ไม่มีการโต้แย้งนโยบายของ ฟีฟ่า กับเป้าหมายการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกให้ไปทั่วทุกทวีปในโลกได้เป็นเจ้าภาพ แต่ว่ากับเจ้าภาพในอีก 11 ปีข้างหน้ามันดูแปลกๆ ยังไงอยู่
"รายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจะจัดขึ้นที่ อเมริกาเหนือ ในปี 2026 และในปี 2030 จะจัดขึ้นที่ทวีป แอฟริกากับยุโรป จากนั้น ทวีปเอเชียจะเป็นเจ้าภาพปี 2034" จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่า กล่าวหลังประกาศเจ้าภาพ
"นั่นทำให้ ฟุตบอลโลก คือรายการของทั้งโลกอย่างแท้จริง เพราะจะลงแข่ง 3 สมัยใน 10 ประเทศจาก 3 ทวีป กระบวนการพิจารณาได้ถูกอนุมัติโดยคณะกรรมการของ ฟีฟ่า ซึ่งมีตัวแทนจาก 6 ทวีปเข้าร่วมพูดคุยปรึกษากัน และต้องขอบคุณทุกคนซึ่งร่วมแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นบวก"
"ฟุตบอลทำให้โลกเป็นหนึ่งเดียวกันไม่เหมือนกีฬาอื่นๆ และ เวิลด์ คัพ ถือเป็นเวทีโชว์ที่สมบูรณ์แบบที่จะสื่อให้เห็นถึงความสามัคคีและการไม่แบ่งแยก วัฒนธรรมที่แตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้"
อันที่จริงแล้วมี ออสเตรเลีย ที่เป็นอีกชาติที่เสนอตัวจัดการแข่งขัน แต่ว่ากลับถอนตัวไป ทำให้ ซาอุดิอาระเบีย เป็นชาติเดียวที่เสนอตัว
แต่ทันทีที่มีการประกาศเรื่องนี้ ทุกความคิดเห็นมุ่งไปในทิศทางเดียวกันว่าสำหรับ ฟีฟ่า เงินคือสิ่งเดียวที่สำคัญและเงินไม่เป็นเพียงคำพูดเมื่อ ซาอุดิอาระเบีย เข้ามาสู่วงการกีฬา แต่มันคือเสียงตะโกนลงมา
เหมือนอย่างที่เราได้เห็นกันล่าสุดกับการชกมวยระหว่าง ไทสัน ฟิวรี่ ยอดนักมวยคนดังกับ ฟร็องซิส เอ็นกานนู สตาร์เอ็มเอ็มเอ ที่ไปขึ้นเสียงเวียนชกกันในไฟต์มีพิเศษที่กรุงริยาดห์ ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการชกโชว์มากกว่าเอาจริงเพราะไม่มีเดิมพันอะไร
นอกจากจะเป็นการชกของสองซูเปอร์สตาร์แห่งวงการแล้ว งานนี้สุดยอดคนดังของโลกมากมายทั้งจากวงการกีฬาและวงการบันเทิง
รายงานระบุว่า ฟิวรี่ รับเงินเข้ากระเป๋าสำหรับไฟต์นี้สูงถึง 50 ล้านปอนด์ ส่วนทาง เอ็นกานนู รับไป 10 ล้านปอนด์
เรียกได้ว่าเพราะเงินนั่นแหละที่เสกให้การต่อสู้นี้เกิดขึ้น
เป็นน่าสนใจว่า เอ็ดดี้ ฮาว ผู้จัดการทีมนิวคาสเซิ่ล ที่มักไม่ค่อยพูดถึงเกี่ยวกับเจ้าของสโมสร คราวนี้มีการยกย่องกับเรื่องนี้ว่า "คุณสามารถมั่นใจได้ว่าทุกอย่างมีโครงสร้างที่ดีมากๆ"
แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้นการแข่งขันในลีกยุโรปจะต้องหยุดชะงักระหว่างฤดูกาลเหมือนกับศึกที่ กาตาร์ อีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในวงการไม่ค่อยชื่นชอบกันเท่าไรนัก
และสิ่งที่ ฟีฟ่า ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ากฎหมายในประเทศซาอุดิอาระเบีย ในหลายด้านที่อาจส่งผลในช่วงจัดการแข่งขันโดยเฉพาะเรื่องเพศที่คนเพศเดียวกันมีความสัมพันธ์คืออาชญากรรม และผู้หญิงได้รับการปฎิบัติเป็นพลเมืองชั้นสอง รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จริงอยู่ที่เราไม่ควรจะยัดเยียดวัฒนธรมมแบบตะวันตกไปให้กับชาว ซาอุดิอาระเบีย แต่ก็ไม่ควรมอบตำแหน่งเจ้าภาพให้กับประเทศที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นนี้
มิงกี้ วอร์เด้น ผู้อำนวยการของ ฮิวแมน ไรท์ส ว็อทช์ กล่าวว่า "ความเป็นไปได้ที่ว่า ฟีฟ่า มอบตำแหน่งเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 กับ ซาอุดิอาระเบีย ที่แม้จะมีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนที่น่าตกใจและปิดช่องทางการติดตามใดๆ ก็ตาม เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ฟีฟ่า ต่อสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการหลอกลวง"
"ประวัติด้านสิทธิมนุษยชนที่น่าตกใจของ ซาอุดิอาระเบีย เสื่อมถอยลงภายใต้การปกครองของ มกุฏราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ซึ่งรวมถึงการประหารชีวิตผู้คน การปราบปราบสิทธิสตรีอย่างต่อเนื่องภายใต้การปกครองของผู้ชาย และสังหารผู้อพยพหลายร้อยคนที่ชายแดน ซาอุดิอาระเบีย - เยเมน"
การมอบตำแหน่งเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ยังหมายความถึงว่าราชอาณาจักรนี้จะครองพื้นที่ของกีฬาไปในอีก 11 ปี ข้างหน้านั่นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ แต่นี่คือการยืนยันว่าแกนกีฬาของโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ตะวันออกกลางและสิ่งนี้เร่งให้มันเร็วขึ้น
อาจจะเป็นไปได้ว่าฟุตบอลโลกเป็นจุดสิ้นสุดของ ซาอุดิอาระเบีย ในการล่าอาณานิคมของกีฬา แต่มีแนวโน้มว่ามันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการครองความยิ่งใหญ่นี้
แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ในปี 2033 ที่กรุงริยาดห์ มีราคาเท่าไร? การให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเจอกับ เชลซี ไปเจอกันที่นั่นในปี 2035 จะมีราคาเท่าไร?
หรือการแข่งขัน คริกเก็ต ชิงแชมป์โลก ในปี 2035 มีราคาเท่าไร? ศึก ไรเดอร์ คัพ ที่ เจดดาห์ ในปี 2035 มีราคาเท่าไร? หรือจะการแข่งขันโอลิมปิก ในปี 2036 ที่ ริยาดห์ มีราคาเท่าไร?
ฟุตบอลโลกไม่ใช่จุดจบความทะเยอทะยานของการครองความเป็นศูนย์กลางเรื่องกีฬาของ ซาอุดิอาระเบีย แต่มันเพียงจุดสิ้นสุดของการเริ่มต้นเท่านั้น
