ด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมของนักเตะดาวรุ่งที่วันนี้กลับมาสู่ทีมอย่างเต็มตัวแล้วหลังจากที่พลาดโอกาสช่วงต้นฤดูกาลไปจากการบาดเจ็บอย่างโชคร้าย วันนี้ค็อบบี้ ไมนู ได้รับโอกาสลงมาเป็นตัวจริง และสร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยมที่สุดจนเรียกได้ว่าสามารถแบกทีมเราในบางส่วนได้จริงๆ
มีคำชมมากมายในเกมนี้ที่เขาได้รับจากอดีตนักเตะหลายๆคนรวมถึงเพื่อนร่วมทีมด้วยดังนี้
"เขาโดดเด่นมาก ดูเป็นนักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจริงๆ เล่นสวย ไม่กลัวอะไร กล้าหาญมาก"
- รอย คีน-
"เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เราต้องพัฒนานักเตะให้ขึ้นมา ซึ่งเด็กๆสมควรได้รับโอกาส มันน่าเสียดายสำหรับเราที่เขาบาดเจ็บไปในช่วงพรีซีซั่นแต่ตอนนี้เขาก็กลับมาแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดีและเติบโตขึ้นแล้ว เขาแสดงมันให้ได้เห็นในวันนี้"
-เอริค เทน ฮาก-
"เป็นแมตช์ที่ยอดเยี่ยม สำหรับผมแล้วเขาคือแมนออฟเดอะแมตช์ เขาแสดงประสิทธิภาพได้อย่างดีเยี่ยม เล่นบอลได้แบบสบายๆ ไม่สร้างความผิดพลาดเลย ด้วยอายุขนาดนี้เขาถือว่ามีคุณภาพมากๆ และอ่านเกมขาดลอยกว่าคนอื่นๆ"
-บรูโน่ แฟร์นันด์ส-
"นี่คือเด็กอายุ18ปีที่สวมเสื้อปีศาจแดงซึ่งดูเหมือนคนมีประสบการณ์มากที่สุดคนนึงในสนาม"
- แกรี่ เนวิลล์-
เรื่องของประสิทธิภาพการเล่นในวันนี้ ถ้าให้วัดออกมาเป็นปริมาณเชิงตัวเลข เราจะเห็นการเล่นของเขาที่ยอดเยี่ยมพอจะเป็น MoM ของทีมได้ ไม่ต่างจากแมกไกวร์หรือการ์นาโช่เลย ด้วยการเล่นที่เน้น performance ล้วนๆเลยดังนี้
แทคเกิลชนะ 100%
จ่ายบอลแม่นยำ 83%
สัมผัสบอล 57 ครั้ง
จ่ายบอลสำเร็จ 34 จาก 41 ครั้ง
ดวลชนะ 5 ครั้ง 5
เก็บบอลสำเร็จ 3 ครั้ง
เลี้ยงเอาชนะสำเร็จ 2 จาก 3 ครั้ง
วางบอลยาวสำเร็จ 2 ครั้ง
ตัดบอลสำเร็จ 2 ครั้ง
บล็อคลูกยิง 1 ครั้ง
เคลียร์บอลสำเร็จ 1 ครั้ง
สถิติการเล่นนี้ต้องบอกว่ามันโดดเด่นมากๆ ทั้งปริมาณและคุณภาพ เพราะลูกเคลียร์บอลที่ไปขุดออกมาจากเส้นประตูได้นั่นสำคัญกับผลการแข่งขันยิ่งกว่าอะไร เพราะถ้าโดนเอฟเวอร์ตันตีตื้น ดีไม่ดีแมนยูอาจจะไม่ได้จบลงด้วยสกอร์ขาดลอย 0-3 แบบนี้ก็เป็นได้
สาเหตุสำคัญที่สุดที่วันนี้ค็อบบี้ ไมนู ได้รับการเลือกให้ลงมาเป็นตัวจริง หลักๆเลยคือเรื่องของสไตล์การเล่น ที่ไมนูเป็นหลักในแดนกลางได้ด้วยสองเหตุผล
1. มิติการเล่นโฮลดิ้ง และเรื่องของการคุมเกม
ประการแรกคือ ไมนูสามารถคอนโทรลเกม และคุมเกมให้กับทีมได้ ในลักษณะของการเป็นตัวตั้งเกมจากตำแหน่งเบอร์ 6 กึ่งเบอร์ 8
คือไม่ได้ยืนปักหลักต่ำเพื่อเล่นเกมรับแบบมิดฟิลด์ตัวรับ แต่เป็นตัวคุมจังหวะที่เชื่อมเกมขึ้นหน้าได้ เล่นโฮลดิ้งได้ ซึ่งเป็นลักษณะของตัว Regista ของทีม ที่สามารถทำหน้าที่ตรงนี้ได้ โดยปล่อยให้นักเตะคนอื่นๆในทีมเช่นแม็คโทมิเนย์ และบรูโน่ สามารถโหลดขึ้นหน้าได้โดยอิสระ ไม่ต้องส่งใครถอยต่ำลงมาช่วยค็อบบี้ ไมนูเลย
เพราะสิ่งที่เห็นคือ ไมนูยืนต่ำเดี่ยวคนเดียว และสามารถเซ็ตเกมได้ง่ายๆ นั่นคือความสามารถที่โดดเด่นของเจ้าตัวในฐานะ Regista คนสำคัญของแดนกลางทีม
ถ้าวันนี้แมนยูไนเต็ดในภาพรวมครองบอลกันโดดเด่นกว่านี้ ค็อบบี้ก็จะยิ่งเด่นกว่าเดิมเข้าไปอีก
2. ความสามารถในการ "แก้เพรส"
นักเตะประเภทหนึ่งที่ทีมซึ่งเล่นเพรสซิ่งหนักๆมักจะไม่ค่อยชอบ คือตัวผู้เล่นที่มีความสามารถในการแก้เพรสได้เก่งๆ
การแก้เพรสทำได้หลายอย่าง ทั้งการใช้ทีมเวิร์คเล่นเกมครองบอลให้เหนือกว่าคู่แข่งได้ ด้วยปรัชญา positional play ที่เป๊ปใช้อยู่ตลอด เกมครองบอลที่ออกบอลกันได้ตลอดเวลาแบบนั้นทีมเพรสซิ่งจะไม่ถูกโรคเท่าไหร่
ส่วนค็อบบี้ ไมนู ด้วยธรรมชาติการเล่นของน้องที่ครองบอลได้ดี มีความพริ้วอยู่ในตัวที่สามารถเลี้ยงหนีได้ พลิกบอลได้
ตัวเล่นที่สามารถหนีเพรสเก่งๆแบบนี้ มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "Press-resistant midfielder" หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า เป็น "มิดฟิลด์ตัวต่อต้านการโดนเพรสซิ่ง" นั่นเอง
นักเตะประเภทนี้จะมีความคล่องตัวสูง มีทักษะที่ไปกับลูกบอลได้ดี เรื่องของ awareness จะสูงมากๆเพราะรับรู้ตำแหน่งและพื้นที่ของศัตรูและเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา
เอฟเวอร์ตันเป็นทีมที่เล่นในจังหวะที่ไม่มีบอลได้ดี ด้วยระบบ mid-block pressing ของพวกเขาที่จะดันขึ้นมาไล่ล่าบีบคู่แข่งในแดนกลาง ดังนั้น ในเชิงแทคติกแล้ว มันเหมาะที่สุดที่จะเอามิดฟิลด์สายพันธุ์ตัวแก้เพรสแบบนี้ลงมาสนาม ทำให้แมนยูไม่ได้โดนเล่นงานจากจังหวะเพรสซิ่งโดยตรงเท่าไหร่
และจุดแข็งอีกอย่างหนึ่งของเอฟเวอร์ตันใช้ไม่ได้ผล คือเรื่องของการชิงบอลในแดนบน หรือจังหวะที่เป็น high turnovers ที่ได้บอลในแดนบน แทบไม่เกิดขึ้นกับเอฟเวอร์ตันเลย ทำให้เกมรับของแมนยูปลอดภัยจากจังหวะโดนเล่นสวนกลับเร็ว กองหลังของเราที่ไม่ถนัดในการเจอบอลเร็วอย่างแมกไกวร์ ก็ปลอดภัยไปด้วย เพราะกลางต่ำของทีมอย่างไมนู ไม่ก่อความผิดพลาดในพื้นที่อันตรายนั่นเอง
กองหลังในวันนี้จึงมีหน้าที่ป้องกันบอลไดเร็คต์ บอลยาวที่ขึ้นมาดวลด้วยเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่สุดท้ายของทีม (Defensive Third) ทำให้การยืนตำแหน่งของแมกไกวร์ กับ ลินเดอเลิฟ อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และเล่นป้องกันได้เรื่อยๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็เป็นเพราะค็อบบี้ไม่พลาดเลยนั่นแหละอย่างที่บรูโน่ให้สัมภาษณ์เอาไว้ (กลับกัน คนที่ลงมาใหม่อย่างอัมราบัตยังมีพลาดแดนต่ำให้เห็นเหมือนกัน)
ดังนั้นเกมกับเอฟเวอร์ตันวันนี้ จึงถือเป็นวันที่เราเรียกได้ว่า "แจ้งเกิด" ค็อบบี้ ไมนู ได้อย่างเต็มตัว ในฐานะมิดฟิลด์ดาวรุ่งอนาคตไกลที่เล่นได้เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง เกินกว่าที่จะลงเล่นในระดับทีมสำรองของเราแล้ว
จากนี้ค็อบบี้จะอยู่ในฐานะ Squad Player ที่จะถูกใช้งานลงสนามในเกมที่เหมาะสม ซึ่งจริงๆแล้วคู่ที่เหมาะมากคือให้ค็อบบี้ เล่นคู่กับคาเซมิโร่ จะเป็นอะไรที่ดีมากในการเจอกับทีมใหญ่ๆ ให้คาเซปัดกวาด และค็อบบี้เอาตัวรอดจากการเจอเพรสซิ่งสูงจากคู่แข่ง กลยุทธ์นี้เอริค เทน ฮาก พยายามจะเอามาใช้แล้วในเกมเจอมาดริด แต่น้องดันเจ็บไปก่อน
ถ้าถึงเวลาที่ต้องดวลกับพวกท็อปโฟร์อีกครั้ง แล้วคาเซมิโร่หายเจ็บกลับมาแล้ว อยากดูมากๆว่า คอมโบไมนู+คาเซ จะน่าดูขนาดไหน แต่ด้วยความสามารถแบบนี้สามารถจับเข้าคู่ใครก็ได้ทั้งนั้น แค่ให้ระมัดระวังว่า ถ้าเกมไหนเจอคู่แข่งที่บุกโหดๆ และอาจจะโดนนวดเยอะๆ คงต้องใช้มิดฟิลด์ที่มีเกมรับติดปลายนวมยืนคู่น้องไว้อีกสักคนจะปลอดภัยยิ่งขึ้น
แมนยูไนเต็ดในช่วงเปลี่ยนผ่านของการปรับปรุงทีม เราค่อยๆมีแกนหลักอายุน้อยเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆทีละคนสองคน จากการ์นาโช่ที่เริ่มขึ้นมายึดตัวจริงได้แล้ว หลังจากนี้ก็จะเป็นคิวของค็อบบี้ ไมนูบ้าง ถ้าทีมค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆอย่างถูกทาง เสริมนักเตะตัวหลักเข้ามายืนระยะให้ทีมได้เรื่อยๆ เราก็จะสามารถดันเด็กดาวรุ่งแบบนี้มาใช้งานได้อีกยาวๆ
ไม่ต้องรีบร้อน ปั้นกันไปเรื่อยๆ ค่อยๆส่งลงสนามไปทีละนิดอย่างเหมาะสม แล้วแต่มุมมองและการพิจารณาของเอริค เทน ฮาก ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ปั้นนักเตะดาวรุ่งได้ดี เราเชื่อว่าค็อบบี้ ไมนู จะถูกใช้อย่างเหมาะสมแน่นอนในอนาคตต่อจากนี้
หายเจ็บกลับมาแล้ว ต่อจากนี้ก็ลุยกันไปยาวๆ กองเชียร์อย่างเราก็เชียร์น้องไปยาวๆเหมือนกัน
#BELIEVE
-ศาลาผี-
