:::     :::

แฟนผีจะได้อะไรจากการมาของ Paul Mitchell

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2566 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,056
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลายๆคนคงได้เห็นชื่อ พอล มิทเชล ขึ้นมาบ้างแล้วตามข่าวต่างๆว่าเขาอาจจะเป็นอีกคนที่ได้เข้ามาพร้อมเซอร์จิมหากมีการขายหุ้นเกิดขึ้น แต่แฟนผีจำนวนมากคงจะสงสัยว่า พอล มิทเชล มีดีอะไร ทำไมต้องตื่นเต้น เราจะคาดหวังอะไรจากเขาได้บ้าง บทความนี้น่าจะพอเป็นคำตอบแบบคร่าวๆได้ ซึ่งเมื่ออ่านจบ มั่นใจว่าคุณจะต้องอยากได้ตัวเขาเข้ามาทำงานแน่นอน

จากกระแสข่าวล่าสุดที่เศรษฐีเมืองผู้ดีอย่างเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ กำลังเตรียมที่จะเข้าซื้อหุ้น 25% ในสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทีมที่เขาเชียร์ในวัยเด็ก หลายๆคนคงอยากจะรู้ว่าวิสัยทัศน์ในระยะยาวของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จากข่าวที่ออกมาในช่วงต้นปีนี้ว่า CEO ของ INEOS รายนี้ไม่ประทับใจกับสิ่งที่เห็นขณะที่เยี่ยมชมสโมสร และอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง

มีความคิดเห็นและปฏิกิริยาตอบรับมากมายจากข่าวการมาของ Sir Jim Ratcliffe ซึ่งแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรการันตี(ว่าดีลขายหุ้นส่วนน้อยนี้จะเกิดขึ้น) แต่ตามข่าวก็มีความเป็นไปได้อยู่เช่นกันที่การเข้ามามีส่วนร่วมกับแมนยูไนเต็ดตรงนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ในอนาคตก็อาจจะได้ใช้วิสัยทัศน์ของเขาในการจัดการสิ่งต่างๆให้ถูกต้องกว่าเดิม จากที่เคยเป็นมาอย่างล้มเหลวภายใต้น้ำมือของตระกูลเกลเซอร์ตลอดสิบยี่สิบปีที่ผ่านมา

เซอร์จิมพร้อมที่จะเข้ามาดูแลเรื่องฟุตบอลของสโมสร และตั้งเป้าจะทำให้ยูไนเต็ดหวนคืนสู่ยุคสมัยที่รุ่งโรจน์อีกครั้ง ซึ่งในบรรดาผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการต่างๆของสโมสรก็เริ่มที่จะถูกตั้งคำถามขึ้นมาแล้วว่า ใครจะอยู่ใครจะไป โดยเฉพาะสายฟุตบอลอย่าง John Murtough รวมถึงCEOอย่าง Richard Arnold อนาคตก็เริ่มจะไม่แน่นอนซะแล้ว แม้ว่าเกลเซอร์จะยังอยู่ต่อไปก็ตาม 

นี่จึงเป็นหัวข้อที่เราจะพูดถึงในวันนี้ว่า ใครคือคนๆนั้นที่อาจจะเข้ามาดูแลฝ่ายฟุตบอลแทน หากว่าเซอร์จิมได้หุ้น 25% จากเกลเซอร์ไปจริงๆ

และเรากำลังจะพูดถึง Paul Mitchell

พอล มิทเชล ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าอาจจะเป็นบุคคลสำคัญที่เข้ามาในการปรับโครงสร้างสโมสรในครั้งนี้ การที่เขาอาจจะได้มากุมบังเหียนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะมีความหวังให้ทุกอย่างมันเข้ารูปเข้ารอยอย่างที่มันควรจะเป็นในการบริหารงานด้านฟุตบอลมากขึ้น

แต่ก็ยังมีอีกหลายๆท่านที่ยังไม่ทราบว่าชายคนนี้จะสามารถนำอะไรเข้ามาสู่สโมสรแห่งนี้ได้

เขาเป็นใคร เก่งยังไง? นี่คือคำถามที่หลายคนอยากรู้

พอล มิทเชล สมัยเป็นนักเตะเคยค้าแข้งอยู่ในลีกระดับล่างของอังกฤษ หลังจากที่แขวนสตั๊ดจากอาการบาดเจ็บด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี เส้นทางของพอล มิทเชลที่สุดในด้านการเตะบอลแค่นั้น กลับเริ่มต้นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ทันทีด้วยการที่สโมสร MK Dons แต่งตั้งชายคนนี้ให้กลายเป็นหัวหน้าของฝ่ายจัดหานักเตะให้สโมสร (Head of Recruitment หัวหน้ารีครูทนั่นเอง) ซึ่งพอล มิทเชลนี่แหละที่มีบทบาทสำคัญในการดึง Alan Smith อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษของลีดส์และแมนยูให้มาเล่นในลีกระดับล่าง รวมถึงเขายังเป็นคนค้นพบพรสวรรค์ของ เดเล่ อัลลี่ ในเบื้องต้นอีกด้วย

เขาทำงานได้อย่างน่าประทับใจมากตลอดสองปีในบทบาทใหม่นี้ของเขา ซึ่งมันไปเตะตาสโมสรแชมเปี้ยนชิพในตอนนั้นอย่างเซาธ์แธมพ์ตันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งต่อมาเขาก็ย้ายเข้าในปี 2012 และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้จัดการทีมอย่าง เมาริซิโอ ปอเชตติโน่ โดยทั้งคู่ดึงนักเตะดีๆเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Sadio Mané, Dušan Tadić หรือ Dejan Lovren เป็นต้น นี่คือผลงานของคอมโบ พอช&มิทเชล 

ตัวปอเชตติโน่เองก็ได้รับคำชื่นชมจากการทำทีม พัฒนายกระดับทีมของเขาแบบนี้เรื่อยมา จนกระทั่งย้ายไปท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ อย่างที่เราทราบกัน ซึ่งนั่นก็เป็นยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีกแล้ว ซึ่ง "พอล มิทเชล" ก็ติดตามเขาไปในเดือนมกราคมปี 2014 ซึ่งเขามีบทบาทในการเซ็นสัญญาของทีมไก่เดือยทองอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Kieran Trippier, Toby Alderweireld โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุดยอดดีลที่ยังอยู่เล่นกับคลับไก่มาจนถึงทุกวันนี้อย่าง Son Heung-min  

ความก้าวหน้าตรงนี้ของพอล มิทเชล โดดเด่นมากๆ แต่มันก็ต้องจบลงเนื่องจากปัญหาที่มีการทะเลาะกับประธานสโมสรอย่าง Daniel Levy นั่นเอง

กุมภาพันธ์ปี 2018 มิทเชลได้ย่างเท้าก้าวแรกเข้าไปสู่ระดับทวีปแล้วเรียบร้อยด้วยการไปรับหน้าที่คุมตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสรรหาและพัฒนาที่สโมสร RB Leipzig และเขาช่วยทำให้ทีมจากเยอรมันรายนี้มีตัวเล่นและทีมที่ดีพอจะเข้าสู่รอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อปี 2020 รวมถึงการคว้าถ้วย DFB Pokal ในปี 2022 ของไลป์ซิกด้วย (ได้มาสองปีติดแล้ว)

หลังจากหนึ่งทศวรรษของการหาบุคลากรชั้นยอดเอาไว้มากมายและได้รับการยอมรับทั่วทั้งทวีป ทีมโมนาโกจากลีกเอิงก็ดึงตัวเขาเข้าไปเป็นผู้อำนวยการด้านกีฬาของสโมสร ซึ่งตำแหน่งนี้ถือเป็นรางวัลสำหรับจุดสูงสุดของการทำงานในวงการฟุตบอลของเขา ที่มันแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ได้รับการยอมรับในวงการฟุตบอลเช่นนี้ โดยเขามีหน้าที่ดูแลและรายงานต่อรองประธานอย่าง Oleg Petrov มิทเชลเข้าควบคุมนโยบายทางฟุตบอลในทุกๆเซกเตอร์ของสโมสร ไม่ว่าจะเป็นอะคาเดมี่ ทีมชุดใหญ่ และการลิงค์สโมสรโมนาโก กับทางสโมสร Cercle Brugge

"พอลจะนำเอาทักษะในการส่องหา(เล็งหา) สรรหา และพัฒนาผู้เล่นของเราจากระดับอะคาเดมี่ให้ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่" โอเล็ก เปตรอฟ เล่าให้ทางเว็บไซต์ official ของสโมสรหลังจากการแต่งตั้งเขา

"พอลจะเข้ามาควบคุมดูแลชีวิตฟุตบอลของโมนาโก และผมเชื่อว่าการมาของเขาจะทำให้โปรเจ็คของเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ"

"มิทเชลมุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานในระดับอีลิทให้กับทุกๆฝ่ายทุกๆแผนกในสโมสร จัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบต่างๆตั้งแต่ด้านจิตวิทยา ด้านโภชนาการนักเตะ รวมถึงวิทยาศาสตร์การกีฬาด้วย นอกจากนี้เขายังกำหนดแพลตฟอร์มการฝึกซ้อมด้วยข้อมูลวิเคราะห์(data analytics) ทั้งข้อมูลการนอนหลับ วัดผลจากการฝึกซ้อม และจัดอาหารเฉพาะสำหรับสมาชิกแต่ละคนในทีม"

ตลอดระยะเวลาของเขาในการทำงานที่ฝรั่งเศส พอล มิทเชลถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการปลูกฝังกลยุทธ์ด้านฟุตบอลในระดับชั้นนำเอาไว้ ซึ่งมันเป็นผลกำไรที่ยั่งยืน, การจัดหานักเตะ การนำนักเตะมาพัฒนา รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัยเพื่อแข่งขันกับฟุตบอลยุโรปในระดับที่ดีที่สุด

และที่สำคัญ บ้านของมิทเชลก็อยู่ใกล้ๆกับแรทคลิฟฟ์ และมักจะเคลื่อนไหวคล้ายๆกันเสมอ

ความสำเร็จของมิทเชลมักจะถูกนำไปเชื่อมโยงให้ชายคนนี้กลับมาสู่แมนเชสเตอร์อยู่เสมอ ซึ่งแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดเป็นที่เข้าใจกันดีว่าเขาต้องการตำแหน่งทางกีฬาที่โอลด์แทรฟฟอร์ดมานานมากแล้ว ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ดูเหมือนว่าจะมีแผนเหล่านี้เตรียมไว้ตั้งแต่เขายังประจำอยู่ในฝรั่งเศสอยู่

มีคำให้สัมภาษณ์ของ Paul Mitchell ที่ให้ไว้กับทาง Sky Sports เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี2022 ที่ผ่านมาในหัวข้อเกี่ยวกับ Manchester United โดยตรงเอาไว้ดังนี้

"บริบท(context) เป็นสิ่งสำคัญในการจะวัดว่าสถานการณ์ปัจจุบันของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นยังไง แต่สำหรับผมคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องไปถึงจุดที่พวกเขาควรจะไปให้ถึงสำหรับเกมฟุตบอลในยุคสมัยใหม่นี้" 

"พวกเราห่างจากยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันมานานแล้ว เอริค เทน ฮาก ก็เป็นโค้ชระดับท็อปจากอาแจ็กซ์ แต่พวกเขาต้องการพิมพ์เขียวชั้นยอด ไม่ใช่เพียงแค่ขณะปัจจุบันในตอนนี้ แต่ต้องสำหรับอนาคตอีกห้าปีข้างหน้าด้วย ต้องพยายามทำงานเพื่อสิ่งนั้น และบางทีมันอาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในยามที่ไม่ได้ผลการแข่งขันที่ถูกต้อง แม้ว่าคุณจะทำในสิ่งที่มันถูกต้องอยู่แล้วก็ตาม"

"คุณควรต้องรู้ว่าในช่วงเวลาแบบนั้น ความหนักแน่นมั่นคงในการตัดสินใจจะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้ ผมคิดว่าเราได้เห็นกันแล้วว่าทั้งแมนเชสเตอร์ซิตี้ และ ลิเวอร์พูลทำ เมื่อคุณใช้กลยุทธ์การวางแผนในระยะยาวเป็นหลัก คุณก็จะได้รับความสม่ำเสมอ และความสำเร็จที่ยั่งยืนจริงๆ"

"ผมคิดว่านั่นสำคัญที่สุดสำหรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด วางอัตลักษณ์ที่พวกเขาอยากจะเป็นในวันนี้ ที่สำคัญกว่าคือสิ่งที่พวกเขาอยากจะเป็นในอีกห้าปีข้างหน้า และจุดหมายที่ว่าพวกเขานั้นอยากจะเป็นอะไร อยากจะมีหน้าตาทีมแบบไหนในทุกๆอย่างไล่ตั้งแต่เด็กๆอายุน้อย, สู่เรื่องสไตล์การเล่น ไปจนถึงวัฒนธรรมที่นิ่งและแข็งแกร่งในแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด"

สิ่งที่พอล มิทเชลพูด มันคือวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้างเรียลมากในแง่ความเป็นจริง(เพราะมันเป็นแบบนั้น) ขณะที่มันสะท้อนชัดเจนว่า มิทเชลนั้นมอง "ภาพใหญ่ของระบบและกระบวนการ" มากกว่าที่จะสนใจดูแต่จุดเล็กๆของปัญหา อย่างที่เราพยายามจะเขียนบอกในคอลัมน์นี้อยู่บ่อยๆว่า วิธีมองปัญหาของทีมฟุตบอล ต้องดูที่ภาพรวม ไม่ใช่ว่ามองแค่จุดเล็กๆอย่างที่แฟนบอลทำกันอยู่

ประโยคเด็ดที่เขาพูดไว้ มันเห็นได้ชัดเจนถึงสิ่งที่แมนยูและเทนฮากกำลังเผชิญอยู่ และแฟนบอลหลายคนไม่เข้าใจ ในประโยคที่ว่า "Sometimes on that journey there are hard moments when you don't get the right results, even though you're doing the right things" ที่มันแปลออกมาแบบบ้านๆง่ายๆก็คือ เวลาที่เราอยู่ในช่วงเวลาลำบากและผลลัพธ์มันไม่ออกมาอย่างที่คาดไว้ ไม่ได้แปลว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ผิด เพราะบางครั้งมันก็เจอสถานการณ์หรือผลลัพธ์ที่แย่ๆได้ แม้ว่าจะพยายามดำเนินแนวทางที่มันถูกต้องอยู่แล้วก็ตาม

เพราะฉะนั้น ถ้าทิศทางมันถูกต้อง ก็ต้องเดินหน้าต่อ ไม่ใช่หักหัวเรือย้ายไปย้ายมา สิ่งที่มิทเชลพูดมันก็คือสิ่งเดียวกันกับวลีที่ว่า Trust in process นั่นแหละครับ

ซึ่งเมื่อแฟนบอลอย่างเรามองเห็นปัญหานอกสนามที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอด ทำให้หลายๆคนเชื่อว่า พอล มิทเชล จะปฏิเสธแนวทางที่ขาดความชัดเจนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าตัวเชื่อมั่นในโอกาสที่ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยในงานนี้ได้ เขาก็จะสามารถผลักดันตัวเองเข้ามาสู่ประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งอย่างที่นี่ได้ สโมสรที่แฟนบอลมี Passion มากที่สุดอีกทีมหนึ่งอย่างแมนยูไนเต็ด

หลังจากที่เขาออกจากตำแหน่งในฝรั่งเศสเมื่อไม่นานมานี้ พอล มิทเชล ในวัย 42 ปีกลับมาอยู่บ้านที่อังกฤษอีกครั้ง (ซึ่งแต่เดิมเขาก็เป็นเด็กถิ่นของ Stalybridge ในแถบ Manchester อยู่แล้ว) และเป็นหนึ่งในบุคลากรอิสระที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดอีกคนในวงการฟุตบอล และถึงแม้ว่าเขาตัวคนเดียวจะไม่อาจเข้ามาแก้ไขปัญหาสโมสรได้เลยในทันทีทันใด การเข้ามาของเขาก็อาจจะเป็นเจตจำนงและตัวเร่งให้แผนการในอนาคตเกิดขึ้นได้เร็วกว่าเดิม

แมนยูไนเต็ดห่างหายจากการกลับคืนสู่มาตรฐานฟุตบอลชั้นยอดมานานแล้ว ขณะที่ตอนนี้แฟนบอลอย่างเราก็ยังต้องรอเกี่ยวกับข้อสรุปการเสนอราคาซื้อหุ้น 25% ของเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ ที่ดูเหมือนก็จะต้องใช้เวลาลุ้นกันต่อไปอีก ในตอนนี้ยังไม่มีอะไรรับประกันได้แม้แต่อย่างเดียวทั้งนั้น สิ่งที่แฟนผีต้องลุ้นก่อนอย่างแรกคือ ขอให้เกิดดีลการขายหุ้นขึ้นมาเสียก่อน ค่อยลุ้นต่อในพาร์ทฟุตบอล ซึ่งในแคนดิเดทคนทำงานตรงนี้ยังมี เซอร์เดฟ เบรลส์ฟอร์ด ที่เป็นกูรูของทาง INEOS อยู่อีกคนด้วย

แต่ชื่อของ พอล มิทเชล คืออีกหนึ่งชื่อที่แฟนผีควรลุ้นให้เขาเข้ามาช่วยงานเราในฐานะเครือข่ายกำลังเสริมจากการดูแล Football operation โดยสาย INEOS ของเซอร์จิมจริงๆ และสิ่งที่จะตามพอล มิทเชลเข้ามา มันคือวิสัยทัศน์ชั้นยอดของเขาที่จะมาพร้อมกับ "อนาคต เสถียรภาพ และความยั่งยืน" ในระยะยาวของสโมสรนั่นเอง

ขอให้ได้ขอให้โดน สาธุ

#BELIEVE

-ศาลาผี-

Reference

https://strettynews.com/2023/10/18/what-can-manchester-united-expect-from-paul-mitchell/?utm_source=rsn&utm_medium=rsn&utm_campaign=gac0085

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด