ฟอลส์ไนน์ที่ดีที่สุดตลอดกาลแห่งแอนฟิลด์
นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ฟีร์มิโน่ ไม่เคยเลยที่จะไม่ทุ่มเท สร้างปัญหา เขาก้มหน้าก้มตาเล่นเพื่อทีมโดยไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะยิงได้กี่ลูกในหนึ่งฤดูกาล ไม่สนว่าจะเป็นเจ้าพ่อแอสซิสต์หรือเปล่า และไม่เคยแม้แต่จะแคร์ว่ามีใครเด่นใครดังกว่า เรื่องเดียวที่เขาสนใจคือ ทำยังไงก็ได้ให้ ลิเวอร์พูล ชนะ และทำยังไงให้ทีมได้แชมป์ เรื่องราวของเขากับทีมมีมากมายเกินจะมาพรรณาในหน้ากระดาษเดียว และนี่คือท็อปไฟว์ของเขาในสีเสื้อสีแดงเพลิงตัวนี้ อาจตกหล่นรายละเอียดความยอดเยี่ยมเรื่องอื่น ๆ ไปบ้าง แต่ก็เพราะว่าเขาสร้างสิ่งมหัศจรรย์ไว้เยอะเกินไป แต่เชื่อว่าแค่ 5 เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะนิยามถึงผู้ชายคนนี้
#ฮีโร่ในคลับ เวิร์ลด์ คัพ ในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกปี 2019 หากไม่มี ฟีร์มิโน่ บางที ลิเวอร์พูล อาจเหนื่อยกว่าที่เป็นอยู่หรืออาจไม่ได้แชมป์รายการนี้เลยก็ได้ ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว ฟีร์มิโน่ ทำได้ 2 ประตู แต่เป็นประตูสำคัญทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่ในรอบรองชนะเลิศ ที่ลงมาในฐานะตัวสำรองแล้วซัดประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บพาทีมชนะ มอนเทอเร่ย์ ไป 2-1 ส่วนในนัดชิงเขาก็รับบทฮีโร่ของทีมอีกเช่นเคย เมื่อทำประตูชัยอีกครั้งในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 99 พาทีมคว้าแชมป์สโมสรโลกไปอย่างยิ่งใหญ่ คล็อปป์ บอกว่า "บ็อบบี้ ทำให้เห็นแล้วว่าเขายอดเยี่ยมเพียงใด ในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูเขาทำสิ่งที่ทุกคนคาดหวังให้ออกมาได้ดีเสมอ หากไม่มีเขา บางทีเราอาจไม่ได้แชมป์ใบนี้ก็ได้" #No look goal และแฮตทริกในสีเสื้อหงส์ หนึ่งในเอกลักษณ์ของเขาคือ No look goal ที่มักจะมีชอตฮือฮาอย่างการยิงประตูโดยหันหน้ามองไปอีกทาง หรือจ่ายบอลแบบไม่มอง ซึ่งกลายเป็นซิกเนเจอร์ประจำตัวตลอด 8 ปีที่แอนฟิลด์ ฟีร์มิโน่ อาจไม่ใช่ตัวถล่มประตูที่เคยได้ดาวซัลโวลีกเหมือน มาเน่ กับ ซาล่าห์ ก็จริง แต่เขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีเกมเด่น ๆ เลย เขาเคยทำแฮตทริกให้ ลิเวอร์พูล ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในเกมที่ชนะ อาร์เซน่อล 5-1 เมื่อฤดูกาล 2018-19 ประตูแรกคือการยิงจ่อ ๆ ก็จริงแต่ที่ถูกพูดถึงมากก็คือเขายิงด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองคือ No look goal คือหันหน้าไปอีกทางแต่ยิงไปอีกทาง ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเจ้าตัวที่เราคุ้นเคยกันดี ขณะที่ประตูที่สองนั้นสวยงามและเต็มไปด้วยเทคนิคขั้นเทพ เขาลากบอลหลบนักเตะปืนสองคนอย่างเหนือชั้นก่อนบรรจงยิงด้วยซ้าย เลานทาจเสียบตาข่ายเข้าไปอย่างหมมดจด ส่วนประตูแฮตทริกมาจากจุดโทษคม ๆ ในช่วงครึ่งหลัง แฮตทริกอีกครั้งของเขาคือเกมที่ชนะ วัตฟอร์ด 5-0 เมื่อฤดูกาล 2021-22 โดยในเกมนี้ทั้งสามลูกมาจากการเข้าชาร์จจ่อ ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาก็เป็นตัวเข้าฮอสที่โหดไม่แพ้คนอื่นเหมือนกัน #แฮตทริกแอสซิสต์ ฟีร์มิโน่ ไม่เคยได้ท็อป แอสซิสต์ ลีกก็จริง แต่นี่คือตัวพ่อในเรื่องความใจกว้างคนนึงของวงการ โดยนับตั้งแต่ย้ายจาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2015 ฟีร์มิโน่ ทำแอสซิสต์ไปแล้วถึง 79 ครั้งจากทุกถ้วยทุกรายการ โดยมีถึง 3 ครั้งเลยนะครับที่เป็นการทำแฮตทริก แอสซิสต์ ครั้งแรกคือในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่พบกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2019 โดยในเกมนั้น ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเฉือนเอาชนะไปอย่างสุดมันส์ 4-3 ซึ่ง ฟีร์มิโน่ แอสซิสต์ให้ มาเน่ ยิงขึ้นนำ 1-0, แอสซิสต์ให้ ซาล่าห์ ยิงขึ้นนำ 3-0 และมาปิดจ็อบด้วยการแอสซิสต์ให้ ซาลาห์ อีกครั้งตอนนาทีที่ 69 ซึ่งเป็นประตูชัยของเกม ครั้งต่อมาคือเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่พบกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2020 ซึ่งเกมดังกล่าว ฟีร์มิโน่ จัดการแอสซิสต์ 3 ลูกเน้น ๆ ให้กับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โม ซาล่าห์ พา ลิเวอร์พูล เอาชนะทีมเยือนไปได้สบาย 4-0 ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในฤดูกาลนี้กับเกมที่ ลิเวอร์พูล ถล่ม บอร์นมัธ ไป 9-0 โดยเกมนี้เขายิงเอง 2 แอสซิสต์ 3 รับ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครองอย่างไม่ต้องสงสัยเลย #บราซิลที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก นักเตะสายพันธุ์บราซิลเอาชื่อมาทิ้งที่พรีเมียร์ลีกกันเป็นว่าเล่น แต่สำหรับ ฟีร์มิโน่ แล้วเขาคือนัมเบอร์วันตัวจริง เพราะถือครองสถิติเป็นนักเตะจากบราซิลที่ยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 81 ประตู และยังเป็นนักเตะจากบราซิลที่แอสซิสต์มากที่สุดตลอดกาลด้วยเช่นกัน โดยเขาแอสซิสต์ไปแล้ว 50 ครั้ง เหนือกว่า วิลเลี่ยน ถึง 8 แอสซิสต์ #ฟอลส์ไนน์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของหงส์แดง ข้อนี้เราไม่จำเป็นต้องสาธยายใด ๆ เลย เพราะตลอด 8 ปีเขาทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่าทำไมถึงยืนระยะในทีมได้ยาวนานขนาดนี้ อาจไม่ตัวเทพในเรื่องดาวซัลโว ไม่ใช่ตัวพ่อเรื่องท็อป แอสซิสต์ แต่สิ่งที่ ฟีร์มิโน่ เป็นเสมอมาคือความกลมกล่อม ลงตัวของทั้งหมด คือกองหน้าที่เป็นกองกลางด้วยในตัว คือกองกลางที่เป็นกองหน้าด้วยในเวลาเดียวกัน คือฟอลส์ ไนน์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล