:::     :::

"แลกเลือด" ทีมแพ้ขาดลอย แลกกับการเปิดแผลเรื้อรัง

วันพุธที่ 20 เมษายน 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,916
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
มันคือความต่างชั้นที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และสร้างบาดแผลให้แฟนผีมากขึ้น แต่กับความเข้าใจและการยอมรับสภาพความเป็นจริง เกมนัดนี้คือการเปิดแผลเรื้อรังให้ปีศาจแดงได้รู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเอง และมันคือโอกาสในการได้เปรียบมวยกับขุนศึกระดับท็อปของโลกด้วยว่าระยะห่างมากน้อยแค่ไหน!

จบลงไปแล้วสำหรับเกมแดงเดือดที่เป็นชัยชนะแบบสมราคาทีมระดับท็อปในยุคนี้ ด้วยการที่ลิเวอร์พูลเปิดถิ่นแอนฟิลด์ชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ขาดๆ 4-0 จากการจบสกอร์ที่คมกริบ คุณภาพการเล่นที่สูงลิบลิ่ว รวมถึงความสามารถในการเล่นของแมนยูไนเต็ดที่ยังมีปัญหามากทั้งเกมรุกและเกมรับ

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายอะไรเลย กับเกม outclass อีกครั้งที่เกิดขึ้น หลังจากที่ลิเวอร์พูลบุกไปถล่มแมนยูไนเต็ดมาแล้วช่วงต้นซีซั่นด้วยสกอร์ 0-5 ในยุคของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา

เรารู้ดีกันอยู่แล้วว่า ทีมเราอยู่ตรงไหน และทีมเขาอยู่ตรงไหน

ในยามที่แฟนบอลรู้สึกหดหู่ บางคนจะเป็นซึมเศร้ากับการเชียร์บอล(ฮา) รวมถึงความท้อแท้ที่เห็นทีมขาดจิตวิญญาณ และไม่มีคุณภาพพอจะสู้กับนักเตะลิเวอร์พูลได้เลยในทุกๆด้าน

ท่ามกลางความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายวันนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นความเสียหายที่เรา "ได้ประโยชน์" จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ด้วย ก็เหมือนกับเรา "แลกเลือด" กับคู่แข่งนั่นแหละ

โอเค วันนี้แพ้ก็จริง แต่อีกทางหนึ่ง เราก็มองเห็นสิ่งที่เป็นจุดด้อยของทีมในทุกๆด้านที่เราได้เปรียบมวยกันกับเขาแบบหมัดต่อหมัด

รวมถึงระยะห่างที่มันต่างชั้นมากกันระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูลในยุคนี้ด้วย

จริงๆแล้วมันคือสิ่งที่น่าสนใจมากนะที่ได้เจอกับลิเวอร์พูลในยาม "ท็อปฟอร์ม" สุดๆ จากที่ชนะแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้แบบเท่ๆ 3-2 หลายคนที่เคยสงสัยอยู่ว่า สองทีมนี้ใครเก่งกว่ากัน ซิตี้ยังดีกว่าลิเวอร์พูลขั้นหนึ่งหรือไม่

ณ ตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่า ลิเวอร์พูลยกระดับขึ้นมาอยู่ในเลเวลเดียวกันกับแมนเชสเตอร์ซิตี้แล้วเรียบร้อย

การมีลุ้นแชมป์ทีเดียว3-4ถ้วยภายในซีซั่น คือเรื่องที่ทีมผู้เป็นเต้ยของยุคจะทำได้ ซึ่งในอดีต แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยุคเซอร์อเล็กซ์เองก็เป็นทีมที่แฟนบอลสามารถลุ้นแชมป์ได้ปีละ 3-4 ถ้วยแบบนี้เช่นกัน

การที่ลิเวอร์พูลมีลุ้นแบบนั้น มันสะท้อนระดับของทีมเค้าได้ดีแล้วว่าอยู่ในระดับที่สามารถลุ้นสิ่งนั้นได้แบบ "เต็มตัว" และไม่ใช่ฝันอีกต่อไป

การที่ทีมๆหนึ่งกล้าที่จะฝันเป้าหมายยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ มันก็สะท้อนความเป็นจริงได้ดีว่าทีมๆนั้น "ดีพอ" จะลุ้นแชมป์ปีละเยอะๆอย่างนี้

เมื่อลิเวอร์พูลอยู่ในจุดสูงสุดดังกล่าวแล้ว คำถามที่ย้อนกลับมาก็คือ วันนี้ความพ่ายแพ้ของแมนยูไนเต็ดนั้นคือความน่าอับอาย ความน่าเศร้าหดหู่ และมันสะท้อนการเล่นที่ไม่มีคุณภาพพอจะสู้กับเขาอย่างเดียวใช่หรือไม่

