:::     :::

ความแตกต่างทางทัศนคติ คือพอยท์สำคัญของชัยชนะที่ขาดลอย

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
มีไม่บ่อยครั้งนักนะครับ ที่ศึกแดงเดือดจะมีทีมใดทีมหนึ่งเอาชนะได้ด้วยผลต่างอย่างน้อย 4 ลูกขึ้นไปทั้งสองนัดเหย้าเหยือนในฤดูกาล​เดียว

แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วในฤดูกาล​นี้


แดงเดือดนัดแรกที่ โอลด์​ แทร็ฟฟอร์ด ผลปรากฏ​ว่าทีมเยือนบุกไปถล่มยับเยิน 5-0 พร้อมกับแฮตทริคสวย ๆ จาก โม ซาล่าห์ พอกลับมาเตะนัดสองในแอนฟิลด์ ผลลัพธ์​ทั้งในแง่ของสกอร์และฟอร์มการเล่นแทบไม่ต่างกันเลย เปลี่ยนแค่สถานที่กับกุนซือที่คุม แมนฯ ยู​ไนเต็ด เท่านั้นเอง


ลิเวอร์พูล เปิดบ้านด้วยผู้เล่นชุดใหญ่เต็มสูบ ปรับเปลี่ยนแค่ 2 ตำแหน่งเท่านั้นจากเกมที่ชนะ แมนฯ ซิตี้ เมื่อสุดสัปดาห์​ที่ผ่านมา โดยเกมนี้ คล็อปป์ ส่ง โจเอล มาติป ลงมาแทน อิบราฮิมา โกนาเต้ และส่งกัปตันทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาแทน นาบี เกอิต้า


ขณะที่​ทีมเยือนมาในระบบ 3-5-2 ใช้เซนเตอร์สามคนเพื่อรับมือเกมบุกของหงส์แดง ได้แก่ วิเตอร์ ลินเดอเลิฟ, ฟิล โจนส์ และกัปตันยอดนักทำคอนเทนต์อย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์เอ้อ ส่วนแดนกลางแพ็คแน่นด้วย เนมานย่า มาติช, ปอล ป็อกบา และขยับ แอนโธนี่ อีลังก้า มาช่วยงานอีกคน ส่วนวิงแบ็คเป็นหน้าที่ของ อารอน วาน บิสซาก้า กับ ดิโอโก้ ดาโล่ต์ ปล่อยให้ บรูโน่ ยืนเป็นหน้าต่ำคู่กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด


เกมนี้ ลิเวอร์พูล ได้ประตูนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 5 จากการเข้าฮอสจ่อ ๆ ของ หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งประตูนี้เป็นประตูที่ 3 ในพรีเมียร์​ลีก​ของดาวเตะชาวโคลอมเบียเข้าไปแล้ว ทั้งที่เล่นในลีกมาแค่ 8 นัดเท่านั้นเอง


เจ้าบ้านครองบอลและเป็นฝ่ายคุมเกมทุกอย่างเอาไว้ได้หมดจด แม้ว่าปีศาจแดงจะพยายามเพรสซิ่งตั้งแต่แดนบน แต่ต้องยอมรับว่าด้วยความที่พวกเขาไม่ได้เล่นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ดังนั้นความผิดพลาดจึงเกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด


พอปีศาจแดงเพรสสูง ช่องว่างเลยเกิดขึ้น อีกทั้งกองหลังของพวกเขายังขาดการสื่อสารที่ดี เช็คล้ำหน้าพลาด รวมไปถึงยังดูค่อนข้างสับสนในตำแหน่งการยืนอีกต่างหาก จนเป็นช่องให้ ลิเวอร์พูล ทิ้งห่าง 2-0 ตั้งแต่เข็มนาฬิกาเดินไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ


แม้ว่าครึ่งหลัง ราล์ฟ รังนิค จะพยายามแก้เกมด้วยการกลับมายืนหลัง 4 และมีรูปเกมที่ดีขึ้น แต่ด้วยความที่เกมรุกยังขาดประสิทธิภาพ​หลังจากไม่มีตัวจบสกอร์อย่าง โรนัลโด้ จึงไม่ได้สร้างปัญหา​ให้กับแนวรับของ ลิเวอร์พูล มากเท่าที่ควร ก่อนจะมาโดนลงโทษอีก 2 เม็ดตอนนาทีที่ 65 กับช่วงท้ายเกม


ลิเวอร์พูล ถล่ม แมนฯ ยู​ไนเต็ด​ ไปสบายเท้า 4-0 โดยนักเตะที่แฟน ๆ เลือกให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไม่ใช่ ซาล่าห์ ที่ยิง 2 แอสซิสต์ 1 หากแต่ว่าแฟน ๆ โหวตเลือก ติอาโก้ กองกลางมันสมองห้องเครื่องคนสำคัญของทีมต่างหาก




เกมนี้ ติอาโก้ โดดเด่นมาก เขาเป็นนักเตะที่สัมผัสบอลมากที่สุดในสนาม, จ่ายบอลสำเร็จมากที่สุด, จ่ายบอลเข้าไแในพื้นที่สุดท้ายมากที่สุด, แท็คเกิ้ลชนะมากสุด และตัดบอล แย่งบอลคืนมาได้มากที่สุด เรียกว่าครบจบในคนคนเดียวเลย สำหรับการคอนโทรลเกมตรงกลางสนาม


ลิเวอร์พูล ขึ้นเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์​ลีก​ด้วยการมีคะแนนมากกว่า แมนฯ ซิตีิ อยู่ 2 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 นัด โดยที่ตอนนี้เหลือเกมให้เล่นอีกเพียง 6 นัดเท่านั้นสำหรับหงส์แดง เรียกว่าการลุ้นแชมป์ปีนี้ขับเคี่ยวกันถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว


ชัยชนะจากเกมนี้สะท้อนถึงอะไรหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของคุณภาพนักเตะและกุนซือ รวมไปถึงการวางระบบในสโมสรอีกด้วย


แมนฯ ยู​ไนเต็ด​ ตอนนี้ปัญหารายล้อมมากเกินไป ไหนจะเรื่องการประท้วงเจ้าของทีมจากกลุ่มแฟนบอล, สัญญาของ ปอล ป็อกบา ที่ใกล้หมด, ความผิดพลาดแบบรายนัดของ แม็คไกวร์ และไหนจะความไม่ชัดเจนเรื่องของกุนซือ แม้ว่า เทน ฮาก จะมาคุมฤดูกาล​หน้าก็จริง แต่ในช่วงสุญญากาศแบบนี้ มันค่อนข้างชัดเจนว่านักเตะในทีมหลายคนเล่นฟุตบอลแบบไม่เอาอะไรเลย


ทัศนคติของนักเตะคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เกมแดงเดือดฤดูกาล​นี้ไม่เดือดแบบที่ทุกคนคาดหวัง ฝั่งหงส์แดงเน้นทุกชอต ไม่ประมาทและเอาจริงในทุก ๆ เกม 


แต่ปีศาจแดงกลับเป็นตรงกันข้าม ในฐานะคนนอกยอมรับว่ามองไม่เห็นความกระหายจากนักเตะในทีมเลย มียกเว้นบ้างอย่างในรายของ โรนัลโด้ หรือ ดาบิด เด เคอา แต่คนที่เหลือ บางคนเล่นฟุตบอลเหมือนรอรัยเงินแล้วแยกย้ายแค่นั้นจริง ๆ


ทีมฟุตบอลที่ดี ไม่ปฏิเสธ​ว่าต้องสร้างด้วยเงินเป็นหลัก แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ เราทุ่มเงินไปกับสิ่งที่ถูกต้องหรือยัง? ค่าเหนื่อยระดับแสนปอนด์ขึ้นไป ปีศาจแดงเอาไปประเคนให้กับคนที่ฝีเท้าอยู่ในระดับไหนกันแน่ และพวกเขาเหล่านั้นเล่นเต็มที่เพื่อสโมสร เพื่อเงินก้อนนั้นกันมากแค่ไหน


นั่นคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างทั้งสองทีม และเป็นเหตุผลที่ทำให้แดงเดือดสองนัดในฤดูกาล​นี้ กลายเป็นฟุตบอลห่างชั้นในทุก ๆ แง่มุมอย่างที่เห็น




สถิติน่าสนใจหลังเกม

- ลิเวอร์พูล ครองบอลในอัตราส่วนถึง 72% ซึ่งหงส์แดงเป็นทีมที่ 4 ในรอบ 5 ปีหลังสุดมานี้ที่ครองบอลเกิน 70% ใส่ แมนฯ ยู​ไนเต็ด


- โม ซาล่าห์ ยิงในเกมแดงเดือดไปแล้วทั้งหมด 9 ลูก ทำสถิติเท่ากับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เรียบร้อย


- หากนับเฉพาะในฤดูกาล​นี้ ซาล่าห์ มีส่วนร่วมต่อการได้ประตูในแดงเดือดไปมากถึง 7 ลูก แบ่งเป็นยิงเอง 5 และแอสซิสต์อีก 2


- ในครึ่งแรก แมนฯ ยู​ไนเต็ด ไม่ได้ยิงเลยสักครั้งเดียว


- ทรีโอในแนวรุกของหงส์แดงมีส่วนร่วมต่อการการได้ประตูอย่างเข้าขาสุด ๆ ไล่ตั้งแต่ลูกแรก ซาล่าห์ จ่ายให้ ดิอาซ

ลูกสอง มาเน่ จ่ายให้ ซาล่าห์

ลูกสาม ดิอาซ จ่ายให้ มาเน่

ส่วนลูกสี่ ตัวสำรองอย่าง โชต้า ลงมาก็จ่ายให้ ซาล่าห์ ได้อีกต่างหาก


- ลิเวอร์พูล​ มีคะแนนห่างจาก แมนฯ ยู​ไนเต็ด ไกลถึง 22 แต้มเข้าไปแล้ว ในตอนนี้!



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด