การคัมแบ็กประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีกา
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ปราชัยต่อ แวร์เดอร์ เบรเมน 2-3 ในแมตช์เดย์ที่ 3 ของซีซั่น 2022-2023 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีกาที่ทีมนำ 2 ประตูจนถึงนาที 89 พ่ายแพ้ในเกมดังกล่าว
เบรเมน ทำ 3 ประตูภายในเวลา 6 นาทีจากสามแข้งสำรอง ลี บูคาแนน (นาที 89), นิคลาส ชมิดท์ (นาที 90+3) และ โอลิเวอร์ เบิร์ค (นาที 90+5) พลิกน็อคทีมเสือเหลืองหมอบคาถิ่น 'ซิกนาล อีดูน่า ปาร์ก' แต่จะเทียบกับการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่สุดของบุนเดสลีกาก่อนหน้านี้อย่างไรไปดูกันครับ
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2017 : โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 4-4 ชาลเก้
ดอร์ทมุนด์ ออกตัวร้อนแรงขึ้นนำ 4-0 ภายในเวลาเพียง 25 นาที จาก ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมย็อง, เบนฌาแม็ง สต็อมบูลี่ (ทำเข้าประตูตัวเอง), มาริโอ เกิตเซ่ ตบท้ายด้วย ราฟาเอล เกร์เรยโร่ แฟนบอลกว่า 80,000 คนใน ซิกนาล อีดูน่า ปาร์ก ต่างพากันหัวเราะอย่างมีความสุขพร้อมส่งเสียงเย้ยหยันคู่ปรับสำคัญแห่งลุ่มน้ำรูห์
ทีมเสือเหลืองเข้าสู่ช่วงพักครึ่งด้วยความสบายใจ เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกัน ชาลเก้ ไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นกลับมา ทว่า กีโด้ บวร์กชตัลเลอร์ ทำประตูตีไข่แตกจุดประกายความหวังให้ทัพราชันสีน้ำเงินเมื่อผ่านมาถึงหนึ่งชั่วโมงของเกม ต่อด้วยการทำประตูของ อามีน ฮาริต อีก 4 นาทีถัดมา
สถานการณ์เริ่มพลิกผันหลัง ดอร์ทมุนด์ เหลือผู้เล่นน้อยกว่าเมื่อ โอบาเมย็อง ถูกไล่ออกจากสนามช่วงนาที 72 ก่อน ดาเนียล คาลิจูลี่ จะทำประตูไล่จี้มาเป็น 3-4 ช่วงนาที 86 ก่อน นาลโด้ ปราการหลังชาวบราซิเลียนจะทำประตูตีเสมอช่วงนาที 90+4 กระชากความสุขของสาวก 'เบเฟาเบ' ไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
วันที่ 18 กันยายน 1976 : โบคุ่ม 5-6 บาเยิร์น มิวนิค
บาเยิร์น มิวนิค กลับมาคว้าชัยชนะจากการตกเป็นฝ่ายตามหลัง 4 ประตู มันเกิดขึ้นในยุคเรืองรองของทีมดังแคว้นบาวาเรียในปี 1976 ซึ่งนำทัพโดยตำนานอย่าง ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์, แกร์ด มุลเลอร์, คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ และ อูลี่ เฮอเนส ในเกมเยือน โบคุ่ม ซึ่งทีมเสือใต้ตกเป็นฝ่ายตามหลัง 0-4 จนถึงช่วงนาที 53
รุมเมนิกเก้ ทำประตูตีไข่แตกในอีก 2 นาทีถัดมากระตุ้นปฏิกิริยาจาก บาเยิร์น มิวนิค จากนั้นทีมดังแคว้นบาวาเรียก็ลุกเป็นไฟ ดาหน้าทำอีก 4 ประตูจาก ยอร์ก ชวาร์เซนเบ็ค, เฮอเนส และสองประตูจาก มุลเลอร์ ในอีก 20 นาทีต่อมาจนแซงขึ้นนำ 5-4 ก่อน โบคุ่ม จะตามตีเสมอช่วงนาที 80 แต่ เฮอเนส ทำประตูตัดสินเกมก่อนหมดเวลาไม่นานนัก
วันที่ 10 ธันวาคม 2017 : โคโลญจน์ 3-4 ไฟร์บวร์ก
หิมะทำให้ทุกอย่างสนุกมากขึ้นหรือไม่? บางทีอาจเป็นเพราะการเล่นเกมป้องกันหละหลวมจนมี 7 ประตูเกิดขึ้นบนสังเวียน 'ไรน์เอเนอร์จี้ สตาดิโอน' ซึ่งรวมถึง 3 จุดโทษจากผู้ตัดสิน โรเบิร์ต คัมป์ก้า ในช่วงปลายปี 2017
ลูคัส คลุนเทอร์ ทำประตูให้ โคโลญจน์ ออกนำตั้งแต่นาทีที่ 8, แซร์ฮู กีราสซี่ย์ สังหารจุดโทษช่วงนาที 16 ขยับสกอร์เป็น 2-0 ก่อน เคเล็บ สแตนโก้ กองหลังชาวมะกันของทีมเยือนจะสกัดบอลเข้าประตูตัวเองจน ไฟร์บวร์ก ตามหลัง 0-3 ช่วงนาที 29
จากสถานการณ์ดังกล่าว โคโลญจน์ จึงมีโอกาสสะกดคำว่าชนะเป็นครั้งแรก หลังไม่เคยเข้าวินตลอด 14 เกมที่ผ่านมาและจมปลักอยู่อันดับบ๊วยของตารางจนทีมแพะบ้าสั่งปลด ปีเตอร์ สโตเกอร์ ออกจากตำแหน่ง
คริสเตียน สไตรช์ เทรนเนอร์ ไฟร์บวร์ก ตัดสินใจเปลี่ยน 2 ตำแหน่งตั้งแต่ 18 นาทีแรก ก่อน นีลส์ ปีเตอร์เซ่น จะทำประตูตีไข่แตกช่วงนาที 39 ต่อด้วยการโหม่งทำประตูของ ยานิค ฮาเบอเรอร์ ช่วงนาที 65 ไล่มาเป็น 2-3
ไฟร์บวร์ก บี้หนักในช่วงท้ายเกมจนแนวรับ โคโลญจน์ ออกอาการรวนจนทำฟาวล์ นิโคลัส โฮฟเตอร์ ในเขตโทษ ก่อน ปีเตอร์เซ่น สังหารจุดโทษตีเสมอในนาที 90 และดราม่ายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น หลัง กีราสซี่ย์ ทำฟาวล์คู่แข่งจนเสียจุดโทษอีกครั้งช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 90+5 และ ปีเตอร์เซ่น รับบทสังหารไม่พลาดนำทีมจิ้งจอกแห่งป่าดำแซงคว้าชัย 4-3
วันที่ 20 สิงหาคม 2010 : โวล์ฟสบวร์ก 3-4 ไมนซ์
โวล์ฟสบวร์ก ของ สตีฟ แม็คคลาเรน ใช้เวลาเพียง 7 นาทีทะยานขึ้นนำ 3-0 จากการทำสองประตูของ เอดิน เชโก้ นาทีที่ 23 กับ 27 และ ดีเอโก้ รีบาส นาทีที่ 30 แต่ โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ ไมนซ์ ในขณะนั้นยังกระตุ้นให้ลูกทีมสู้ต่อห้ามถอดใจ ก่อน มอร์เท่น ราสมุสเซ่น จะทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 ก่อนหมดครึ่งแรก 6 นาที
ทูเคิ่ล ยังคงผลักดันทีมต่อไป เขาส่ง อันเดร เชือร์เร่ ลงเล่นฐานะสำรองในช่วงครึ่งหลัง โดย เอลกิ้น โซโต้ ทำประตูไล่มาเป็น 2-3 ช่วงนาที 48 ต่อด้วย เชือร์เร่ ทำประตูตีเสมอให้ทีมเยือนในอีก 10 นาทีถัดมา จนกระทั่ง อดัม ซาไล อีกหนึ่งตัวสำรองจะทำประตูตัดสินเกมในช่วงนาที 86 นำ ไมนซ์ แซงคว้าชัยแบบน่าทึ่ง 4-3
วันที่ 20 ตุลาคม 1973 : ไกเซอร์สเลาเทิร์น 7-4 บาเยิร์น มิวนิค
มันเป็นยุคทองของ บาเยิร์น มิวนิค แต่ทีมเสือใต้ยังพบหายนะในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน แม้ แบร์นด์ เกอร์สดอร์ฟฟ์ ทำ 2 ประตูในช่วง 12 นาทีแรกของเกม ก่อน แกร์ด มุลเลอร์ จะทำประตูให้ทีมเสือใต้หนีห่าง 3-0 ในนาที 36 ก่อน โยเซฟ พีร์รุง จะทำประตูตีไข่แตกให้เจ้าบ้านไล่มาเป็น 1-3 ก่อนหมดครึ่งแรก 2 นาที
มุลเลอร์ ทำประตูที่สองของเขาในเกมนี้ให้ทีมเสือใต้นำห่าง 4-1 ช่วงนาที 57 แต่ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ยังไม่ยอมยกธงขาวจนตามตีเสมอสำเร็จจากการทำประตูของ เคล้าส์ ท็อปโมลเลอร์ นาที 58 และอีกสองประตูของ พีร์รุง ช่วงนาที 61 กับ 73
จากนั้น แอร์นส์ท เดห์ล ทำประตูให้ทีมปีศาจแดงเมืองเบียร์แซงขึ้นนำ 5-4 ช่วงนาที 84 หลัง บาเยิร์น มิวนิค เหลือผู้เล่น 10 คนเมื่อ เกอร์สดอร์ฟฟ์ ถูกไล่ออกจากสนามช่วงนาที 76 ก่อน แฮร์เบิร์ต เลาเมน จะเหมาคนเดียวสองประตูในนาที 87 กับ 89 นำ ไกเซอร์สเลาเทิร์น คัมแบ็กอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการโค่นทีมเสือใต้ด้วยสกอร์ 7-4