ก็ถ้ามองแต่แง่ร้ายของมันอย่างเดียว มันก็มีแต่ความเศร้าใจที่เห็นทีมย่ำแย่นั่นแหละ

แต่ถ้าหากว่าลองคิดดีๆแล้ว มันกลับเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าจะเป็นสิ่งที่ร้าย ในการที่แมนยูไนเต็ดชุดนี้การเล่นอ่อนลงไปเยอะ ได้มีโอกาสวัดกับทีมที่เค้าเก่งมากจริงๆอย่างลิเวอร์พูล โดยที่ไม่ต้องรอได้เล่นUCL

ถ้าเป็นยุคก่อนๆ โอกาสที่เราจะได้สู้กับทีมท็อปๆอย่างเรอัล มาดริด ยุคกาลาคติกอส, บาร์เซโลน่าสมัยเมสซี่+เป๊ป หรือ บาเยิร์น มิวนิค เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ที่แมนยูจะต้องเจอกับทีมพวกนั้นเท่านั้น ถึงจะได้รับรู้ว่า การเล่นในระดับท็อปๆของโลกเป็นยังไง

ปัจจุบันนี้เราวัดเลเวลของเราได้ตลอดในพรีเมียร์ลีก จากสองทีมอย่างแมนซิตี้ และ ลิเวอร์พูลได้เลยโดยตรง

ความอับอายในวันนี้ที่ต้องพ่ายแพ้คู่อริเบอร์หนึ่งตลอดกาลนั้น ไม่ใช่เรื่องที่แย่อย่างเดียว เพราะมันคือการแลกเลือดอย่างที่บอก แม้เราจะเสียเลือดจากการโดนฆาตกรรมตายคาแอนฟิลด์กันแบบศพไม่สวย 4-0 ขนาดนี้ ในทางกลับกัน เลือดที่เราเสียไป มันก็เป็นตัวบ่งชี้ว่า เรามีปัญหาด้านไหนบ้าง เราอ่อนตรงไหน

และแผลจุดไหนบ้างที่เป็นบาดแผลเรื้อรังและเจ็บหนักๆของทีม

ไม่มีอะไรสูญเปล่าทั้งนั้น และอย่าบอกว่ามุมมองแบบนี้มันเป็นการโลกสวย เพราะนี่คือการยอมรับความจริงที่เรียลโคตรๆที่สุดแล้ว

แค่เรื่องที่ยูไนเต็ดเล่นได้แย่ลง มันก็เจ็บปวดพอสมควร หากยังจะToxicใส่ทีมตัวเองกันอีก ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่

สิ่งที่ลิเวอร์พูลทำในวันนี้ที่บุกกดใส่เราอย่างเต็มความสามารถ มันแสดงความต่างชั้นและปัญหาของเราได้ดี ในขณะที่เราเองก็สามารถทำให้เขารู้สึกกดดันได้บ้างในช่วงต้นครึ่งหลัง จากการปรับแทคติกมาเล่น 4-2-3-1 และใช้เกมเร็วจากริมเส้นในการตั้งเกมขึ้นมาจนถึงแดนสุดท้ายของลิเวอร์พูลจนมียุบไปบ้างพักนึง อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับไม่พยายามเลย

ทั้งเรื่องแทคติกหลังสามตัวที่จัดลงมา อาจจะดูรั่วและจัดระเบียบกันไม่ดี แต่นั่นคือเรื่องของ Game Plan ที่ถูกจัดลงมาควบคู่กับแทคติกในสนาม และเมื่อใช้แล้วมันไม่สามารถต้านคุณภาพของลิเวอร์พูลได้ ครึ่งหลังก็แค่ปรับแก้เกมลงมา และก็ทำได้ดีจนแอบรู้สึกว่า มีลุ้นจะยิงไล่มาเป็น 2-1 เหมือนกัน

มันก็ยังมีส่วนที่ดีๆให้เห็นบ้าง รวมถึงการได้ลงมาโชว์ความสด และหัวจิตหัวใจนักสู้ของฮันนิบาล เมจบรี ให้พวกรุ่นพี่ในสนามบางคนที่ใจไม่สู้ ได้เห็นกันว่า วิธีเจอกับลิเวอร์พูลต้องทำยังไง น้องมันทำให้เห็นแล้ว

ทั้งเรื่องของความสามารถทางด้านร่างกาย ทั้งสปีดความเร็ว พลังงานการเล่นที่สามารถวิ่งได้ไม่มีหมด การเข้าถึงบอลอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง นี่คือประเด็นของ Speed Energy และ Physical ที่เราเป็นรองลิเวอร์พูลเต็มประตู

ด้วยการเป็นนักกีฬา ถ้าร่างกายแพ้คู่แข่ง ก็แทบไม่ต้องลุ้นชนะกันแล้ว

นอกจากนี้ เรื่องของ System และความเข้าใจเกมในสนาม รวมถึง Team Work แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็ไม่มีอะไรที่ดีในระดับมาตรฐานเลย กลับกัน ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นคลาสการเล่นเป็นทีมที่แข็งแกร่งเป็นปึกแผ่น และคุณภาพคับแก้วโคตรๆให้เราได้เห็น จากการต่อบอล และการตัดสินใจหลายๆช็อตในเกมนี้ที่ทำได้รวดเร็วและน่ากลัวมากๆ จนเป็นที่มาของประตูทั้งสี่ลูกที่มีการเล่นที่คมกริบและทรงประสิทธิภาพสุดๆ

เราได้เห็น "เลเวล" ที่เราต้องการเกมรุกโบ๊ะบ๊ะที่แน่นอนและเฉียบคมเช่นนี้จากลิเวอร์พูล แต่กลับกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็แสดงให้เห็นว่า แนวรับของเรามีปัญหากับการเคลื่อนที่และยืนตำแหน่งกันอย่างมาก เพราะโดนเขาเจาะช่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากโอเพ่นเพลย์ล้วนๆ โดยเฉพาะเรื่องของการ Marking + Positioning และ Tackling ที่เป็นเกมรับสามพาร์ทสำคัญที่แนวรับทุกทีมควรจะมี

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย จนกระทั่งโดนการเล่นที่เหนือกว่าทุกด้าน เจาะกระซวกประตูไปเต็มๆสี่ลูกจากการที่แนวรับ ไม่สามารถจัดการกับเกมบุกคุณภาพดีของลิเวอร์พูลได้ไหว

ก็อย่าว่าแต่เราเลย ซิตี้ยังโดนไปสามเม็ดนัดที่แล้ว -*-

ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา มันคือการ "แลก" ที่อาจจะต้องใช้ "เลือด" ของเราในการจ่ายเป็นค่าหมอ ที่จะให้ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นคำวินิจฉัยออกมาว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเรา มีบาดแผลเรื้อรังที่ต้องรักษาจุดไหนบ้าง และการเล่นแบบไหนคือสิ่งที่เราต้องการจะขึ้นไปให้ได้ในอนาคต

การยอมรับความจริงไม่ใช่การโลกสวย แต่มันคือการรู้จักปัญหาของตัวเอง

เป็นเรื่องที่ดีบนความเจ็บปวดของการเจอพวกเขาเปิดแผลให้เห็นกันแบบเละเทะ แต่ทุกอย่างไม่ได้จบกันแค่วันนี้วันเดียว การเปลี่ยนแปลงรอเราอยู่ในซีซั่นถัดไปที่เอริค เทน ฮาก กำลังจะเข้ามาสร้างทีมใหม่ ในยุคสมัยใหม่ที่เราจะได้ล้างไพ่กันเต็มๆซีซั่นหน้า

ความพ่ายแพ้ในวันนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์ หรือมีแต่ความเจ็บปวดของแฟนบอลแมนยูแค่อย่างเดียว แต่แฟนผีจะได้รู้กันอย่างชัดเจนมากขึ้นว่า เป้าหมายของเราอยู่จุดไหน และเรายังต้องพัฒนาประเด็นใดบ้าง จากการได้เจอกับทีมที่ทำทุกอย่างได้ perfect เหมือนอย่างที่ลิเวอร์พูลแสดงให้เราเห็นในวันนี้

ปีนี้สกอร์รวมไปกลับ เราแพ้เขา 9-0 แบบที่ทำประตูไม่ได้เลยสักลูกเดียว และรูปเกมก็สู้ไม่ได้ มันไม่มีแฟนผีคนไหนหรอกครับที่จะยิ้มระรื่นและมีความสุขไปกับมันได้

แต่อย่างน้อย ถ้ารู้จักยอมรับความจริง ผลลัพธ์ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเซอไพรส์อะไรเลย เมื่อรู้อยู่แล้ว ความคาดหวังที่ตรงกับความเป็นจริง ที่แมนยูอยู่ในระดับ(แค่นี้) มันก็ไม่มีอะไรผิดหวัง หรือหงุดหงิดหัวร้อนอะไรมาก

บทความนี้ไม่ได้เขียนมาเพื่อ "พยายามหาข้อดีจากความย่ำแย่ที่เกิดขึ้น"

แต่บทความนี้ชี้ให้เห็นความเจ็บปวดที่มันไม่ไร้ค่า และมันแลกอะไรบางอย่างคืนมาได้เหมือนกัน

จนกว่าจะถึงวันที่เราสู้ได้ ระหว่างนั้นคือหน้าที่แฟนบอลเราที่จะต้องตามดูและภาวนาให้ทีมค่อยๆกลับมาในระดับท็อปให้ได้สักวันหนึ่ง ซึ่งแฟนบอลที่รักและเชียร์อย่างเข้าใจเท่านั้น ถึงจะอยู่ตรงนี้ได้

เพราะถ้าไม่เข้าใจ มันก็จะมีแต่ความผิดหวังและเรื่องน่าหงุดหงิดกันอย่างเดียวนั่นแหละครับ

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด