:::     :::

่"FM โหมด Nightmare" เกมโหมดยากที่โอเล่กับราล์ฟเจอ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
7,479
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ผลงานที่ล้มเหลวในซีซั่นแห่งความผิดหวัง ความผิดทั้งหมดไม่ได้อยู่กับผู้จัดการทีมทั้ง2แค่อย่างเดียว แต่สิ่งที่พวกเขาเจอ มันคือโหมดไนท์แมร์ต่างหาก!

ก่อนเกมกับเชลซีในคืนวันพรุ่งนี้ ตามธรรมเนียมปกติผู้จัดการทีมก็จะให้สัมภาษณ์ก่อนเกมเหมือนทุกๆครั้ง ซึ่งวันนี้มีหัวเรื่องที่น่าสนใจที่ลุงราล์ฟให้สัมภาษณ์ประเด็นต่างๆเอาไว้หลายอย่าง ประเด็นสำคัญๆในนั้นสะท้อนภาพวิสัยทัศน์ของเขาได้ดี และชี้ให้เห็นว่า สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปีนี้ ต้องเผชิญกับเรื่องที่หนักหนาสาหัสกว่าที่ทุกๆคนคิดไว้

ถ้าให้เปรียบเทียบ ซีซั่นนี้ทั้งโอเล่ และ รังนิค เหมือนเล่น Football Manager โหมด "Nightmare" ยังไงยังงั้น ถึงแม้ในเกมจะไม่ได้มีโหมดดังกล่าวจริงๆ แต่สิ่งที่ "ทีม" เป็นอยู่ มันคือภาระใหญ่คอดๆ ที่ต่อให้เก่งมาจากไหน ก็แพ้หัวใจคนอย่าง(พวก)เธอแน่นอน

ราล์ฟหล่นคำพูดสำคัญๆเอาไว้เพียบในวันนี้หลากหลายประเด็นมากๆ

ข้อมูลล่าสุด รังนิคยืนยันก่อนเกมว่า นักเตะที่จะไม่พร้อมลงสนามในวันพรุ่งนี้คือ แฮรี่ แมกไกวร์, เจดอน ซานโช่, ปอล ป็อกบา, เฟร็ด, เอดินสัน คาวานี่ และ ลุค ชอว์ รวมทั้งหมด 6 คนด้วยกัน

แฮรี่ แมกไกวร์นั้นมีปัญหาบาดเจ็บบริเวณเข่า และข่าวเพิ่มเติมจากเดลี่เมล์บอกว่า อาการบาดเจ็บนี้ของแมกไกวร์อาจจะทำให้เขาต้องพักหลายสัปดาห์ และมีสิทธิ์พลาดโปรแกรม 4 นัดสุดท้ายของฤดูกาล

ข่าวนี้จากคริส วีลเลอร์ ที่อยู่ในระดับ tier 3 ความน่าเชื่อถือก็อยู่ระดับ so-so กลางๆ ก็ยังไม่แน่นอนว่าแมกไกวร์อาจจะกลับมาได้ก่อนเวลาดังกล่าวก็ได้ ประเด็นนี้ไม่มีปัญหา เพราะ CB ตัวอื่นฟิตสมบูรณ์กันเต็มทีมและพร้อมลงสนามมากกว่าเขาอยู่แล้ว

ส่วนเจดอน ซานโช่ สืบทราบตามรายงานว่าเป็นอาการต่อมทอนซิลอักเสบ

"เป็นไปได้นะที่จะนักเตะดาวรุ่งจะมีโอกาสลงสนาม เรามีนักเตะหลายคนที่หมดสิทธิ์ลงเล่น ในขณะที่มีอีกคนสองคนที่อาการยังไม่ชัวร์ อาจต้องรอดูดพรุ่งนี้กันอีกทีว่า อารอน วานบิสซาก้าลงสนามไหวไหม"

"ส่วนเขา(คาวานี่) จะกลับมาซ้อมวันศุกร์ หลังจากเล่นเกมกับเชลซีหนึ่งวัน โดยแพทย์แจ้งว่าเขาจะกลับมาลงฝึกซ้อมได้ เขาหายไปพักหนึ่งแล้ว"

"เรื่องบรรดานักเตะที่เจ็บนั้น โชคร้ายที่เฟร็ดยังไม่พร้อมลงสนาม เขาพยายามซ้อมแล้วนะเมื่อวาน แต่หลังจากซ้อมเราก็ได้พูดคุยกันอยู่พอควร และเขาบอกผมว่าเขายังไม่ฟิตเต็ม100เท่าไหร่"

"คือกับนักเตะอย่างเฟร็ดที่ทุ่มเทเต็มที่มากๆนั้น มันไม่เข้าท่าเท่าไหร่ถ้าจะส่งเขาลงทั้งๆที่มีปัญหาบาดเจ็บกล้ามเนื้ออยู่ เพราะแบบนั้นดีไม่ดีมันจะเจ็บซ้ำเข้าไปอีก และผมไม่อยากทำให้มันเกิดขึ้น"

"ดูเหมือนว่าตอนนี้เรามีตัวจริงชุดใหญ่อยู่แค่ 14 คนที่พร้อมลงสนาม ดังนั้นอาจจะมี 3-4 คนเลยที่เป็นนักเตะดาวรุ่งและอาจจะได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม"

"ผมส่งฮันนิบาลลงเล่นในเกมลิเวอร์พูลแล้ว เพราะงั้นมันก็เป็นไปได้ แต่กับนักเตะดาวรุ่งเราต้องยุติธรรมกับพวกเขาให้มากที่สุด การจะได้ลงสนามมันจะต้องเป็นเวลาที่เหมาะสมพอดี พวกเขาก็จะลงไปเล่นได้ดีและโชว์ฟอร์มได้เยี่ยมด้วย มันไม่ใช่มีแค่เรื่องที่ว่าจะต้องผลักดันและให้โอกาสพวกเขาลงสนามเท่านั้น มันต้องถึงเวลาที่เหมาะสมด้วยจึงจะถูก"

"เหลืออีกสี่เกมให้เล่น สองเกมข้างหน้าคือเกมเหย้าที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เราจะพยายามเก็บแต้มให้มากที่สุด และจะชนะให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งถ้าจะให้มันสำเร็จเราก็จะต้องเล่นด้วยระดับคุณภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เรามี"

"ประเด็นที่จะยังลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีกนั้นผมคิดว่ามันไม่เมคเซนส์นะถ้ายังมัวพูดกันถึงแต่เรื่องนั้นอยู่ เราต้องรู้จักอยู่กับความเป็นจริง เพราะถึงจะชนะรวดสี่เกม ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราอีกแล้ว"

"สิ่งที่เราทำได้จริงๆคือเรื่องของวิธีการเล่นของทีม และระดับของประสิทธิภาพในการเล่นที่แสดงออกมา มันเป็นเรื่องที่สำคัญในการที่จะจบอันดับให้ดีที่สุดสำหรับซีซั่นนี้"

"มันสำคัญมากๆสำหรับนักเตะในการที่จะทำความรู้จักผู้จัดการทีมคนใหม่เอาไว้ และแสดงให้เขาได้เห็นว่าพวกเราสามารถชนะทีมอย่างเชลซีได้ นั่นแหละคืองานที่แท้จริงของเรา มันคือสิ่งที่ทุกๆคนต้องทำ เราทำงานกันมาเพื่อสิ่งนี้"

"เรื่องภายในทีมนั้น แน่นอนว่าถ้าผลการแข่งขันมันไม่ค่อยดี และเราก็แพ้มาสามนัดจากสี่เกมล่าสุด ทั้งเรื่องของอารมณ์ พลังงานในห้องแต่งตัวมันย่อมจะไม่ค่อยดีอย่างที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว แต่เราก็จะต้องเดินหน้าต่อไปเพราะนี่คือราคาที่เราต้องจ่ายจากสิ่งที่เราทำ"

"การต่อสัญญาใหม่กับบรูโน่แสดงให้เห็นแล้วว่าสโมสรนี้ยังมีมนต์ขลังอยู่ ด้วยผู้จัดการคนใหม่ที่จะเข้ามา กับวิธีบริหารจัดการใหม่ๆ สโมสรนี้ยังมีความน่าสนจอยู่ แต่ก็นั่นแหละ มันจะดีกว่าอยู่แล้วถ้าเราได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกปีหน้าด้วย แต่ว่าทีมอื่นที่ไม่ได้ไปก็เจอผลกระทบเหมือนกับเราเช่นกัน และเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาแค่เรื่องเดียวของแมนยูไนเต็ด มันมีเรื่องอื่นอีก"

"ตัวผมรอที่จะได้ช่วยเหลือเอริคและทุกๆฝ่ายที่สโมสรนี้ให้ไปได้ดีที่สุด และเปลี่ยนแปลงแนวทางทั้งระบบในซีซั่นหน้า เพราะงั้นแมนยูไนเต็ดยังมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปในระดับแนวหน้าอยู่"

ทั้งหมดนี้คือคำสัมภาษณ์ก่อนเกมที่คัดมาส่วนเนื้อหาที่สำคัญๆ ซึ่งก็ยังคงเป็นไปตามสไตล์ของลุงราล์ฟแก พูดทุกอย่างตรงๆบนมุมมองที่เป็นจริง ไม่ด่าจิกกัดมากไป หรือไม่อวยปกป้องกันอย่างเดียว

ทัศนคติที่เราสามารถสัมผัสจากรังนิคได้คือ เรื่องของ "เหตุและผล" เป็นประเด็นสำคัญที่สุดบนการทำงานของเขา ซึ่งเป็นธรรมชาติของบุคลากรสายบอลเยอรมันอยู่แล้ว

ก็ถ้าวัฒนธรรมภายในสโมสรอะไรบางอย่างที่มันขัดกับเหตุและผลของรังนิค แปลว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่างแน่ เพราะวิสัยทัศน์และวิธีการapproachดูแลงานของเขา มันมีระบบระเบียบที่แน่นอนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

ถอดคำให้สัมภาษณ์ของเขา ประเด็นแรกที่เป็นคำตอบของแฟนผีในอีกไม่กี่เกมที่เหลือนี้ว่า ทำไมราล์ฟถึงไม่ส่งลูกกรอกคะนองทั้งหลายลงเป็นตัวจริง ในเมื่อมันไม่เหลือลุ้นอะไรแล้ว อย่างที่แฟนผีหลายคนเรียกร้องและต้องการให้รังนิคใช้นักเตะดาวรุ่งลงสนามมาเลย ทั้งฮันนิบาล หรือ การ์นาโช่ก็ตาม

บทสัมภาษณ์นี้คือตัวแทนและคำตอบของทุกอย่างแล้ว ขอบคุณมากๆที่ราล์ฟพูดออกมาเอง ในยามที่เราต้องอธิบายกับแฟนบอลอยู่บ่อยๆว่า "นักเตะเยาวชนดาวรุ่ง" ของสโมสรเรานั้น อยู่ในสถานะที่จำเป็นต้องค่อยๆให้โอกาสเมื่อถึงเวลาที่พวกเขา "พร้อม" พอจะลงสนามแล้ว

การรีบร้อนส่งเด็กลงสนาม อาจจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าเด็กยังไม่ได้อยู่ในระดับการเล่นที่ "ได้มาตรฐาน" ของฟุตบอลซีเนียร์ การจัดเลเวลตามรุ่นนักเตะ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกสโมสรบนโลกนี้แยกทีมระดับ U-23s / U-21s / U-18s เอาไว้

เราเข้าใจว่าใจร้อนอยากให้เด็กๆลง ไหนๆก็ไม่มีโอกาสจะติดท็อปโฟร์แล้ว ในฐานะที่เป็นคนตามดูดาวรุ่งของทีมมาตลอดอีกคนหนึ่ง ผู้เขียนก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน

แต่ต้องไม่ใช่การรีบร้อน

ประเด็นสำคัญอย่างแรกก็คือ เกมการเล่นอย่างเป็นทางการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยังคง "มีผล" ที่สำคัญต่ออันดับในลีก ที่จะส่งผลต่อการได้ไปเล่นในฟุตบอลยุโรปปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นยูโรปาลีก หรือ คอนเฟอเรนซ์ลีกก็ตาม

เราไม่สามารถทำเป็นเล่นๆด้วยการส่งเด็กเยาวชนที่ยังไม่พร้อม ลงไปเป็นตัวจริงได้เลยในทีเดียว

ผลการแข่งขันยังจำเป็นอยู่ จนกว่าจะถึง 1 หรือ 2 นัดสุดท้าย หากว่ามันไม่มีผลอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าทีมจะชนะหรือแพ้ นั่นแหละถึงจะเป็นจุดที่ผู้จัดการทีมจะสามารถลองนักเตะเหล่านี้ได้แบบเต็มๆด้วยการส่งลงสนามให้ได้ลงเล่นเก็บชั่วโมงบินให้มากที่สุด

การส่งเด็กพวกนี้ลงไปเล่นเลยทันทีไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนระบบอะคาเดมี่ที่ต้องค่อยๆฟูมฟักนักเตะไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลา อย่างที่ราล์ฟบอกเองในบทสัมภาษณ์นี้

อดใจกันอีกนิด มันเหลือเกมอีกไม่มากแล้ว และเกมเจอเชลซีนี้ ราล์ฟบอกเองว่า นักเตะที่availableของชุดใหญ่มีน้อยมากๆ โอกาสที่จะได้ดูพวกการ์นาโช่ ฮันนิบาล ชอเรติเร รวมถึงอัลวาโร่ เฟอร์นันเดซนั้น จะค่อยๆมากขึ้นในช่วงเกมหลังๆแน่นอน

การส่งเด็กลงสนามถ้าทำไม่ดี อาจจะส่ง "ผลลบ" ต่อตัวนักเตะ มากกว่าผู้เล่นดังกล่าวจะได้ประโยชน์จากประสบการณ์การลงสนาม นี่คือเรื่องสำคัญอย่างแรกที่ราล์ฟ แสดงให้เห็นวิธีการที่ถูกต้องแล้วของเขา

ประเด็นที่สอง เรื่องของโอกาสลุ้นท็อปโฟร์ที่ตัวเขาเองออกมาเบรคและตบหน้าแฟนบอลให้ตื่นจากฝันด้วยตัวเองว่า เลิกนึกถึงท็อปโฟร์ได้เลย เพราะการจะหวังสูงเช่นนั้นกับฟอร์มการเล่นของทีมอย่างที่เห็น มันเป็นอะไรที่ไม่เมคเซนส์ สัมภาษณ์ครั้งที่แล้วแฟนบอลโดนแบบนี้ไปหนึ่งดอก จนหลายๆคนเริ่มทำใจได้และได้สติกับเรื่องนี้

แบบแผนและการบริหารทิศทางขององค์กร ยังไงราล์ฟที่ถนัดในงานฝ่ายบริหารอยู่แล้วนั้นไม่มีที่ติแน่นอน แต่ประเด็นที่เขาทำทีมได้ผลการแข่งขันที่ไม่ดีพอก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเหมือนกัน

เพียงแค่ว่าต้นสายปลายเหตุ และองค์ประกอบของผลการแข่งขันที่เกิดขึ้น ถ้าพิจารณาจริงๆผมคิดว่าคนที่ต้องรับผิดชอบมันไม่ใช่ผู้จัดการชั่วคราวอย่างเขาแค่คนเดียวที่ผิดและเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ราล์ฟผิด นักเตะผิด และอีกหลายๆปัจจัยของทีมเรามันคือต้นเหตุทั้งสิ้น

แต่ในขณะที่บางฝ่าย ไม่ว่าจะแฟนแมนยูเอง หรือมุมมองวิพากษ์วิจารณ์จากคนภายนอกที่เชียร์ทีมอื่น ก็โถมเข้ามาตีใส่รังนิคไปเน้นๆว่า เพราะผู้จัดการไม่มีฝีมือพอ ราล์ฟของปลอม เป็นได้แค่ผู้วางนโยบาย ฯลฯ พูดกันไปต่างๆนานา

แต่จริงๆแล้วปัจจัยของผลงานย่ำแย่ในปีนี้ มันเป็นเพราะรังนิค ไร้ฝีมืออย่างเดียวเลยจริงๆหรือ?

ไม่ครับ ไม่เลย

คำให้สัมภาษณ์ระยะหลังของรังนิค เปิดเผยชัดเจนแล้วว่า ระบบที่เขาต้องการจะให้นักเตะ อย่างที่พวกเราพูดคุยกันตั้งแต่เขาเข้ามาใหม่ๆแล้วนั้น สรุปสุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ของมันแตะอยู่ในจุดที่ย่ำแย่ นั่นก็คือ นักเตะไม่สามารถรองรับวิธีการเล่นที่เขานำเข้ามาปรับปรุงได้มากพอ ถ้าจะเอาเท่าที่เห็นมันกระเตื้องขึ้นแค่นิดเดียวจริงๆ

ให้นับเป็นตัวเลข? ผมคิดว่ายังไปไม่ถึง 50% ของสิ่งที่รังนิคต้องการจะให้ทีมperformออกมาให้ได้เลยซะด้วยซ้ำ

นักเตะในทีมจำนวนมากมีฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ ทั้งวิธีการ ความเข้าใจเกม ความมุ่งมั่น สมาธิ และ "ใจ" ที่ไม่สู้มากพอ ซึ่งเห็นได้ชัดผ่านภาษากายในสนามว่า มึงไม่สู้เพื่อทีมเลยจริงๆ

แล้วย้อนกลับไปเมื่อต้นฤดูกาล ที่หลายๆฝ่ายบอกว่า "โอเล่คุมทีมยังดีกว่าเลย" แต่บางคนเหล่านั้นอาจจะลืมสกอร์ 0-5 คาโอลด์แทรฟฟอร์ด / แพ้เลสเตอร์ 4-2 / แพ้ยังบอยส์ 2 - 1 หรือแม้กระทั่ง บุกไปแพ้ทีมระดับวัตฟอร์ด 4-1 ก็ตาม

แบบนี้เรียกว่า ผลงานในซีซั่นนี้โอเล่ดีกว่าจริงๆหรือ?

ไม่เลย สิ่งที่โอเล่ และ รังนิคทำ คือความพยายามที่จะทำให้ทีมเราเล่นกันได้ดี และเก็บชัยชนะให้ได้มากที่สุดทั้งคู่ สองคนนี้มีจิตใจที่อยากจะเห็นทีมดีขึ้นเหมือนกันเป๊ะๆ

ดูสภาพทีมตอนนี้เอาแล้วกันว่า โอเล่ กับ รังนิค ก็ไม่สามารถเอาอยู่ได้เหมือนๆกัน เพราะมันคือ "ปัญหาของเราในซีซั่นนี้" ที่คนเข้ามาเป็นเฮดโค้ชของทีม ไม่ว่าจะถาวร หรือคนที่เข้ามารับเผือกร้อนคุมทีมชั่วคราวอย่างรังนิคต้องเจอ กับอำนาจที่ไม่ได้มีเต็มมือเลยในฐานะผู้จัดการทีมชั่วคราวของเขา

นักเตะที่เขาต้องการก็ไม่มีสิทธิ์ซื้อ(เพราะต้องรอผู้จัดการคนใหม่เข้ามาเลือก) แถมผู้เล่นในทีมหลายคนก็อีโก้จัดๆ บางคนคุณภาพไม่ถึง บางคนไร้ใจไร้ความเคารพสโมสรก็มี

ผลการเล่นของปีศาจแดงที่ล้มเหลวมากๆจนนับกันไม่หวาดไม่ไหวในซีซั่นนี้ จึงไม่สามารถเบลมราล์ฟ รังนิคคนเดียวได้เลย ถ้าไม่ bias จนเกินไปอย่างที่เราเห็นคอมเม้นเหล่านี้ในอินเตอร์เน็ตบ่อยๆเรื่องที่เขาไม่เคยคุมทีมใหญ่คว้าแชมป์มา

อีกประเด็นที่กำลังก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งสำหรับกระแสการไล่ตระกูลเกลเซอร์ ที่จะรวมตัวกันประท้วงหน้าโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้งก่อนเกมที่ทีมจะเปิดบ้านเจอเชลซีในวันพรุ่งนี้

นี่คืออีกประเด็นที่ทั้งโอเล่ และ ราล์ฟ ต้องรับมือกับ "บอสใหญ่" ของเรื่องนี้ที่ตบทีเลือดลดไปครึ่งหลอด แล้วเราต้องสู้กับมันโดยไม่มีไอเท็มฮีลตัวเอง และกระสุนปืนจำกัด

มันคืออำนาจในมือ การเสริมทัพซัพพอร์ตจากสโมสรที่ไม่ตรงจุด และนโยบายบริหารที่ยังมีปัญหานั่นเอง

เชื่อว่าหลายๆคนที่ติดตามอ่านคอลัมน์กันตลอดคงอยากจะให้ผู้เขียนซัดถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริงบ้าง แน่นอนอยู่แล้วว่า ตระกูลเกลเซอร์คือเบื้องหลังของความเลวร้ายดังกล่าว ที่มันจะจบสิ้นได้ยากถ้าตราบใดที่กลุ่มตระกูลแฟมิลี่นี้ยังคงครอบงำดินแดนที่ตั้งอยู่ ณ ถนน Sir Matt Busby Way, MANCHESTER, M16 0RA แห่งนี้อยู่

ก่อนหน้านี้เรารู้อยู่แล้วว่าระบบการทำงานและโครงสร้างฝ่ายบริหารของเรามันแย่มากๆ ไม่มีแม้กระทั่งผู้อำนวยการฝ่ายต่างๆ งานทุกอย่างอยู่ในมือลอร์ดเอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่เก่งเรื่องการตลาดแค่อย่างเดียว แต่คนควบคุมนโยบายไม่มีเลย

งบประมาณที่จำกัดจำเขี่ยและ "ไม่ใจ" ในการกล้าลงทุนในแต่ละดีล ก็ถือเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ย่ำแย่ของที่นี่ ในขณะที่คู่แข่งถ้าเขาเห็นว่า ทีมต้องการอะไร เงินถูกจ่ายออกไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพื่อเสริมทีมทันที

ไนท์แมร์โหมดมั้ยล่ะมึง

แต่ของเรา ก็อย่างที่รู้ๆกัน เม็ดเงินส่วนใหญ่ซื้อนักเตะระดับบิ๊กเนมที่มีชื่อเสียงเน้นๆ และหลายๆครั้งพลาดเป้าหมายที่ดีๆไปมาก เพราะไม่ยอมจ่ายเงินค่าตัวที่ควรจะจ่าย

ปัญหานี้ลากยาวไปถึงทีม recruitment ของสโมสร โดยเฉพาะแผนก Scout ของแมนยูไนเต็ดที่มีปัญหามาชาติกว่าๆแล้ว มักจะโดนคู่แข่งตัดหน้านักเตะฝีเท้าดีไปก่อนเสมอ และที่หาๆมา มีที่ดีๆนับได้รายหัวเลย

สองเคสล่าสุดที่เงินหายไปเกินร้อยล้านก็คือ แฮรี่ แมกไกวร์ กับ อารอน วานบิสซาก้าเนี่ยล่ะที่น่าเจ็บใจมากๆ

นี่ละครับ ปัญหาของทีมเราที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับ ราล์ฟ รังนิค ต้องคุมทีมเหมือนกับเล่นโหมดไนท์แมร์อยู่ตลอดเวลาในการต้องพาแมนยูไนเต็ดที่นักเตะในทีมก็หัวตก ฟอร์มแย่ แถมสภาพไม่สมประกอบที่ยังขาดผู้เล่นในตำแหน่งสำคัญๆอีกหลายจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองกลางที่โหว่มากๆในเรื่องคุณภาพ ส่วนผู้เล่นที่มีคุณภาพอย่างมาต้า มาติช ก็อายุเยอะจนเป็นdeadwoodไปแล้ว พวกเขาสองคนถ้าใช้งานในการเป็นตัวเสริม ลงมาช่วยทีมช่วงท้ายๆเกม เป็นสำรองยามจำเป็นน่ะ ดีแน่นอน คลาสสองคนนี้สูงลิบลิ่วอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้ก็เห็นๆอยู่ว่า แม้แต่ป็อกบาเอง ก็ยังฟอร์มสู้มาติชไม่ได้ ในขณะที่แม็คโทมิเนย์พึ่งพายังไม่ได้เลยในซีซั่นนี้ แล้วมีเพียงเฟร็ดคนเดียวที่ฟอร์มดี และลงสนามต่อเนื่องมาทั้งซีซั่น

ผลสุดท้ายแม้ใจจะสู้ขนาดไหน แต่เฟร็ดก็ต้านทานลิมิตเกจของกล้ามเนื้อตัวเองไม่ได้ (เพราะไม่ได้พักเลย) จนบาดเจ็บหายไปจากทีมหลายนัดมากๆแล้ว

คงไม่ต้องพูดถึงคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ย้ายเข้ามานอกจากจะไม่ได้ลุ้นแชมป์แล้ว ยังต้องแบกทีมคนเดียวจนหลังหักด้วย ในยามที่ไอ้พวกรุ่นน้องในทีมไม่เคยแบ่งเบาภาระอะไรให้เขาเลย

แต่กระนั้นก็ยังยิงคนเดียวไป 22 ประตู กับ 3 แอสซิสต์แล้วในฤดูกาลนี้รวมทุกถ้วย

อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วรู้สึกห่อเหี่ยวใจใช่มั้ยล่ะครับ ผมก็เหี่ยวครับ -*- แต่จำเป็นต้องเขียน ทั้งๆที่เราไม่อยากจะมานั่งซ้ำเติม หรือชี้ประเด็นเหล่านี้ให้แฟนผีอ่านเลย เพราะเชื่อว่าหลายๆคนรู้อยู่แล้ว

แต่มันก็จำเป็นต้องเขียนจริงๆ ในยามที่อดีตผู้จัดการทีมอย่างโอเล่ กุนนาร์ โซลชา โดนด่าเหมือนหมูเหมือนหมา ในขณะที่ ราล์ฟ รังนิค ไม่มีใครให้เกียรติเขาเลย ทั้งๆที่นี่คือบุคลากรระดับพลิกโฉมหน้าฟุตบอลเยอรมันให้กลายมาเป็นบอลสมัยใหม่

และใครที่ชอบแซะเรื่องผลงานรังนิค แล้วเอาไปประชดประชันว่าเป็นอาจารย์คล็อปป์นั้น บอกเลยว่าเป็นการแซะที่ไร้สาระมากๆ เพราะคนที่พูดนั้นอาจจะไม่เคยรู้จักกับคำว่าให้เกียรติ และไม่เคยรู้ข้อมูลอะไรเลยด้วยซ้ำว่า สองคนนี้ความสัมพันธ์เป็นยังไง และ JK ให้เกียรติราล์ฟขนาดไหน

ฟุตบอลของลิเวอร์พูลยุคนี้ รากฐานแรงบันดาลใจมันมาจากราล์ฟ รังนิคเต็มๆ ทั้งวิธีการบริหาร และมุมมองแง่คิดการทำทีม คล็อปป์ได้แบบอย่างที่ดีไปจากราล์ฟ และต่อยอดพัฒนาจนสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มขีดความสามารถของตัวระบบที่มันควรจะเป็น ลิเวอร์พูลชุดนี้แหละคือภาคสมบูรณ์ที่สุดซึ่งเป็น Ideal System ที่ราล์ฟ รังนิคต้องการจะทำ

JK คือคนที่สานฝันให้บอลที่ราล์ฟวางทฤษฏีเอาไว้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ นั่นคือเครดิตของทั้งคล็อปป์และราล์ฟ ที่แฟนบอลควรต้องรู้แบ็คกราวน์ของมัน และควรต้องให้เกียรติทั้งสองคนนี้

ที่เขียนๆมานี่ จริงๆแล้วราล์ฟเองก็ต้อง "รับผิดชอบ" ในสิ่งที่ตัวเองพาทีมทำผลงานได้แค่นี้เช่นกัน

หลายๆครั้งมีแทคติกบางอย่างที่เตรียมมาแล้วยังไม่เข้าเป้า

และบ่อยครั้งที่เลือกตัวนักเตะ "บางคน" ด้วยชุดความคิดที่ยังไม่ดีพอและไม่สมเหตุสมผลในการจะพาทีมทำผลงานให้ดีที่สุดได้ (พูดกันตรงๆก็คือเคสแฮรี่ แมกไกวร์นี่แหละ เราตำหนิกันที่ฟอร์มการเล่นนะครับ ไม่ด่ากันหยาบๆคายๆนะ)

และการที่ไม่สามารถคุมห้องแต่งตัวได้อยู่ เพราะอำนาจในมือ และความต่อเนื่องในการทำงานไม่มี เนื่องจากว่าอีกไม่นานก็จะลงจากตำแหน่งแล้ว

conditionที่เจอก็ส่งผลกระทบต่อสกอร์การแข่งขัน และในภาคการบริหารและจัดการทีมการเช่นกัน

มันไม่ได้แปลว่าราล์ฟแย่ แต่มันแปลว่า เขาไม่เทพพอจะสามารถเล่นผ่านโหมดไนท์แมร์นี้ได้

แค่นั้นเอง..

ในภาวะการทำทีมมาช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มันเป็นเวลาที่สั้นมากๆ กรอบระยะเวลาให้เขาพิสูจน์ตัวเองแทบจะไม่มีเลย และต้องมารับช่วงต่อทีมที่อยู่ในสภาวะเหมือนคนล้มละลาย ไม่มีอะไรซัพพอร์ตเลยสักอย่าง มันคือโหมดนรกที่สุดเท่าที่ผู้จัดการคนนึงจะต้องเจอ

เมื่อทีมไปไม่รอดในซีซั่นนี้ มันแปลว่า เขาผ่านด่านนี้ไม่ได้ และเขาไม่ได้เก่งพอจะทำให้ความฝันแฟนผีที่จะเอาตัวรอดซีซั่นที่แหลกเหลวนี้ได้สำเร็จ เรื่องนี้คือคำตอบต่องานการเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวของเขา ว่าสุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถแบกปัญหาขนาดใหญ่นี้ได้ไหว และต้องรอล้างไพ่ใหม่กันในปีหน้า

นี่คือบทสรุปของเขากับซีซั่นนี้ในบทบาทผู้จัดการทีม ราล์ฟล้มเหลวจริง แต่มันคือการล้มเหลวในโหมดยากที่ไม่มีอะไรมาซัพพอร์ตเขาเลยแม้แต่อย่างเดียวนั่นเอง

ย้อนกลับไปสมมติฐานด้านบน มันจึงเป็นข้อที่เรารู้สึกว่า ถ้าจะตำหนิเขาแต่เพียงฝ่ายเดียวว่าทำทีมห่วย อันนี้คือเป็นการคิดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงแน่นอน

คำพูดที่ดีที่สุดในวันนี้ของราล์ฟ รังนิค ในการให้สัมภาษณ์ คือประโยคที่ว่า "I don't think it makes sense now to still speak and speculate about the Champions League, we need to be realistic." หรือที่แปลไปแล้วว่า ประเด็นเรื่องแชมเปี้ยนส์ลีกนั้น สื่อและแฟนบอลควรที่จะยอมรับและเลิกนำมาพูดคุยกันได้แล้ว เพราะเราควรอยู่กับความเป็นจริง

แกพูดตรงอย่างนี้เสมอ ไม่ว่ามันจะถูกใจนักเตะในทีมหรือไม่ก็ตาม ทั้งเรื่องที่ต้องล้างบางทีมและนำเข้านักเตะมาใหม่ตั้งแต่ 7 ถึง 10 คนถึงจะพอ

คนตรงที่ว่ากันตรงๆด้วยเหตุผลแบบนี้แหละ คือสิ่งที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องการ ไม่ใช่เป้าด่าโจมตีกันอย่างไม่ให้เกียรติจากแฟนบอลที่ตั้งแง่เหล่านั้น

โซลชาก็เช่นกัน

สิ่งที่สองคนนี้ทำ มันคือสิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่ทั้งคู่จะทำได้แล้ว ต่อการพาเรือนรกที่บรรทุกปีศาจแดงที่ไร้พลังงานทั้งหลายให้เดินหน้าฝ่าคลื่นลมทะเลคลั่งที่เรายังหาทางออกจากมันไม่ได้สักที

อริค เทน ฮาก จะเป็นคำตอบสำคัญที่อาสาเข้ามาเล่นเกมในโหมด Nightmare ของเซฟนี้ต่อไป แต่เขาจะไม่เดินเดียวดายเหมือนที่สองผู้จัดการทีมก่อนหน้านี้เผชิญมาอย่างแน่นอน

ราล์ฟ รังนิค กับ เอริค เทน ฮาก สองบุคลากรคนสำคัญนี้จะทำให้แฟนบอลมีความหวังอีกครั้งด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบที่ชัดเจน ด้วยคุณภาพฟุตบอลที่จะพัฒนาเข้าสู่การเป็นสโมสรฟุตบอลสมัยใหม่กับเขาสักที

เล่นต่อไปเลยไม่ต้องรีเซฟ ผมว่าสองคนนี้เอาอยู่

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด