เอดู + อาร์ต ดูโอพลังหนุ่มที่ผลักดันทีมหนุ่มจนมีลุ้นแชมป์
อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้คือทีมที่มีค่าเฉลี่ยอายุนักเตะเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น แต่ผลงานของพวกเขากลับกำลังไปได้สวย มีคะแนนนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนนแถมแข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด จากที่ใครต่อใครปรามาสพวกเขาไว้ตอนต้นฤดูกาลว่าเดี๋ยวก็แผ่ว เดี๋ยวก็ฟอร์มหลุด ทว่า เมื่อผ่านมาครึ่งทาง เรายังไม่เห็นวี่แววของเรื่องที่ว่าเลยสักนิด นักเตะปืนโตลงเล่นด้วยความมุ่งมั่น วิ่งกันลืมตาย เพรสซิ่งอย่างเป็นระบบและเซตเกมบุกอย่างมีแบบแผน การปูพรมบุกใส่ทีมฟอร์มแรงอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยการยิงถึง 25 ครั้งในเกมล่าสุดคือหลักฐานชั้นดีว่าการเป็นจ่าฝูงในวันนี้ ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญอย่างแน่นอน เครดิตส่วนหนึ่งต้องยกให้กับ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือหนุ่ม และ เอดู สปอร์ติ้ง ไดเร็คเตอร์ คนเก่งของทีม ที่ทำงานกันอย่างเงียบ ๆ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงวิจารณ์แม้ในช่วงที่ทีมผลงานย่ำแย่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้คือ "การสร้าง" ไม่ใช่การเสก เอดู เข้ามารับตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม 2019 และปฏิวัติทีมด้วยการนำ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาเป็นกุนซือใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ท่ามกลางคำถามจากแฟนบอลมากมายถึงความสามารถ เพราะ อาร์เตต้า ตอนนั้นยังไม่เคยทำงานกุนซือเลย แต่ เอดู ไม่สนใจเพราะนี่คือคนที่ตอบโจทย์สำหรับแผนงานระยะยาวของเขากับ อาร์เซน่อล ได้ดีที่สุด เมื่อพิจารณาทั้งเรื่องค่าจ้าง, การทำทีมในงบที่จำกัด, มีความกระหาย และสามารถติดตั้งระบบการเล่นที่เป็นรากฐานของทีมได้ เอดู กับ อาร์เตต้า ทำงานร่วมกันอย่างเข้าขารู้ใจ เหมือนเพื่อนมากกว่าเจ้านายลูกน้อง มีการพูดคุยกันตลอดเวลา แบ่งหน้าที่ชัดเจน โค้ชมีหน้าที่เลือกนักเตะที่ต้องการ ส่วน เอดู มีหน้าที่สรรหาเพื่อนำมาเสนอ หากทั้งสองคนมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน การเดินหน้าเจรจาซื้อขายก็ก็จะเริ่มขึ้น นักเตะอย่าง เบน ไวท์ ที่คว้าตัวมาในราคา 50 ล้านปอนด์, อารอน แรมส์เดล 30 ล้านปอนด์ กับนักเตะที่ตกชั้น 2 ทีมจาก 2 ฤดูกาล หรือแม้แต่การนำตัวของ โทมิยาสุ แบ็คขวาชาวญี่ปุ่นมาร่วมทัพ ล้วนสร้่างคำถามถึงความเหมาะสมในทีแรกแทบทั้งสิ้น แต่สุดท้ายแล้วผลงานในสนามก็ตอบทุกคำถามได้อย่างหมดสิ้นในระยะเวลาไม่นาน นี่ยังไม่รวมถึงของดีโนเนมอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่ดึงมาแล้วสร้างชื่ออย่างเปรี้ยงปร้างอีกนะครับ หรือจะเป็นทาง กาเบรียล มากัลเญส ที่ เอดู บินไปดูฟอร์มถึงฝรั่งเศสด้วยตัวเองก็เข้าตา, วิลเลี่ยม ซาลิบา เด็กหนุ่มโนเนมอีกคนที่มีราคา 30 ล้านปอนด์ แต่กลับปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัวถึง 2 ฤดูกาล ก่อนจะคัมแบ็คสู่ทีมด้วยฟอร์มการเล่นที่ดุดัน ไม่เกรงใจใคร และสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นตัวหลักได้ในทันที ไหนจะการไปชุบชีวิตของ มาร์ติน โอเดการ์ด ให้กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งด้วยสัญญายืมตัวทดลองใช้งาน ก่อนจะซื้อขาดในที่สุด ส่วนในฤดูกาลนี้ก็ไปคว้าทั้ง กาเบรียล เชซุส และ ชินเซนโก้ มาจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นแบ็คอัพของทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ยอมควักเงินก้อนโตจ่ายเพื่อเอาประสบการณ์ในการเป็นแชมเปี้ยนมาสู่ทีม การทำงานเบื้องหลังของ เอดู ช่วยให้ อาร์เตต้า ทำงานง่ายและมีสมาธิกับเรื่องในสนามเพียงอย่างเดียว ทุกเรื่องบนตลาดซื้อขายคือหน้าที่ของ เอดู ที่รวบทุกอย่างมาให้แล้ว รวมถึงระบบต่าง ๆ ในทีมเยาวชนที่ก็มำหน้าที่ดูแลภาพรวมให้ จน อาร์เตต้า สามารถดึงนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาใช้งานได้ตามใจชอบ อาร์เตต้า พูดถึง เอดู ว่า "เขาคือคนที่ทำให้ทีมมาไกลจนถึงตอนนี้" "เราทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจ พูดคุยกันทุกเรื่อง ต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองโดยไม่ก้าวก่ายกัน เขามีไอเดียดี ๆ ในการพัฒนาทีมเยอะมาก ในขณะเดียวกันเขาก็รับฟังทุกอย่างจากผม นี่คือการทำงานในฝันสำหรับโค้ชทุกคนเลยล่ะ" ขณะที่ เอดู เองก็ยกย่อง อาร์เตต้า ไว้ในระดับสูง และให้ความเชื่อมั่นในการทำงานแบบเต็มตัว "อาร์ต (อาร์เตต้า) คือคนที่เหมาะสมที่สุดของ อาร์เซน่อล นับตั้งแต่ อาร์แซน เวนเกอร์ อำลาทีมไป เขาเข้าใจวัฒนธรรมของที่นี่ รักฟุตบอลเกมบุก ให้โอกาสเยาวชนแต่ก็ไม่ปฏิเสธนักเตะที่มีประสบการณ์ อย่าง กรานิต ชาก้า เขาก็ดึงให้กลับมามีฟอร์มที่ยอดเยี่ยมจนแฟนบอลรักได้อีกครั้ง นี่คือสิ่งสำคัญของคนเป็นโค้ช คือการพัฒนานักเตะให้ดีกว่าที่เป็นอยู่" ทั้งสองคนร่วมกันสร้างวัฒนธรรมในสโมสรใหม่ ๆ ที่ดีมาก ถ้าจำกันได้ในช่วงที่ โอบาเมยอง สร้างปัญหานั้น ทั้งคู่ไม่รีรอเลยกับการที่โละออกจากทีม แม้ว่าจะเป็นดาวยิงเบอร์หนึ่งและเป็นกัปตันทีมก็ตาม โดย เอดู สนับสนุนการตัดสินใจของ อาร์เตต้า แบบเต็มเปี่ยม พร้้อมให้เหตุผลว่า อาร์เซน่อล ยุคใหม่ต้องไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร และที่สำคัญที่สุดคือ "ทีม" ไม่ใช่ตัวบุคคล เอดู กับ อาร์เตต้า จูงมือประสานงานกันอย่างลงตัว ทั้งในและนอกสนาม ความเชื่อมั่น ความเชื่อใจในกันและกันมีเต็มเปี่ยม แม้ในช่วงที่ทีมผลงานย่ำแย่เมื่อต้นฤดูกาลที่แล้ว แต่ เอดู ก็ไม่โอนอ่อนไปตามกระแสที่อยากให้ปลด อาร์เตต้า เพราะเขารู้ดีว่าทีมกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง แค่ต้องอดทนและรอเวลา หากเปรียบ อาร์เซน่อล เป็นต้นไม้ใหญ่ รากของพวกเขาในตอนนี้ที่ลงแรงดูแลมาหลายปี กำลังเติบโต หยั่งรากลงไปจนแข็งแกร่ง และที่สำคัญคือยังมีผลที่สวยงามรอให้เก็บเกี่ยวในอีกไม่นานนี้เสียด้วย