ่มต้นของตัวเอง จากนักเตะระดับนอกลีก ที่ควบคู่ไปกับการทำงาน หารายได้พิเศษนอกสนาม สู่นักเตะของสโมสรระดับพรีเมียร์ลีก แถมยังเคยก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ไม่เพียงแค่คนทั่วไป เขาก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า ชีวิตตัวเองจะพบเจอกับสิ่งเหล่านี้
กองหน้ามากประสบการณ์ ย้อนความทรงจำต่อไปว่า “ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดี ที่สามารถทะยาน และก้าวสู่ยอดพีระมิดได้อย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างการเดินทาง ก็มีการทำงานหนักผสมรวมอยู่ด้วย ผมหมายถึงการทำงานจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องราวแค่ในสนามแข่งขันเท่านั้น”
“อย่างที่ทุกคนทราบแล้ว ย้อนกลับไปตอนนั้น ผมต้องทำงานแบบเต็มเวลาไปด้วย ควบคู่ไปกับการเล่นฟุตบอลระดับนอกลีก ผมต้องทำให้แน่ใจว่า ผมต้องทุ่มเทอย่างสุดความสามารถกับเส้นทางลูกหนังของตัวเอง ผมต้องยอมรับว่า ความรู้สึกมันกินเวลาที่แสนยาวนานเลย”
“สิ่งที่ดีที่สุดกับการเป็นนักเตะในระดับพรีเมียร์ลีก ก็คือผมไม่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ 7 โมงเช้า รวมถึงไม่ต้องพลาดการกินอาหารในร้านที่แทรกตัวอยู่บนทางด่วน เพราะตอนที่ผมเป็นนักเตะนอกลีก ผมต้องรีบออกจากที่ทำงานทันที เพื่อให้มีความมั่นใจว่า ผมจะสามารถเดินทางไปฝึกซ้อมฟุตบอลได้ทันเวลา ดังนั้น คุณต้องทำความคุ้นเคยกับการกินอาหารจานด่วน”
วาร์ดี้ เสริมว่า การที่จะก้าวมาประสบความสำเร็จนั้น ห้ามมีคำว่ายอมแพ้แล่นเข้ามาในหัวอย่างเด็ดขาด และต้องเติมการทำงานหนักเข้าไปด้วย โดยกล่าวว่า “ความลับของผมมีเพียงแค่การทำงานให้หนัก และฝึกฝนให้มาก ที่สำคัญ คุณต้องมีสิ่งที่เรียกว่าแรงจูงใจ โดยแรงบันดาลใจของผมคือ การตระหนักถึงสิ่งที่ผมต้องการทำ และทุกอย่างที่ผมอยากทำ”
“อย่างที่ผมบอกไป เส้นทางอาชีพของผมก็มีเพียงปัจจัยเหล่านี้ ผมทำงานอย่างหนัก เพื่อปรับตัวให้เข้ากับระดับใหม่ที่สูงขึ้น ผมไม่เคยปริปากบ่นเลย ผมแค่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป พร้อมกับมีความพยายามด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ผมจะไม่ทำให้ใครต้องพบกับความผิดหวัง”
“ผมจำไม่เคยลืมว่า ค่าเหนื่อยก้อนแรกกับสโมสรสต็อคบริดจ์ พาร์ค สตีลส์ (สโมสรแรกของวาร์ดี้ ในเส้นทางลูกหนังอาชีพ) ตอนที่ผมถูกดันจากทีมเยาวชนมาสู่ทีมชุดใหญ่ มันเป็นจำนวนเงินราว 30 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ผมไม่เคยได้เงินจากการเล่นฟุตบอลมาก่อนเลยในชีวิต ผมจึงมีความสุขมากๆกับเงินก้อนนั้น”
“ย้อนกลับไปเวลานั้น เราแค่ลงสนามต่อหน้าแฟนบอลประมาณ 200-300 คนเท่านั้น จำนวนแฟนบอลจะมากกว่านั้น ก็เพียงการเจอกับทีมดังประจำท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นทีมอย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หรือเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ แน่นอนว่า การได้เล่นต่อหน้าแฟนบอล 200-300 คน เป็นประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นคนเหมือนทุกวันนี้”
แม้ปัจจุบัน วาร์ดี้ จะกลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ ที่มีชื่อเสียง และเงินทองมากขึ้น แถมมีคำว่า “แข้งพรีเมียร์ลีก” ห้อยท้ายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา กลับไปเคยทำให้เขาหลงลืมตัวตน รวมถึงรากเหล้าที่เขาเติบโตมา เขายังคงทำเหมือนเดิม เหมือนตอนที่เขาเล่นฟุตบอลในระดับนอกลีก
วาร์ดี้ ทิ้งท้ายว่า ”แทบทุกเกม ผมจะเดินไปปรบมือให้กับแฟนบอลของเรา เพราะผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างดี นั่นเพราะผมก็เคยเป็นแฟนบอลมาก่อนนั่นเอง ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก แต่ชีวิตผมไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินเป็นหลัก มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะคิดถึง ผมแค่อยากเล่นฟุตบอลก็แค่นั้น”
