คู่ต่อสู้ของ “ช้างศึก” ในรอบตัดเชือกไม่ใช่ใคร “เสือเหลือง” มาเลเซีย ซึ่งผ่านเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม B จากสถิติลงสนาม 4 นัด ชนะ 3 นัด และแพ้ 1 นัด ต่อ เวียดนาม เก็บได้ 9 แต้ม ตามหลังทัพ “ดาวทอง” แชมป์กลุ่มเพียงแต้มเดียว ยกแรกจะฟาดแข้งกันที่สังเวียน บูกิต จาลิล ในวันที่ 7 มกราคมนี้
โดยทั้งคู่ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาในช่วงหลัง เมื่อกางสถิติการเจอกันต้องบอกว่าในช่วงหลังเราเจอ “มาเลเซีย” ที่ไรเหมือนงูเหลือมเจอเชือกกล้วย เพราะ 8 ปีที่ผ่านมาเราสะกดคำว่า “ชนะ” ไม่ได้เลย
ครั้งสุดท้ายที่พลพรรค “ช้างศึก” ดับซ่า “เสือเหลือง” ต้องย้อนไปเมื่อ 2014 ในทัวร์นาเมนต์นี้ ในรอบชิงชนะเลิศ ยกแรก แต่เกมนั้นแข่งขันบนแผ่นดินสยาม ซึ่ง ไทย เอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-0 จากการทำประตูของ ชาริล ชัปปุยส์ กับ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ สุดท้าย ไทย ก็ก้าวไปคว้าแชมป์มาครองสำเร็จ ในยุคของ “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
โดยเกมล่าสุดที่เจอกันก็คือในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 48 แข่งขันที่สนามสมโภช 700 ปี ซึ่ง “ไทย” โดนลูบคมก่อน ทว่ามาตามตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จในเวลา 90 นาที ก่อนจะไปแพ้ในการดวลจุดโทษ ซึ่งรูปเกมที่ออกมานั้นเรียกว่าดีคนละครึ่ง
ที่สำคัญเลยคือ ไทย ชุดใหญ่ ไม่เคยบุกไปเอาชนะ มาเลเซีย ที่สนามบูกิต จาลิล ได้เลย โดยมีสถิติดังนี้
บุกแพ้ 2-1 ชิงแชมป์อาเซียน 2004
บุกเสมอ 1-1 ชิงแชมป์อาเซียน 2012
บุกแพ้ 3-2 ชิงแชมป์อาเซียน 2014
บุกเสมอ 0-0 ชิงแชมป์อาเซียน 2018
บุกแพ้ 2-1 ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย
ส่วนชัยชนะล่าสุดของ ไทย ต่อ มาเลเซีย บนสังเวียนแข้งบูกิต จาลิล คือทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชดาร์ท” ธงชัย รุ่งเรืองเลิศ ในศึกฟุตบอล รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ชิงแชมป์เอเชีย รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อปี 2018 ด้วยสกอร์ 4-2 ซึ่ง “ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา” เหมาคนเดียว 2 ประตู ส่วนที่เหลือเป็นผลงานของ วรากร ทองใบ และ อภิเดช จันทร์งาม
เรียกว่าเป็นสถิติที่ข่มขวัญเราได้ไม่น้อย สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ ไทย ไม่สามารถบุกกำชัยที่สนามแห่งนี้ได้เลย อาจเป็นเพราะสภาพสนามที่เป็นหญ้าใบใหญ่ และดินที่อยู่สนามเป็นดินเหนียว
นอกจากนี้จะจับจังหวะยาก การเคลื่อนที่ต้องใช้พลังงานเยอะกว่าเดิม หากนักเตะไม่คุ้นชินย่อมเกิดความเสียเปรียบแน่นอน ขนาดอดีตนักเตะดังที่ไปค้าแข้งบนแผ่นดิน “เสือเหลือง” อย่าง “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ รวมไปถึงในเตะ “ช้างศึก” ชุดปัจจุบันเองก็บ่นเรื่องนี้เช่นกัน
นอกจากนี้แฟนบอล “อุลตร้า มาลายา” ที่เข้ามาเชียร์ทีมรักกว่า 90,000 คน ในสนามบูกิต จาลิล ย่อมข่มขวัญนักเตะได้ไม่มากก็น้อย เรียกว่าบรรยายกาศในสนามเปรียบเหมือน “นรกทีมเยือน” คงไม่ผิดนัก แถมนักเตะบางรายที่ติดทีมชุดนี้ ยังไม่เคยสัมผัสการลงเล่นบนหญ้าใบใหญ่และบรรยากาศสุดสะพรึงบนสังเวียนลูกหนังแห่งนี้
อย่างไรก็ตามพอมีข่าวดี เมื่อ นอร์ อัซมาน ราห์มาน เลขาธิการ สมาพันธ์ฟุตบอลมาเลเซีย ได้เผยว่าความจุของสนามบูกิต จาลิล จะลดลง 21,000 ที่นั่ง เหลือเพียง 59,000 ที่นั่ง เนื่องจากติดโครงสร้างเวทีคอนเสริตของ “เจย์ โชว์” ศิลปินชื่อดังชาวไต้หวันที่เตรียมเดินทางมาทัวร์บนแผ่นดินเสือเหลืองนั่นเอง
ดังนั้นหาก “ไทย” ต้องการก้าวไปป้องแชมป์รายการนี้ ต้องบอกว่านี่คือ บทสดสอบสำคัญ และเป็นการวัดฝีมือของ “มาโน่ โพลกิ้ง” กุนซือของทีมไทยว่าจะมีวิธีรอดพ้นจากความปราชัย และได้เฮเพื่อชิงความได้เปรียบในการกลับไปเล่นเป็นเจ้าบ้านในยกที่ 2 อย่าลืมว่าตั้งแต่รอบตัดเชือกจนถึงชิงดำมี “กฎอเวย์โกล” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วน “มาเลเซีย” ของ “คิม ปัน กอน” ไม่ได้อยู่ในสภาพฟูลทีมเช่นเดียวกัน เพราะขาดนักเตะจาก “ยะโฮร์ฯ” หลายคน และถูกแทนที่ด้วยขุมกำลังโอนสัญชาติ นำโดย ดิออน กูล กองหลังป้ายแดงของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ลี ทัค อดีตหัวหอกที่เคยค้าแข้งกับหลายสโมสรของไทย และ เซคิโอ อากูเอโร่ ดาวยิงอาร์เจนติน่า
เมื่อมองปอนด์ต่อปอนด์และฟอร์มล่าสุด เรามีโอกาสดีที่เราจะบุกไปถลกหนัง “เสือเหลือง” และทำลายสถิติไม่เคยบุกไปคว้าชัยลงได้
ถ้าผ่านด่านหินทะลุชิงดำ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครทั้งสิ้น ให้กำลังใจ “ช้างศึก” ทำลายสถิติอันเลวร้ายนี้ลงเสียที
หากทุกคนมีความเชื่อและความมุ่งมั่น รวมใจเป็นหนึ่ง โอกาสทำได้ตามเป้าหมายไม่ไกลเกินเอื้อม ทางลัดไม่มี มีแต่ทางลุยครับพลพรรค “ช้างศึก”
บุกเข้าไป ไทยแลนด์ พวกเราเชียร์และศรัทธาในตัวทุกคนเสมอ
