ถ้าเรานึกกันดูดี ๆ นับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุม ลิเวอร์พูล เขาไม่เคยมีกองหน้าตัวเป้าประเภทโป้งปิดบัญชีให้ใช้งานดี ๆ เลยสักหน่อ ไม่ขอนับ บ๊อบบี้ ฟิร์มิโน่ นะครับ เพราะเราทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็นกองหน้าคนละสไตล์กันเลย เป็นพวกตัวเชื่อมเกม สร้างสรรค์เกมมากกว่าที่จะเป็นเพชรฆาตหน้าปากประตู ในบรรดากองหน้าของหงส์แดงที่ คล็อปป์ เคยได้หยิบจับมาใช้งานก็มี ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, คริสติยอง เบนเตเก้, แดนนี่ อิงส์, โดมินิค โซลันกี้ และที่เข้าท่าหน่อยก็คงเป็น ดิว็อค โอริกี้ แต่รายนี้ส่วนใหญ่ก็เด่นในฐานะตังสำรองเสียมากกว่า ถ้าจะพูดตรง ๆ ก็ต้องบอกว่า กองหน้าคนสุดท้ายที่ตรงตามสเป็คของ คล็อปป์ มากที่สุดก็คือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ สมัยคุม ดอร์ทมุนด์ นั่นแหละครับ เราอาจจะคุ้นเคยกับระบบ 4-3-3 กันก็จริง แต่ไปค้นข้อมูลดูจะพบว่าสมัยที่ คล็อปป์ ทำงานในถิ่นเสือเหลืองนั้น เขานิยมใช้ระบบ 4-2-3-1 มากกว่า โดยที่มี เลวานดอฟสกี้ ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าคอยคลำประตูให้ทีม แล้วทำไมพอมาคุมหงส์แดงถึงใช้ 4-3-3 ล่ะ? คำตอบอาจอยู่ที่ตำแหน่งกองหน้าตัวเป้านี่แหละครับ อย่างที่บอกไปในบรรทัดแรก ๆ ว่ากองหน้าที่มีให้ คล็อปป์ หยิบจับมาใช้งานนั้น ส่วนใหญ่ยังฝากความหวังอะไรมากไม่ได้ แต่พอทีมได้ มาเน่, ฟิร์มิโน่ และ ซาล่าห์ มาอยู่ในทีม การใช้ระบบ 4-3-3 จึงเป็นทางออกที่ลงตัวและได้ผลลัพท์ดีมากที่สุด เขาจึงยึดถือเป็นระบบการเล่นหลักมาจนทุกวันนี้ แต่การมาถึงของ ดาร์วิน นูนเญซ นั้น กำลังส่งสัญญาณที่สำคัญถึงแท็กติกที่อาจเปลี่ยนไปในฤดูกาลใหม่นี้ก็ได้ โอเคแหละที่ว่า นูนเญซ แกเล่นปีกซ้ายได้บ้างก็จริง แต่เชื่อเถอะครับว่าการลงทุนร่วม ๆ ร้อยล้านยูโรในคราวนี้ สิ่งที่ คล็อปป์ คาดหวังคือการทำประตูจาก นูนเญซ และคงไม่มีตำแหน่งไหนที่เข้าท่ากว่าการให้ดาวยิงชางอุรุกวัยไปยืนค้ำแดนหน้าอีกแล้ว โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยกย่องนายเก่าอย่าง คล็อปป์ มาก ๆ ว่าเป็นคนที่ช่วยยกระดับตัวเขาให้เก่งมากขึ้น รวมถึงยังรีดศักยภาพของความเป็นดาวยิงออกมาได้อย่างที่สุด "เจอร์เก้น คือคนที่เปลดปล่อยสัญชาตญาณของกองหน้าในตัวผมออกมา ในตอนแรกผมไม่รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพในตัวมากขนาดไหน แต่เขาเห็นบางอย่างในตัวผมซึ่งคนอื่น ๆ มองไม่เห็น" "เขาสอนผมมากมาย เมื่อผมมาถึง ดอร์ทมุนด์ ผมพยายามทำทุกอย่างอย่างด้วยความรวดเร็ว พยายามจ่ายบอลจังหวะเดียว ยิงให้เร็ว แต่เขาก็เข้ามาบอกผมว่าให้ใจเย็น ๆ ทำทุกอย่างให้ช้าลงบ้าง ถ้าจำเป็นจริง ๆ จะจับบอลให้นิ่งก่อนแล้วค่อยเล่นต่อก็ได้ ซึ่งมันขัดกับธรรมชาติของผมโดยสิ้นเชิง แต่ในไม่ช้าผมกลับทำประตูได้มากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ" "ตอนที่ผมเริ่มทำทุกอย่างช้าเกินไป เขาจะมาท้าทายให้ผมกลับมาเร่งความเร็วอีกครั้ง ให้ผมจับจังหวะเดียวแล้วยิงมากขึ้น เขาทำให้ผมตระหนักได้ถึงความสำคัญของจังหวะ มันฟังดูง่ายนะ แต่มันยาก และเขาก็เป็นอัจฉริยะตัวจริงเลย" คล็อปป์ พัฒนา เลวานดอฟสกี้ จนกลายเป็นกองหน้าตัวเป้าที่เก่งในระดับต้น ๆ ของยุโรป ซึ่งในไม่ช้านี้ นูนเญซ เองก็กำลังจะได้รับการขัดเกลาแบบเดียวกันอย่างแน่นอน ดาร์วิน นูนเญซ มีโอกาสที่เข้ามาแล้วจะทำให้เกิดควาทเปลี่ยนแปลงในแท็กติกของ ลิเวอร์พูล สูงเลยทีเดียว มีความเป็นไปได้ว่า คล็อปป์ จะขยับแผนการเล่นมาเป็น 4-2-3-1 ตามที่เขาถนัดอีกครั้ง ใช้กองกลางตัวรับสองคน ตัวรุกหนึ่งคน ปีกสองข้าง และเป้าหมายทุกอย่างจะพุ่งตรงมายังกองหน้าตัวเป้าอย่าง นูนเญซ ในการปิดบัญชี เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ลิเวอร์พูล มีคนที่เปิดบอลจากริมเส้นเก่ง ๆ อยู่ถึงสองคนนั่นก็คือ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน กับ เทรนต์ อเล็กซ์ซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งต่อจากนี้ไปจะมีตัวเข้าฮอสในเขตโทษเก่ง ๆ เพิ่มมาเป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญ รวมถึงการเล่นลูกกลางอากาสที่จะเป็นอีกหนึ่งอาวุธของทีมอีกด้วย คล็อปป์ จะช่วยพัฒนา นูนเญซ อีกหลายด้านอย่างแน่นอน เขาเคยปั้น เลวานฯ จนติดตัวท็อปของโลกมาแล้ว และที่ผ่านมาเขาก็ขาดมือปืนแบบนี้มานาน เชื่อว่าตลอดเวลา คล็อปป์ เองก็มองหานักเตะอย่าง นูนเญซ มาตลอด จนกระทั่งได้ร่วมงานกันในที่สุด สไตล์ของ นูนเญซ ค่อนข้างครบเครื่องกว่า เลวานฯ เล็กน้อย เพราะเขาขยับไปเล่นด้านกว้างได้ดีพอ ๆ กับยืนค้ำในเขตโทษ น่าจับตามองมากครับว่า คล็อปป์ จะพัฒนาดาวเตะคนนี้ไปในทิศทางไหน แต่ที่เชื่อมั่นอย่างหนึ่งก็คือ คล็อปป์ เองไม่ได้ช้อปปิ้งนักเตะราคาแพงแบบนี้บ่อย ๆ แต่เมื่อไหร่ที่เขาชี้นิ้วว่าจะเอา ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ตอบโจทย์เขาได้อย่างไร้ที่ติเสมอ อีกไม่นานเกินรอ เราจะได้รู้กันแล้วว่า ดาร์วิน นูนเญซ จะเป็นเพชรอีกเม็ดที่ คล็อปป์ ปั้นจนปังได้หรือไม่ เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน
