:::     :::

ปิดฉาก "ราชาแอสซิสต์"

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ด้วยอาการบาดเจ็บเรื้อรังตามเล่นงานอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง เมซุต โอซิล ได้ตัดสินใจปิดฉากอาชีพนักฟุตบอลเป็นที่เรียบร้อย

โอซิล ผ่านการค้าแข้งโชกโชนกับหลายทีมดังไม่ว่าจะเป็น ชาลเก้ , แวร์เดอร์ เบรเมน , เรอัล มาดริด , อาร์เซน่อล , เฟเนร์บาห์เช่ และ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ที่เป็นต้นสังกัดสุดท้าย 

ส่วนในนามทีมชาติเยอรมนี โอซิล เคยพาทีมไปถึงจุดสูงสุดกับตำแหน่งแชมป์โลก 2014 และได้นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีถึง 5 ครั้ง 

จากความสำเร็จมากมายทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ คงไม่เกินเลยไปนักที่จะบอกว่า โอซิล คือหนึ่งในเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดของวงการลูกหนัง 

ขณะที่พรสวรรค์ล้นเหลือในการสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนร่วมทีมทำประตู ก็ทำให้อดีตแข้งอินทรีเหล็กรายนี้ได้รับฉายาว่า "ราชาแอสซิสต์"  

โอซิล เริ่มต้นในทีมเยาวชนของ ชาลเก้ ก่อนขึ้นสู่ชุดใหญ่ในปี 2006 รุ่นราวคราวเดียวกับ มานูเอล นอยเออร์ นายทวารมือหนึ่งคนปัจจุบันของ บาเยิร์น มิวนิค  


แจ้งเกิดกับ แวร์เดอร์ เบรเมน

จากนั้นย้ายไปแจ้งเกิดเต็มตัวกับ แวร์เดอร์ เบรเมน จนก้าวติดทีมชาติเยอรนีชุดใหญ่ลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนได้โอกาสครั้งสำคัญในชีวิตย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลา ลีกา สเปน

แม้ต้องเล่นให้กับทีมดังด้วยอายุเพียง 22 ปี แต่ โอซิล ก็พิสูจน์ตัวเองได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกด้วยผลงาน 22 แอสซิสต์ มากกว่านักเตะทุกคนในลีกใหญ่ของยุโรป และกลายเป็นขวัญใจแฟนบอลราชันชุดขาวอย่างรวดเร็ว 

ฤดูกาลต่อมา แข้งเชื้อสายเติร์กโยกไปสวมเสื้อหมายเลข 10 เพื่อรับบทเพลย์เมกเกอร์เต็มตัว เขาทำไป 19 แอสซิสต์ในลีกพร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปนได้สำเร็จ แถมยังเป็นทีมแรกทำแต้มทะลุ 100 คะแนนอีกด้วย 

โอซิล ยังรักษามาตรฐานการเล่นเอาไว้ได้ยอดเยี่ยมในฤดูกาลที่สามที่ทำได้ 26 แอสซิสต์จากทุกรายการ ภาพชินตาแฟนบอลราชันที่เกิดขึ้นแล้วขึ้นอีกคือ โอซิล จ่ายบอลให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำประตู

แต่แล้วซัมเมอร์ 2013 การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เมซุต โอซิล ตัดสินใจย้ายออกจาก เรอัล มาดริด ไปร่วมทีม อาร์เซน่อล จากการชักชวนของ อาร์แซน เวนเกอร์ 

นี่คือการย้ายทีมที่หลายคนแทบไม่อยากเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง อาร์เซน่อล ในตอนนั้นที่ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ มาหลายปีจะสามารถดึง โอซิล มาร่วมทีมได้ 

แฟนบอลปืนใหญ่คงจดจำบรรยาศในวันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์ของปี 2013 ได้อย่างดีเพราะเป็นวันที่สโมสรประกาศอย่างเป็นทางการว่า เมซุต โอซิล ได้ย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 42.5 ล้านปอนด์อันเป็นสถิติสโมสรในเวลานั้น ทุกคนกระโดดโลดเต้นกันอย่างบ้าคลั่งหลังรู้ข่าว


ทำผลงานยอดเยี่ยมกับ เรอัล มาดริด

โอซิล ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเล่นที่สเปน สถิติ 80 แอสซิสต์จากการลงสนาม 159 นัด หรือ 1 แอสซิสต์ทุกๆ 2 นัด เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งอย่างมากและมันเกิดขึ้นกับหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่สุดตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด 

อาร์เซน่อล ที่ไม่คว้าแชมป์ใดๆ มา 8 ปี สามารถเซ็นสัญญากับนักเตะระดับ เมซุต โอซิล ได้ นี่คือเรื่องสุดเหลือเชื่อไม่น้อย 

ทีมปืนใหญ่โดยเฉพาะในยุค อาร์แซน เวนเกอร์ แทบไม่เคยดึงนักเตะที่มีชื่อเสียงระดับ โอซิล มาร่วมทีม ส่วนใหญ่จะเน้นนักเตะดาวรุ่งและโนเนมก่อนนำปลุกปั้นให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ 

แข้งดังคนล่าสุดที่ถือได้ว่ามีชื่อเสียงอยู่แล้วก่อนย้ายมาต้องย้อนไปในตอนที่คว้าตัว เดนนิส เบิร์กแคมป์ หัวหอกชาวดัตช์มาจาก อินเตอร์ มิลาน เมื่อปี 1995

เวนเกอร์ กระตุ้นสโมสรยอมทุ่มเงินก้อนโตดึง โอซิล เพราะตอนนั้นทีมไม่ประสบความสำเร็จใดๆ มานาน โดยแชมป์สุดท้ายที่ได้สัมผัสคือ เอฟเอ คัพ ปี 2005 ตอนที่ยังใช้รังเหย้าเก่าไฮบิวรี่

เพียงนัดแรกในสีเสื้อแดงขาว อดีตแข้งราชันชุดขาวก็ทำให้แฟนบอลปืนใหญ่หัวใจพองโตยิ่งกว่าเดิมด้วยการทำแอสซิสต์จ่ายให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ยิงประตูตั้งแต่ 11 นาทีแรกในเกมบุกชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-1 ตัวเลขแอสซิสต์ในนัดแรกน่าจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำหาก ธีโอ วัลค็อตต์ จบสกอร์เฉียบคมสักหน่อย 

นัดต่อมาที่เป็นการเล่นในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ครั้งแรก โอซิล ตอกย้ำคุณภาพของตัวเองด้วยการทำคนเดียว 3 แอสซิสต์พาทีมชนะ สโต๊ค ซิตี้ 3-1 


การย้ายทีมสุดเหลือเชื่อ 

การมาของ โอซิล ช่วยยกระดับเกมรุกของ อาร์เซน่อล ขึ้นมาอย่างชัดเจน เขาเล่นได้อย่างเข้าขากับ อารอน แรมซีย์ และ ซานติ กาซอร์ล่า พร้อมมีกำลังเสริมอย่าง แจ็ค วิลเชียร์ และ โทมัส โรซิชกี้ 

อาร์เซน่อล ขึ้นรั้งจ่าฝูงได้ในปลายเดือนกันยายนก่อนยึดหัวตารางยาวจนถึงกุมภาพันธ์ ทว่าหลุดฟอร์มแพ้ยับต่อ ลิเวอร์พูล 1-5 จนเริ่มแหกโค้งทำแต้มหล่นบ่อยครั้ง แถม โอซิล ยังบาดเจ็บช่วงท้ายฤดูกาล

จากที่เคยรั้งจ่าฝูงนานกว่าทุกทีม อาร์เซน่อล จบเพียงอันดับ 4 ในลีก โดยตำแหน่งแชมป์เป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปาดหน้า ลิเวอร์พูล เข้าเส้นชัย

แม้ในลีกจะอกหัก แต่ โอซิล ก็ช่วยให้ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์แรกในรอบ 9 ปีได้สำเร็จในถ้วยเอฟเอ คัพ ที่ต่อเวลาเอาชนะ ฮัลล์ ซิตี้ 3-2 ในนัดชิงชนะเลิศ

ผลงานส่วนตัวของ เมซุต โอซิล ในฤดูกาลแรกกับ อาร์เซน่อล น่าพอใจอย่างยิ่ง เขาลงสนามทั้งหมด 40 นัด ทำได้ 7 ประตู 14 แอสซิสต์ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการปลดล็อกให้ทีมกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง และยังเป็นแชมป์แรกนับตั้งแต่ใช้สนามแห่งใหม่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 

โอซิล พกความมั่นใจจากผลงานแรกกับ อาร์เซน่อล ไปลุยฟุตบอลโลก 2014 ที่ลงตัวจริงทุกนัดก่อนพาทัพอินทรีเหล็กไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกด้วยการเอาชนะ อาร์เจนตินา 1-0 ในช่วงต่อเวลา 

ฤดูกาลต่อมา เวนเกอร์ ต่อยอดความแข็งแกร่งของทีมด้วยการดึง อเล็กซิส ซานเชซ แนวรุกคุณภาพอีกรายมาจาก บาร์เซโลน่า 


คว้าแชมป์โลกกับอินทรีเหล็ก

แฟนบอลปืนใหญ่ต่างวาดฝันยิ่งกว่าเดิมว่าการมีทั้ง โอซิล และ อเล็กซิส อยู่ในทีมก็คงถึงเวลาแล้วที่จะกลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง 

แต่ฤดูกาลแห่งความหวังเริ่มได้ 2 เดือน อาร์เซน่อล ก็ต้องพบข่าวร้ายจอมทัพคนสำคัญบาดเจ็บหนักที่เอ็นหัวเข่าต้องพักยาว 12 สัปดาห์ เขากลับมาลงตัวจริงอีกครั้งในเกมพบ แอสตัน วิลล่า เดือนกุมภาพันธ์ก่อนทำ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์พาทีมชนะ 5-0 

โอซิล พยายามเร่งฟอร์มเต็มที่เพื่อช่วยทีม แต่ด้วยการที่หลุดแพ้บ่อยครั้งในช่วงที่ดาวเตะเชื้อสายเติร์กหายไป ทำให้ได้เพียงไต่ขึ้นมาจบอันดับ 3 ของตาราง 

ทว่าในเอฟเอ คัพ ยังเป็นรายการที่ อาร์เซน่อล ทำได้ดีสามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จด้วยฟอร์มสุดยอดในนัดชิงชนะเลิศที่ไล่ยำ แอสตัน วิลล่า แทบข้างเดียวก่อนชนะไป 4-0 โอซิล จึงผ่านสองปีแรกกับปืนใหญ่ด้วยการมีแชมป์ทุกปี

ฤดูกาล 2015/16 คือฤดูกาลที่ เมซุต โอซิล ทำผลงานได้ดีสุดกับ อาร์เซน่อล เหตุผลสำคัญคือได้พักเต็มๆ ในช่วงซัมเมอร์ ต่างจากซัมเมอร์ก่อนหน้านั้นที่ลุยบอลโลกจนถึงนัดสุดท้าย นอกจากนี้ก็แทบไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทำให้ได้ลงสนามมากถึง 45 นัดในทุกรายการ

การเล่นของ โอซิล เต็มไปด้วยจินตนการ เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่วิ่งพล่านไปทั่วสนาม แต่รู้จังหวะในการออกบอลที่เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมได้เปรียบมากที่สุดและอยู่ในตำแหน่งที่ดีสุดสำหรับการยิงประตูหรือว่าเล่นต่อได้ทันที 


ได้เอฟเอ คัพ ตลอดสองปีแรกกับปืนใหญ่

น้ำหนักและทิศทางในการจ่ายบอลอันสมบูรณ์แบบของ โอซิล ทำให้หลายคนนึกถึง เดนนิส เบิร์กแคมป์ ที่สุดยอดไม่แพ้กันในเรื่องนี้ แม้ตำแหน่งแท้จริงต่างกัน แต่บทบาทในการเล่นคล้ายกันคือเป็นตัวสร้างสรรค์โอกาสและคอนโทรลเกมรุกให้ทีม 

หลายต่อหลายครั้ง โอซิล สามารถจ่ายบอลเข้าไปในตำแหน่งที่ไม่มีคาดคิดและจินตนาการถึง แต่เมื่อบอลไปถึงเพื่อนร่วมทีมก็เหลือเพียงแค่การส่งบอลให้ตุงตาข่าย มันเป็นสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเวลา เบิร์กแคมป์ อยู่ในสนาม 

โอซิล มีช่วงท็อปฟอร์มสุดทำแอสซิสต์ได้ 7 นัดติดในลีก ก่อนจบฤดูกาลที่ 19 แอสซิสต์จาก 35 นัด เกือบโค่นสถิติแอสซิสต์มากสุดฤดูกาลเดียวของพรีเมียร์ลีกที่ เธียร์รี่ อองรี เคยทำไว้ 20 ครั้งในฤดูกาล 2002/03 

ฤดูกาลนี้ หลายทีมใหญ่ผลงานไม่ดีนัก อาร์เซน่อล เองก็มีช่วงสะดุดเรื่อยๆ แต่มีทีเดียวที่ทำได้ดีเกินคาดจนกระทั่งสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ได้สำเร็จนั่นคือ เลสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่ปืนใหญ่จบในตำแหน่งรองแชมป์

โอซิล ช่วยทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ อีกครั้งในปี 2017 ที่เขายิงได้ 12 ประตูจากทุกรายการ มากสุดนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม 

ส่วนในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อาร์เซน่อล ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายตลอด 4 ฤดูกาลแรกที่มี โอซิล แม้เจ้าตัวจะพยายามช่วยทีมอย่างเต็มที่ แต่ด้วยองค์ประกอบโดยรวมยังไม่แกร่งมากนัก แถมเจอโจทก์เก่าทั้ง บาเยิร์น มิวนิค และบาร์เซโลน่า คอยสกัดดาวรุ่ง เส้นทางในยุโรปจึงไม่ไปถึงไหนเสียที

แต่กระนั้นในรอบแบ่งกลุ่มที่ไปเยือน ลูโดโกเร็ตส์ ที่บัลแกเรีย โอซิล ก็ทำประตูสุดเหนือชั้นให้แฟนบอลได้อ้าปากค้างหลังหลุดเดี่ยวเข้าไปกระดกบอลข้ามหัวผู้รักษาประตู และโยกอีกสองครั้งหลบกองหลัง จากนั้นก็เหลือเพียงตาข่ายโล่งๆ ให้ส่งบอลเข้าไปอย่างง่ายดาย


ประตูแห่งความทรงจำ

ฤดูกาล 2017/18 เป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ โอซิล กับ เวนเกอร์ ได้ร่วมงานหลังกุนซือชาวฝรั่งเศสประกาศวางมือ ทีมยังไม่ใกล้เคียงกับการเป็นแชมป์ลีก ส่วนในถ้วยยุโรปที่หล่นไปเล่นยูโรปา ลีก ก็ตกรอบตัดเชือกอย่างน่าเสียดาย

ช่วงกลางฤดูกาล เวนเกอร์ จำต้องปล่อย อเล็กซิส ซานเชซ ไปให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะใกล้หมดสัญญา และการจากไปของแข้งทีมชาติชิลีก็ส่งผลต่อการเล่นของ โอซิล ไม่น้อย

ทั้งสองคนมีสไตล์แตกต่างกัน แต่ "เซนส์" ฟุตบอลทันกัน ต่างฝ่ายต่างมองตาก็รู้ใจ หลายจังหวะจึงเกิดการเล่นร่วมกันที่ยอดเยี่ยมก่อนจบด้วยการยิงประตู 

สถิติส่วนตัวของ โอซิล ดร็อปลงไปหลัง อเล็กซิส ย้ายออก ขณะเดียวกัน อเล็กซิส ก็ดับสนิทในการค้าแข้งกับปีศาจแดงจนมีคำกล่าวว่า โอซิล ไม่เหมือนเดิมเมื่อไร้ อเล็กซิส เช่นเดียวกับ อเล็กซิส ที่อยู่ในฟอร์มที่ดีได้อีกเลยเมื่อข้างกายไม่มี โอซิล

ในการร่วมงานฤดูกาลแรกระหว่าง โอซิล กับ อูไน เอเมรี่ ที่มาคุมทีมต่อจาก เวนเกอร์ อาร์เซน่อล ผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูโรปา ลีก เหลือเพียงก้าวเดียวจะได้แชมป์ยุโรปและได้ตั๋วพิเศษลุยแชมเปี้ยนส์ ลีก ทว่าดันหลุดฟอร์มโดน เชลซี รัวชนะ 4-1 

เอเมรี่ โดนปลดในไม่กี่เดือนของฤดูกาลถัดมา มิเกล อาร์เตต้า อดีตเพื่อนร่วมทีมของ โอซิล ถูกดึงเข้ามากอบกู้วิกฤตในฐานะเทรนเนอร์หนุ่มที่ไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมเต็มตัวมาก่อน


ช่วงท้ายที่จบไม่สวยกับอาร์เซน่อล

ช่วงแรกในการร่วมงานกัน โอซิล ลงตัวจริงต่อเนื่อง แต่พอหยุดเบรกโควิด-19 และกลับมาแข่งอีกครั้ง สถานการณ์ก็ไม่เหมือนเดิม เขากลายเป็นส่วนเกินในทีมของ อาร์เตต้า ที่แทบไม่ได้ลงสนาม และบางนัดก็ไม่มีชื่อเป็นสำรองซึ่งรวมถึงนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์ด้วยการชนะ เชลซี 2-1 

นักเตะระดับ เมซุต โอซิล ที่พิสูจน์ตัวเองกับ เรอัล มาดริด มาแล้วเช่นเดียวกับการเป็นถึงแชมป์โลก กลับตกอยู่ในสถานะที่แม้แต่สำรองก็ยังไม่มีชื่อ 

กลายประเด็นถกเถียงกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับ โอซิล เขาหลุดทีมเพราะฟอร์มการเล่นไม่เหมือนเดิม หรือมีประเด็นนอกสนามที่การแสดงความเห็นในหลายครั้งของเจ้าตัวลุกลามไปถึงเรื่องเชื้อชาติและการเมืองระหว่างประเทศ 

ขณะที่ อาร์เตต้า ก็ให้เหตุผลในทุกครั้งที่ดร็อป โอซิล ออกจากทีมว่าเป็นเรื่อง "ฟุตบอล" ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยมลายหายไปแต่อย่างใด 

โอซิล ถูกตัดชื่อออกจากทีมในฤดูกาล 2020/21 ที่หลุดโผทั้งพรีเมียร์ลีกและยูโรปา ลีก สิ่งเดียวที่ทำได้คือการซ้อมไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ยอมไปเล่นในทีมยู-23 เจ้าตัวออกมาทวีตว่าผิดหวังอย่างมากกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ทว่าก็ประกาศพร้อมสู้เพื่อกลับมาให้ได้ 

แต่ท้ายที่สุด เรื่องราวคาราคาซังหลายเดือนก็จบลงด้วยการที่ อาร์เซน่อล กับ โอซิล ตกลงแยกทางกันในช่วงต้นปี 2021 ก่อนที่อดีตแข้งทีมชาติเยอรมันจะเลือกย้ายไปเล่นให้ เฟเนร์บาห์เช่ ทีมดังในบ้านเกิดของบรรพบุรุษ 

เมซุต โอซิล จึงปิดฉากช่วงเวลา 7 ปีครึ่งกับ อาร์เซน่อล และเหมือนปิดฉากอาชีพกลายๆ เพราะช่วงเวลาในตุรกีไม่ได้่เป็นที่จดจำมากนัก


สถิติและความสำเร็จตลอดอาชีพค้าแข้ง

เขาแยกทางกับ เฟเนร์บาห์เช่ ด้วยการยกเลิกสัญญาเหมือนกับที่เป็นอิสระจาก อาร์เซน่อล ก่อนเซ็นสัญญากับ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ในซัมเมอร์ที่แล้ว ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บ บวกกับอายุอานามที่เริ่มมากขึ้น เมซุต โอซิล ก็ไม่สามารถกลับสู่ช่วงเวลาที่ดีของตัวเองได้อีกครั้ง

ท้ายที่สุดเขาจึงประกาศสิ้นสุดบทบาทนักฟุตบอลอาชีพด้วยอายุ 34 ปี เหลือความทรงจำให้แฟนบอลได้นึกถึงในฐานะสุดยอดเพลย์เมกเกอร์อีกคนที่เคยโลดแล่นและสร้างโมเมนต์น่าทึ่งมากมายให้เกิดขึ้นในสนาม 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด