:::     :::

เริ่มต้นบริหารถูกทาง ชูฟุตบอลเป็นหลัก และรับรู้ว่าสโมสรล้มเหลว

วันศุกร์ที่ 05 มกราคม 2567 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,498
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารงานของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่มีกลุ่ม INEOS ของเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ เข้ามาดูแลนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนหน้าอย่างเต็มตัว มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆพวกเขารู้ปัญหาชัดเจนมาก และตั้งต้นเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างถูกจุด จากนี้น่าสนใจมากว่าปีศาจแดงจะดีขึ้นยังไงในอนาคต

กรณีของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสโมสร ทั้งทางการบริหาร และในทางนโยบายนั้น ช่วงนี้เป็นเวลาที่ผู้บริหารฝ่าย INEOS ค่อยๆเข้ามาเยี่ยมชมทำความรู้จัก และเริ่มประเมินวางแผนงานหลายๆอย่างเอาไว้เพื่อรอทำงานอย่างเต็มตัวในช่วงต้นเดือนหน้าหลังจากได้รับการรับรองแล้ว เรื่องโครงสร้างการทำงานของ INEOS กับแมนยูไนเต็ด

จากรายงานของ Ornstein ล่าสุดระบุเอาไว้ว่าอาจจะมีการดึง ผู้อำนวยการฟุตบอล และ หัวหน้าฝ่ายสรรหาบุคลากร เข้ามาทำงานภายใต้การนำของ เซอร์เดฟ, บล็องก์ และ แรทคลิฟฟ์ นอกจากนี้ Simon Stone ก็ยังเพิ่มเติมว่าอาจมีผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค เข้ามาอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย

มีแคนดิเดทหลายๆคนตามข่าว หนึ่งในนั้นคือ Dan Ashworth ของนิวคาสเซิล ซึ่งเป็นบุคลากรที่ INEOS โปรดปรานมาก แต่ยังไม่ได้มีการติดต่อไปทางนิวคาสเซิล ณ เวลานี้ ซึ่งหากว่ามีตำแหน่งไหนสำคัญจริงๆ INEOS ก็พร้อมที่จะลงทุนเพื่อดึงตัวคนสำคัญเข้ามาทำงานทันที


เซอร์จิมบอกกับทีมงานของยูไนเต็ดเอาไว้ว่าเขาเองไม่ได้กังวลในเรื่องที่จะต้องทำเงินให้ได้จากการลงทุนกับสโมสร แต่เขาต้องการที่จะพาสโมสรแห่งนี้กลับไปคว้าแชมป์ใหญ่ได้สำเร็จนั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือเป้าหมายหลักที่ทุกคนจะต้องมุ่งเน้นลำดับความสำคัญเอาไว้ที่สิ่งนั้นก่อน

การประเมินผลงานแบบตรงไปตรงมาของ เซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ ค่อนข้างที่จะแตกต่างและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงก่อนนี้เคยใช้วาทกรรมต่างๆ และก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเมื่อทีมสตาฟฟ์ได้รับฟังคำพูดนี้จากเซอร์จิม โดยทั้งเซอร์จิม และ เซอร์เดฟ พูดถึงความล้มเหลวด้านกีฬาโดยตรง + ยืนยันว่า "ความสำเร็จเรื่องฟุตบอลจะต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยุคของ INEOS"


เซอร์เดฟ เบรลส์ฟอร์ด เริ่มงานของเขาด้วยการเยี่ยมชมแคริงตันในช่วงปีใหม่ ได้พูดคุยกับทีมสตาฟฟ์แมนยู รวมถึงนักเตะทุกคนนับตั้งแต่ตอนนั้น ขณะที่เดือนกันยายนที่ผ่านมา อดีตCEOอย่าง ริชาร์ด อาร์โนลด์ ได้บอกกับทีมสตาฟฟ์ว่ายูไนเต็ดนั้นขยับเข้าไปใกล้และคืบหน้าไปสู่แมนเชสเตอร์ซิตี้ และอยู่ในสถานะไล่ล่าคู่แข่งทีมอื่นๆ

โดยทางเซอร์เดฟ เบรลส์ฟอร์ดเป็นผู้นำการมีตติ้งกลุ่มหลายๆครั้งระหว่างการประชุมเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ซึ่งเขากล่าวถึง ‘ความท้าทายในด้านผลงาน’ ของแมนยูไนเต็ด คือวิถีของเขาในการเน้นย้ำถึงปัญหาประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งมันเรื้อรังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตามการรายงานของ Simon Stone

จากนี้ก็รอดูกันต่อไป การทำงานในช่วงนี้จริงๆยังเป็นแค่การเริ่มต้น ผู้บริหารชุดใหม่เหล่านี้เพิ่งจะเข้ามาเยี่ยมชม ดูแลทักทายบุคลากรในสโมสรเป็นครั้งแรกๆ แต่เชื่อว่าวิสัยทัศน์ต่างๆ และปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกฝ่ายน่าจะพอรู้เรื่องกันบ้างแล้ว

ยิ่งดูจากสปีชที่เซอร์จิมกับเซอร์เดฟพูดเป็นการภายใน ค่อนข้างน่าดีใจว่าอย่างน้อยผู้บริหารเหล่านี้ก็รู้ว่าสโมสรมีปัญหา และเชื่อว่าพวกเขาจะไม่นิ่งนอนใจเหมือนเจ้าของสโมสรอีกกลุ่มหนึ่งอย่างแน่นอน

ตามข่าวตอนนี้ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าใครจะเข้ามาในตำแหน่งไหน แต่หลักๆแล้วที่เก็งๆกัน ก็มี แดน แอชเวิร์ธ เข้ามาเป็น DOF, พอล มิทเชลล์ อาจจะอยู่ในตำแหน่ง Head of recruitment ตามผลงานถนัดของเขา ส่วน Technical Director น่าจะมีคนจาก INEOS เข้ามาอีกหนึ่งตำแหน่งแน่ๆ

เพราะงั้นอย่างน้อย จะมีคนทำงานทั้งหมด 6-7 คนอย่างต่ำ ในการเข้ามาเป็นบอร์ดบริหารสายกีฬาของเรา นั่นก็คือ $JR, Sir Dave, Blanc, Mr.x1, Mr.x2, Mr.x3 ตามลำดับ ไม่รวมเอริค เทน ฮาก ในตำแหน่งเฮดโค้ชอีกหนึ่งคน

ยังไม่รวมส่วนอื่นๆที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกมาก ทั้งในส่วนของทีมเจรจาต่อรองดีลนักเตะ, ฝ่ายทีมScout, บุคลากรผู้ดูแลทางด้านกีฬาและกิจการต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รายละเอียดทั้งหมดคงจะค่อยๆทยอยตามกันมาหลังจากนี้ ที่แน่ๆคือโครงสร้างหลักเปลี่ยนแปลงแน่ คนหนึ่งที่อาจจะต้องลดบทบาทลงไปก็คือ จอห์น เมอร์เทอต์ และเปลี่ยนคนอื่นที่มีวิสัยทัศน์เข้ามาทำงานในส่วนนี้

สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องการจะนำเสนอให้ดูว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้น มีให้เห็นสองเหตุผลใหญ่ๆว่าปีศาจแดงกำลังจะมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ดังนี้

1. ผู้บริหารรู้ปัญหาอย่างดีว่าเราอยู่ในจุดที่ล้มเหลวมาหลายปีในด้าน "ฟุตบอล"

เซอร์จิมเองเป็นนักธุรกิจ แต่เขาก็เป็นแฟนแมนยูไนเต็ดด้วย สิ่งที่เขาและเซอร์เดฟเน้นย้ำชัดเจนว่า เรื่องฟุตบอลต้องสำคัญกว่าสิ่งอื่นๆอย่างกำไรหรือการเงิน เป็นประเด็นที่ดีที่สุดสำหรับเคสนี้ เพราะมันคือการมองเห็นปัญหาได้ตรงจุดชัดเจน หากการควบคุมดูแลตรงนี้ ยังอยู่ในผู้บริหารหรือเจ้าของสโมสรที่มองเห็นแต่การทำการค้า การทำธุรกิจเป็นหลัก มันจะไม่มีวันผงาดขึ้นมาได้เลย เพราะแมนยูยังคงทำกำไรได้เสมออยู่แล้วเนื่องจากแฟนบอลอย่างเรายังรักและศรัทธาอยู่

มันก็เป็นแบบที่เราเห็น ภายใต้ตระกูล Glazers นั่นก็คือ บริหารสโมสรไปเรื่อยๆ ไม่ได้แชมป์ไม่เป็นไร แต่ยังมีกำไรเข้ามาก็พอแล้ว นั่นคืออะไรที่ผิดมากๆ

แต่ในยุคของเซอร์จิม วิสัยทัศน์มันเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ฟุตบอลจะต้องนำสิ่งอื่นๆมาก่อน และผู้บริหารชุดนี้น่าจะรู้ปัญหาเป็นอย่างดี และพวกเขาจะรู้มากขึ้นเรื่อยๆถ้าได้ทำงานที่นี่อย่างเต็มตัว ดังนั้นโครงสร้างเน่าๆทั้งหลายจะถูกแก้ไขอย่างแน่นอน

เพราะงั้น เมื่อทีมงาน INEOS รู้ปัญหา และมองทิศทางในการแก้ไขได้ถูกต้อง ทุกอย่างจะเดินหน้าไปในแบบที่มัน "ควรจะต้องเป็น" อย่างแน่นอน

2. สิ่งที่สโมสรจะได้ คือความเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่นในภาคการทำงาน

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เพราะพวกเขาเข้ามาในลักษณะของ "ทีม" ที่มาด้วยกันจาก INEOS ซึ่งรู้มือกันดีอยู่แล้วในเรื่องการทำงาน, มีประสบการณ์ในระดับสูงมาเยอะไม่ว่าจะในทางฟุตบอล หรือกีฬาชนิดอื่นๆที่สนใจในเรื่องของ Performance เป็นสำคัญ

จากปัญหาหลังบ้านที่ค่อยๆเปิดเผยออกมาเรื่อยๆว่า ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่หลังบ้านมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะเหลือเกิน ปัญหาความไม่เป็นเอกภาพในการทำงานยังคงอยู่ที่นี่มาตลอดเวลา ยังไม่รวมวิสัยทัศน์แย่ๆของเจ้าของทีม และผู้บริหารเก่าๆที่ไม่ได้มีความรู้ด้านฟุตบอล แม้จะเก่งเรื่องธุรกิจและการตลาดก็ตาม แต่มันคือการบริหารบนวิสัยทัศน์ที่ไม่ใช่เรื่องฟุตบอลเลยแม้แต่น้อย

ทุกอย่างกระจัดกระจายไร้ทิศทางหมด คนที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมจึงค่อนข้างลำบากกันมากทุกคน สิ่งต่างๆที่เคยเป็นปัญหาเหล่านี้น่าจะถูกแก้ไขให้ดีขึ้นจากการที่มีทีมคอนโทรลชุดใหม่ "ทั้งชุด" จาก INEOS เข้ามาดูแลให้เป็นปึกแผ่นมากขึ้น

ยังไม่รวมความสามารถในระดับที่สูงกว่าบุคลากรเดิมที่จะเข้ามา ให้นึกภาพง่ายๆว่าสมมติหากดึงตัว พอล มิทเชลล์ หรือ แดน แอชเวิร์ธ เข้ามาได้ งานของเราจะยิ่งยกระดับมากขึ้นกว่าเดิมนับจากนี้

จากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม อย่างน้อยมันก็ทำให้แฟนบอลอย่างผมเริ่มมองเห็นแสงสว่างบ้างแล้วว่า ในอนาคตคงจะมีการทำงานของสโมสรที่ดีขึ้น ถูกจุดขึ้น บนวิสัยทัศน์และมุมมองที่ดีต่อ "ฟุตบอล" ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่แฟนบอลรัก

ผู้บริหารเจ้าของเงินเหล่านั้นเขาอาจจะไม่เข้าใจว่าเรารักแมนยูที่ตรงไหน

เพราะแบรนด์ดัง? เพราะชื่อเสียงติดตลาด? เปล่าเลย แฟนบอลอย่างเราไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าแมนยูดังไม่ดัง เราสนใจแค่ว่า ทีมรักเราจะเล่นกันได้ดีขนาดไหน จะชนะคู่แข่งได้ไหม จะคว้าแชมป์ถ้วยที่เราอยากได้รึเปล่า เราสนใจแค่นั้น

เราไม่สนใจด้วยว่าสโมสรจะทำกำไรมากน้อยเพียงใด เราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย สิ่งที่เราจะแคร์ก็คือขอแค่สโมสรสามารถประคองตัวเอง และอยู่ได้ด้วยการทำการค้าอย่างเหมาะสม และใช้เงินที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าบนลำแข้งตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาอัดฉีดเงิน แฟนบอลขอแค่นั้นจริงๆ เพราะเราทุกคนต่างเข้าใจว่า ฟุตบอลมันคือธุรกิจแล้ว จะมาพูดน้ำเน่าว่าไม่เอาธุรกิจเลยมันก็ไม่ได้ แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเหมาะสมก็พอ ไม่ใช่สนใจแต่เรื่องแบรนด์ เรื่องกำไร แล้วเอาฟุตบอลเป็นเรื่องรอง มันไม่ใช่

เซอร์จิม เซอร์เดฟ และทีมงาน หันหัวเรือไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องนับตั้งแต่เริ่มขึ้นมายังเรือลำนี้ เราในฐานะลูกเรือ และคนพายเรือด้วยการซัพพอร์ตสโมสรให้เดินหน้าต่อไป ก็รู้สึกมั่นใจ และสบายใจว่า เออ อย่างน้อยเรือก็หันหัวไปถูกจุด ต่อจากนี้ก็แค่ค่อยๆพายกันต่อไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง

ถ้าหันหน้าไปถูกทาง สักวันยานพาหนะแห่งนี้ที่ชื่อว่า "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" จะต้องไปถึงที่หมายอย่างแน่นอน

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด