:::     :::

"สู่ยอดภูเขาน้ำแข็ง และไฟที่บรรเลงบนขอบเหวนรก" Peter Schmeichel

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,980
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
จุดเปลี่ยนของชไมเคิล จาก "นักเตะเก่ง" คนหนึ่ง พุ่งขึ้นสู่ความเป็น "ตำนาน" และเพลิงอารมณ์กับป๋าเฟอร์กี้ที่เกือบกลายเป็นไฟเผาลงสู่ขุมนรกไปแล้ว!!!

ผู้คนส่วนใหญ่จะมีภาพจำของปีเตอร์ ชไมเคิลที่ชัดเจนในปีที่คว้าทริปเปิลแชมป์สำเร็จด้วยการที่เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีม และพาปีศาจแดงเอาชนะในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศปี 1999 หรือถ้าย้อนไปเก่ากว่านั้น แฟนบอลที่ทันดูฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ก็จะจำเขาได้ในฐานะส่วนหนึ่งของทีมชาติเดนมาร์กที่คว้าแชมป์ยูโร 92 สร้างเทพนิยายเดนส์ได้สำเร็จ

การประสบความสำเร็จสูงสุดเช่นนี้ของชไมเคิล คือตัวอย่างหนึ่งของนักเตะที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรถ้าผู้คนจะคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาได้นั้น เกิดจากร่างกายที่เอื้ออำนวยในเชิงกายภาพ รวมถึงการฝึกฝนฝีมือมานานแรมปี กับความสูง 191 cm ทำให้ระยะการเซฟค่อนข้างได้เปรียบ รวมถึงการทุ่มเทผ่านการฝึกซ้อมในสนามอย่างหนัก ในชุดนักเตะสไตล์โอเวอร์ไซส์ XXXL ของเขา

แต่มันอาจจะมีปัจจัยแห่งความสำเร็จเรื่องอื่นนอกเหนือจากข้อได้เปรียบเชิงกายภาพและการทำงานหนักเพียงอย่างเดียวก็ได้

การมุ่งมั่นทุ่มเทในการฝึกซ้อมนั้นสำคัญมากสำหรับการประสบความสำเร็จ แต่การจะรู้ว่าเราควรโฟกัสกับการพัฒนาในด้านใดอย่างถูกต้องนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน

ชไมเคิลอาจจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุด แต่ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่แฟนบอลยังไม่รู้เกี่ยวกับเขา

ก่อนจะมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ชไมเคิลทำงานมาแล้วทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคนงานในโรงงานทอผ้า, งานทำความสะอาดบ้านพักคนชรา, ทำงานในสำนักงานของกองทุนพิทักษ์สัตว์ป่าสากล รวมถึงการรับราชการทหารภาคบังคับ

แต่จุดเริ่มแรกสู่การหันเหเข้าสู่โลกฟุตบอล คือเขาได้รับการยื่นเสนอสัญญาจากทีมฟุตบอลที่ชื่อว่า Hvidovre โดยในฤดูกาลแรก ชไมเคิลกับ Hvidovre จบในอันดับที่ 14 ของลีก และตกชั้นลงไปในปี 1985

ชไมเคิลก็คงจะหงุดหงิดกับโค้ชของเขาอย่างมาก เพราะเจ้าตัวทำอย่างเต็มที่แล้วที่โกลระดับชั้นนำจะสามารถทำได้ สถิติการเล่นดีที่สุดเป็นอันดับห้าของทั้งลีก และการเสียประตูแค่ 40 ลูกจาก 30 เกมเท่านั้นคือความยอดเยี่ยมเท่าที่จะทำได้

แต่แม้ชไมเคิลจะสู้ชีวิตยังไง แต่ทีมของเขากลับไม่สู้ตามไปกับชไมเคิล และมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงตรงนี้

โค้ชของทีมได้พยายามกระตุ้นให้เขาข้ามขอบเขตไปให้ไกลกว่าบทบาทเดิมที่ตนเองเล่น และเป็นให้มากกว่าการเป็นแค่ผู้เล่นคนหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวหมุนเวียนในทีม

สุดท้ายแล้วชไมเคิลก็รับฟังโค้ชและก็ทำตามคำแนะนำดังกล่าว นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนในเส้นทางอาชีพของปีเตอร์ ชไมเคิลอย่างแท้จริง

การเล่นที่ทำลายกรอบเดิมๆ

ฤดูกาลถัดมา ชไมเคิลเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นของเขาอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะมุ่งแต่จะเก็บคลีนชีตให้ได้ เขาก็ทำลายกรอบการเล่นตามแบบแผนเดิมๆทิ้ง โดยจากตำแหน่งการยืนในสนามที่ได้เปรียบในการมองเห็นเกมการเล่นทั้งสนามได้ จุดนั้นมันทำให้ชไมเคิลสามารถอ่านเกมที่เกิดขึ้น และตะโกนบอกเพื่อนคนอื่นๆในทีมได้

การประสานงานกับผู้เล่น outfield ในสนาม มันทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของทีมนั้นเล่นได้ดีขึ้น และเมื่อใดที่ทีมตามอยู่ เขาก็จะเติมขึ้นไปบุกด้วยยามที่ได้ลูกเตะมุมที่โยนเข้าไปในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง

แทคติกที่ไม่ธรรมดาของเขาเช่นนี้ทำให้ตลอดการค้าแข้ง เจ้าตัวพังประตูได้ถึง 11 ลูกจากในตำแหน่งผู้รักษาประตู


ภายในระยะเวลาแค่ปีเดียว สโมสรก็กลับสู่ดิวิชั่น1อย่างรวดเร็ว และต่อมาสโมสร Brondby ก็คว้าตัวเขาไปลงเล่น และทำให้ทีมคว้ามาทั้งหมด 4 แชมป์จาก 5 ฤดูกาล จนพาให้เขาติดทีมชาติเดนมาร์กเป็นครั้งแรกในปี 1987 จนกระทั่งวันหนึ่งกลายเป็นโกลตัวจริง และก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมในที่สุด

การประสบความสำเร็จในเกมระดับชาติทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าตัวชไมเคิลในปี 1991 ด้วยสนนราคา 505,000 ปอนด์ ซึ่งเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พูดถึงดีลนี้เอาไว้ว่า มันคือ "ดีลแห่งศตวรรษ" ก่อนจะค้าแข้งอยู่ที่นี่เป็นเวลา 8 ปีเต็ม กวาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไป 5 สมัย, FA Cup สามสมัย, ลีกคัพ 1 สมัย และ แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก


นั่นคือเรื่องราวที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตอย่างแท้จริง เปลี่ยนจากการที่แสดงฝีมือคนเดียว กลายเป็นการแสดงฝีมือที่ทำได้ทั้งตัวเขาเอง และเพื่อนอีกทั้งทีมที่โชว์ฟอร์มได้ดีสม่ำเสมอไปด้วยจากการเล่นของเขา

นี่คือการยกระดับจากฟอร์มการเล่นธรรมดา ไปสู่ประสิทธิภาพการเล่นในระดับ Ultimate อย่างแท้จริง

เช่นเดียวกันกับเราทุกคนที่มีเป้าหมายหรือทำอะไรบางอย่าง ถามตัวเองดูว่าได้ลองออกจาก comfort zone บ้างหรือยัง เราจะสามารถเพิ่มมูลค่าในส่วนอื่นๆของงานหรือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ได้หรือไม่ มีโอกาสหรือช่องทางใดที่จะหาทางทำอะไรได้ไหม

เมื่อเริ่มคิดเช่นนี้ ตัวตนของคุณจะกว้างขวางขึ้น เคิร์ฟแห่งการเรียนรู้จะขยายมากกว่าเดิม รวมถึงมุมมองต่อความสำเร็จจะลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมจากที่เคยเป็นอย่างทวีคูณ

ความสำเร็จจะต่อยอดความสำเร็จขึ้นไปได้ มันจะช่วยพัฒนา performance ของทั้งตัวคุณเอง และของทีมให้ก้าวไปด้วยกัน จากเดิมที่ต้องการจะทำให้ตัวเองดีถึงจุดสุดยอดให้ได้แค่ตัวคนเดียว มองเห็นแต่อีโก้ของตัวเอง แต่ถ้าตั้งใจพาคนอื่นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ว่านั้นด้วย เราจะไปได้ไกลยิ่งกว่าที่คิดไว้หลายเท่านัก

