สำหรับ อารอน แรมส์เดล ผู้รักษาประตูฝีมือดี ในการพาทีมอาร์เซน่อล ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในศึกพรีเมียร์ลีก ด้วยการนำเป็นจ่าฝูงของตารางคะแนน พร้อมกับสถิติสวยหรูอย่างการชนะ 6 และหลุดแพ้ 1 เกม
แน่นอนว่า การย้ายทีมมาของแรมส์เดล ในช่วงปี 2021 ตามมาด้วยคำปรามาส และข้อกังขาอย่างมากมาย เพราะต้นสังกัดของเขาอย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไม่ค่อยสู้ดี แถมยังตกชั้นจากศึกพรีเมียร์ลีก สู่ระดับแชมเปี้ยนชิพ อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ผลงานส่วนตัวของแรมส์เดล กับพลพรรค “ดาบคู่” ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เมื่อมีจำนวนการเซฟอย่างถล่มทลาย แถมหยุดลูกยิงของคู่แข่งได้พอสมควร นั่นเป็นเหตุผลที่ “เดอะ กันเนอร์ส” ทุ่มเงินกว่า 30 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีม
ช่วงนี้ เราลองย้อนไปดูเส้นทางลูกหนังของเขากันหน่อยว่า เขาต้องผ่านพ้นอะไรมาบ้าง ทั้งความกดดันใน และนอกสนาม กว่าจะมาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ของอาร์เซน่อล พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้ดีเป็นผลสำเร็จ
“ผมเติบโตขึ้นมาก จากการยืมตัว”
แรมส์เดล ออกมาย้อนความทรงจำ สมัยเซ็นสัญญาอาชีพเป็นครั้งแรกกับบอร์นมัธ สโมสรในศึกพรีเมียร์ลีก ช่วงปี 2017
การเป็นผู้รักษาประตูที่อายุเพียง 18 ปี ทำให้เขาถูกส่งไปให้บรรดาทีมระดับล่าง ยืมตัวไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ทั้งกับเชสเตอร์ฟิลด์ ในระดับลีกทู และเอเอฟซี วิมเบิลดัน ในระดับลีกวัน
สำหรับการยืมตัว ... ช่วยให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะที่เชสเตอร์ฟิลด์ เขาต้องสัมผัสกับประสบการณ์เลวร้าย เมื่อทีมต้องกระเด็นออกไปเล่นนอกลีก รวมถึงที่เอเอฟซี วิมเบิลดัน เขาต้องพาทีมลุ้นหนีตาย จากการตกชั้นในวันสุดท้าย
“ผมกลายเป็นส่วนหนึ่ง ในเหตุการณ์ที่เชสเตอร์ฟิลด์ ต้องกระเด็นตกชั้นไป ผมเห็นผู้คนมากมายต้องตกงาน จากนั้น ผมต้องมาช่วยเหลือเอเอฟซี วิมเบิลดัน” เขาเริ่มเล่า
“ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า ผมควรแสดงออกในเวลาไหน ผมเรียนรู้สถานการณ์ในห้องแต่งตัว หากมันอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัด ผมจะไม่ทำเป็นเรื่องเล่นๆ ผมเติบโตขึ้น และมีประสบการณ์ ผมเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆมากกว่าเดิม”
แรมส์เดล เล่าต่อว่า “ผมเติบโตขึ้นมาก จากการยืมตัว ทั้งร่างกาย และจิตใจ แน่นอนว่า การยืมตัวช่วยให้ผมปรับตัวเข้ากับชีวิตในพรีเมียร์ลีก คำแนะนำของผม ที่อยากส่งต่อไปยังนักเตะอายุน้อยคือ ลองพยายามไปเล่นแบบยืมตัวกับทีมระดับล่าง”
“ไม่ใช่แค่มุมของนักฟุตบอลเท่านั้น สโมสรเหล่านั้น สามารถช่วยให้คุณกลายเป็นคนที่ดีขึ้นด้วย การยืมตัวถือเป็นส่วนสำคัญ ในเส้นทางลูกหนังของผมเลย”
ฤดูกาล 2019-20 เขาก้าวขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ของบอร์นมัธ เป็นครั้งแรก กระนั้น เขาไม่สามารถช่วยทีมให้อยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก จนฤดูกาลต่อมา เขาย้ายมาเฝ้าเสากับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และต้องเจอกับการตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 2 สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้แฟนบอลหลายคนออกมาปรามาสใส่เขาว่า นี่คือนักเตะแห่งความโชคร้าย เมื่อย้ายไปเล่นทีมไหน ทีมนั้นต้องกระเด็นตกชั้นทุกครั้งไป
การถูกอาร์เซน่อล ซื้อตัวมาร่วมทีม ในราคาราว 30 ล้านปอนด์ (รวมค่าเงื่อนไขต่างๆในสัญญา) เขายังถูกสบประมาทอย่างต่อเนื่องว่า เป็นการเซ็นสัญญาที่ไม่คุ้มค่าของ “เดอะ กันเนอร์ส” รวมถึงการเป็นนักเตะที่มีค่าตัวที่สูงเกินความเป็นจริง เมื่อเทียบกับการที่ต้องตกชั้นบ่อยครั้ง
“สโมสรกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน” แรมส์เดล บอกถึงการย้ายมาร่วมทีมอาร์เซน่อล ที่แสดงออกว่า เขาเข้าใจความเป็นไปของทีมเป็นอย่างดี “ผมคิดว่า สโมสรอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาสักระยะหนึ่งแล้ว”
“กระนั้น คุณสามารถสัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์ของสโมสร ทันทีที่คุณเดินผ่านประตูเข้ามา เราเป็นทีมคนหนุ่ม ทำให้เราต้องอาศัยขั้นตอน เราต้องการกลับไปยูโรป้า ลีก หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คุณเข้าใจถึงแรงกดดัน แต่มันเป็นความท้าทายในเชิงบวก”
“รอบสนามซ้อม คุณจะเห็นประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน คุณจะเห็นภาพนักเตะในยุคไร้พ่ายติดอยู่ทุกที่ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่บนกำแพง”
จากเด็กที่สัมผัสกับการตกชั้นของต้นสังกัดมาตลอดเส้นทางอาชีพ เขาได้เรียนรู้, ปรับปรุง และพัฒนา พร้อมกับนำประสบการณ์เหล่านั้น เป็นสิ่งเตือนใจตัวเอง ในการก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง
ซึ่งฟอร์มการเล่นในเวลานี้กับอาร์เซน่อล ทั้งการเซฟ และการพาทีมเก็บคลีนชีท ทำให้ในตอนสุดท้าย คำดูถูกจะค่อยๆจางหายไปเอง
