ธีรศิลป์ แดงดา กับศึกแชมป์อาเซียน ครั้งสุดท้าย
นอกจากนี้สตาร์ดังวัย 35 ปี ยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์มาครองได้อีกด้วย
ซึ่งว่ากันว่านี่คือ ฟุตบอลโลก ครั้งสุดท้ายของตัวเขา ทั้งนี้ต้องรอเจ้าตัวออกมาเปิดเผยอีกครั้งว่าจะตัดสินใจอำลาทัพ “ฟ้า-ขาว” หรือจะอยู่ช่วยทีมลงป้องกันแชมป์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ที่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และ เม็กซิโก เป็นเจ้าภาพ
นั่นคือเรื่องราวของฟุตบอลต่างประเทศที่กลิ่นอายยังอบอวลจนแฟนบอลไทยลืมไปว่า ฟุตบอลทีมชาติไทย มีภาพกิจสำคัญในการลงป้องกันแชมป์อาเซียน หรือชื่อใหม่ “เอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเลคทริคคัพ 2022”
โดยครั้งนี้กลับมาแข่งขันแบบเหย้า-เยือน ซึ่งผลการแข่งขันเกมแรกกับ บรูไนฯ แฟนบอลคงทราบผลการแข่งขันไปแล้ว
แน่นอนว่าการออกศึกครั้งนี้ลูกทีมของ “มาโน่ โพลกิ้ง” จะไม่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์ประจำทีมอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, สุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด หรือ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และ ฯลฯ ที่สโมสรไม่ปล่อยตัวไปร่วมทีม เนื่องจากการแข่งขันไม่ตรงกับโปรแกรมฟีฟ่า เดย์ แถมยังไม่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ทำให้กระแสค่อนข้างเงียบ
อย่างไรก็ตามนักเตะตัวหลักชุดนี้ มีนักเตะจากชุดแชมป์ครั้งที่แล้ว 6 คน ไม่ว่าจะเป็น ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีม, กฤษดา กาแมน, วีระเทพ ป้อมพันธ์ุ, บดินทร์ ผาลา, ธีรศิลป์ แดงดา และ อดิศักดิ์ ไกรษร
ด้วยคุณภาพนักเตะไทย ทำให้แฟนบอลคาดหวังว่าทัพ “ช้างศึก” จะก้าวไปคว้าโทรฟี่แชมป์อาเซียนสมัยที่ 7 ให้ได้
ซึ่งก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ไกลเกินไป เพราะหากต้องการก้าวข้ามอาเซียน ไม่ว่านักเตะชุดไหน เราต้องไปให้ถึงเป้าหมายคือคว้าแชมป์ให้ได้
แต่อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของ “เทพมุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา
ตอนนี้ “เทพมุ้ย” อายุแตะหลัก 34 ปี ทำให้สภาพร่างกายเริ่มโรยราไปตามกาลเวลา และมีอาการบาดเจ็บแวะมาทักทายอยู่เรื่อยๆ
ทำให้ศึกแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะลงเล่น เพราะครั้งต่ออายุเขาจะแตะหลัก 36 ปี ซึ่งเป็นจังหวะที่เขาอาจประกาศแขวนสตั๊ด
โดยดาวยิงจากค่าย บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้โอกาสลงสนามในทัวร์นาเมนต์นี้ตั้งแต่ปี 2008 ในวัย 20 ปี
จากนั้นก็กลายเป็นกำลังหลักของทีมมาโดยตลอด และพาทีมคว้าแชมป์ไป 2 สมัย ในปี 2016 และครั้งล่าสุด 2020
เคยคว้ารางวัลดาวซัลโวได้ 4 ครั้ง ในปี 2008,2012, 2016 และ 2020
ปัจจุบัน “เทพมุ้ย” เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของรายการนี้ หลังยิงไปแล้วถึง 19 ประตู เชื่อว่าสถิติดังกล่าวคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะดาวยิงหมายเลข 10 ของไทย ยังมีโอกาสยิงเพิ่มในทัวร์นาเมนต์นี้ และล่าสุดก็ทำเพิ่มไปอีก 1 ประตูในเกมนัดเปิดสนามที่ชนะ บรูไน 5-0 อีกด้วย รวมเป็น 20 ประตูแล้ว
นอกจากนี้ “มุ้ย” ยังลุ้นทุบสถิติยิงแฮตทริกในรอบชิงชนะเลิศที่ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ทำไว้เมื่อปี 2000 ด้วย แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เรียกได้ว่านี่คือกองหน้าระดับตำนานของฟุตบอลอาเซียนอย่างแท้จริง
ซึ่งหวังว่าฉากจบ “เทพมุ้ย” จะพาทีมชาติไทย คว้าแชมป์อาเซียนมาครองสำเร็จ เพื่อให้การอำลาทัวร์นาเมนต์นี้ของเขา จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