"ยอดภูเขาน้ำแข็งที่สูงที่สุดในโลก ไม่อาจพิชิตได้โดยตัวคนเดียว" น่าจะเป็นคำนิยามที่ชัดเจนสำหรับจุดเปลี่ยนในเรื่องนี้

ไม่มีใครรู้.. วิธีคิดนี้และลองลงมือทำดู มันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของคุณก็เป็นได้

เรื่องราวที่น่าสนใจของเขายังมีอีกมากมายที่น่าสนใจ อย่างเช่นการนึกย้อนไปถึงผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดเท่าที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเคยมีมา ชื่อของปีเตอร์ ชไมเคิลจะต้องอยู่ในระดับท็อปๆของลิสต์ดังกล่าวเป็นแน่

ด้วยความโด่งดังมากกับความสามารถในการเซฟลูกยิงเก่งระดับเอกอุ กับความเป็นผู้รักษาประตูตัวท็อปสาย Shot Stopper การตะโกนสั่งเกมเพื่อนร่วมทีมก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงความสยองได้เห็นภาพทันทีเวลาที่นึกถึงตอนเขาตะโกนสั่งแนวรับเพื่อนร่วมทีม

บุคลิกภาพที่ค่อนข้างดุเดือดรุนแรงของเขา ก็ยังมีเรื่องให้แฟนบอลจดจำถึงอีกหลายๆเหตุการณ์ ซึ่งความเดือดส์ตรงนี้แหละที่เกือบจะทำให้ชไมเคิลต้องจบอาชีพค้าแข้งของเขาที่ยูไนเต็ดไปซะแล้ว จากเหตุการณ์โคตรตึงเครียดในห้องแต่งตัวระหว่างเขากับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เหตุการณ์ในตำนานนี้เกิดขึ้นในเกมเยือนแอนฟิลด์ปี 1994 ซึ่งยูไนเต็ดพลาดโอกาสทองไปอย่างเหลือเชื่อทั้งๆที่ขึ้นนำทีมศัตรูคู่อริตลอดกาลของพวกเขาถึง 3 เม็ด

ปีเตอร์ ชไมเคิลเล่าให้เจมี่ คาราเกอร์ฟังในการให้สัมภาษณ์ไว้ดังนี้

"มันคือเกมที่เรามีโอกาสจะชนะ 8-0 ซะด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายจบที่สกอร์ 3-3 เรานำก่อน 3-0 อย่างรวดเร็ว และมีโอกาสอีกมโหฬารที่จะยิงได้มากกว่านั้น"

"ผมรู้สึกว่าผมช่วยให้ทีมยังอยู่ในเกมอยู่ เพราะครึ่งหลังผมงานโคตรชุกเลย ก่อนที่สุดท้ายจะโดนตามตีเสมอ3-3ในที่สุด"

เจ้าตัวรู้สึกว่าเขาเล่นและทำผลงานได้ดีแล้ว และก็รู้สึกว่าเขาโดนตำหนิและวิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรมเลยจากผู้จัดการทีม

"สิ่งเดียวที่เขาพูดหลังจบเกมก็คือการพูดถึงเรื่องการเตะออกบอลของผม ครึ่งหลังผมต้องเตะบอลยาวออกไป 700 ครั้งเลยมั้ง และบอลก็พุ่งไปไกลถึง 80 หลา แต่ไปเข้าหัวกองหลังคู่แข่งที่ตั้งหัวโหม่งกลับมา ซึ่งเขาเซ็งในเรื่องนั้น

"ผมก็แค่พูดเยอะไปหน่อย ผมน็อตหลุดและเสียความใจเย็นไปแล้ว เรื่องระหว่างผมกับเขาต้องการจะคุยกันในเรื่องนี้ คุณควรสามารถโต้แย้งได้ ไม่ว่าเขาจะโมโหยังไงก็ตาม คุณก็จะเถียงกลับและปกป้องตัวเองเช่นกัน"

"แต่ฉากนี้มันแย่มาก แมตช์ที่ว่าคือเกมวันเสาร์ และเรากลับมากันในวันจันทร์ เขายกหูโทรหาผม และสิ่งแรกที่เขาพูดกับผมเลยก็คือ นายรู้ไหมว่าฉันต้องปลดนายออกจากตำแหน่ง?"

แน่นอนว่า นายทวารของเราเจอแบบนี้มีหรือที่จะถอย บิ๊กพีทก็ตอบกลับไปเลยตามที่เขาเล่าเอาไว้ว่า "ตอนนั้นผมก็ยังโมโหอยู่เหมือนกัน ผมเลยสวนไปว่า ได้ ถอดผมไปเลย ตอนนั้นผมนี่โง่มากที่พูดออกไป และหลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ในห้องแต่งตัวขึ้น หลังจากที่เขาคลั่งแบบสุดๆแล้ว"

วันจันทร์นั้นชไมเคิลก็กล่าวคำขอโทษต่อเพื่อนร่วมทีม ซึ่งโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าป๋ายืนอยู่อีกฝั่งของประตูและยืนฟังอยู่ด้วย เป็นความบังเอิญที่มาได้ถูกเวลาจริงๆ

"คือในทีมกำลังจะเดินออกไปที่สนามพอดี แล้วผมก็พูดกับคนในทีมว่า ผมอยากขอโทษในสิ่งที่ทำเมื่อวันเสาร์ สิ่งนี้ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน ผมขอโทษถึงผู้จัดการทีมด้วย และส่วนตัวคิดว่าผู้เล่นไม่ควรทำพฤติกรรมแบบนั้น ถ้าผมไปสบประมาทอะไรใครไว้ ผมอยากจะขอโทษจากใจจริงด้วยเช่นกัน"

ชไมเคิลพูดกับทีมตามนั้น


"และเอเย่นต์ก็เป็นคนเอาเรื่องนี้มาบอกกับผม เพราะเขาบอกกับเอเย่นต์ว่า เขายืนอยู่ข้างนอกห้องแต่งตัวและเขาก็ได้ยินมันแล้ว เขาเลยเปลี่ยนใจเพราะว่าผมเอ่ยปากขอโทษแล้ว"

"ผมไม่คิดว่าเขาอยากจะถอดผมจากตำแหน่งหรอก เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนักเตะคนอื่น เขาคุยกับผมคนเดียวเท่านั้น และเขาเป็นฝ่ายที่ถูกแล้ว ผมผิดตั้งแต่จุดแรกเริ่มของเรื่องนี้"


ไม่ว่าคำขู่ดังกล่าวของเฟอร์กี้จะขู่จริงหรือไม่ก็ตาม แต่การโต้เถียงในครั้งนั้นก็ยังไม่ใช่จุดจบของชไมเคิลกับแมนยูไนเต็ด หลังจากนั้นเขาก็ยังได้ค้าแข้งอยู่ที่นี่ต่อมาถึง 5 ปีนับจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเขาได้เดินออกจากโรงละครแห่งความฝันในจุดสูงสุดเท่าที่จะสวยงามที่สุดได้ในปี 1999 หลังจากที่ทีมคว้าสามแชมป์ประวัติศาสตร์ได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น

นี่คือเรื่องราวจุดเปลี่ยนในการปีนขึ้นสู่ยอดภูเขาน้ำแข็งของเขา และไฟแห่งความขัดแย้งที่เกือบพาเขาลงสู่ขุมนรก

สุดยอดผู้รักษาประตูระดับตำนานตลอดกาลของปีศาจแดง และหนึ่งในตำนานสุดยอดผู้รักษาประตูของโลกใบนี้

Peter Schmeichel

-ศาลาผี-

References

https://medium.com/clearscore/peak-performance-the-peter-schmeichel-story-3d0213961ce1?

https://www.givemesport.com/1760644-peter-schmeichel-tells-story-of-being-sacked-by-sir-alex-ferguson-following-bustup?


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด