เจลีก ฤดูกาล 2018 ล่าสุดมีนักเตะไทยย้ายไปโชว์ฝีเท้าถึง 3 รายคือ ชนาธิป สรงกระสินธุ์ กับ คอนซาโดเล่ ซัลโปโร, ธีรศิลป์ แดงดา กับ ซานเฟรชเช่ ฮิโรชิม่า และ ธีราทร บุญมาทัน กับ วิสเซิ่ล โกเบ ไม่นับรวมแข้งระดับเยาวชนที่จะได้ลงเล่นในระดับเจ3 ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลพวงจากการที่ "เมสซี่เจ" พิสูจน์ฝีเท้าเป็นที่ประจักษ์ในการช่วยพา คอนซาโดเล่ ซัปโปโร หนีตกชั้นได้สำเร็จ

ด้าน "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้คร่ำหวอดวงการฟุตบอลแดนปลาดิบ ได้เปิดเผยกับ THSPORT ว่า สหพันธ์ฟุตบอลของญี่ปุ่น ได้ร่วมกับภาครัฐ ก่อตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาด้านการตลาดฟุตบอลอาเซียนขึ้นมา เพื่อหวังตีตลาดสร้างฐานแฟนบอลในแถบอาเซียน และจากการที่ฤดูกาลก่อน ชนาธิป ทำผลงานได้ดี อีกทั้งเรตติ้งการถ่ายทอดสดฟุตบอลเจลีก ในคู่ที่ ชนาธิป ได้ลงสนามนั้นยอดทะลุเป้าบางนัดมีผู้ชมทางหน้าจอเกิน 1 ล้านคน และทางสหพันธ์ฟุตบอลญี่ปุ่นก็ได้ตั้งงบประมาณเพื่อช่วยเหลือทีมที่ดึงนักเตะไทยไปร่วมทีมในช่วงเริ่มต้น ด้วยการออกค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเหนื่อยให้

"ญี่ปุ่นเขาพยายามที่จะดึงผู้ชมในอาเซียนไปดูเจลีกให้มากขึ้น เพราะฐานคนดูไปติดพรีเมียร์ลีกอังกฤษกันหมด แล้วปีที่ผ่านมาเกมที่ ชนาธิป ลงเล่นมีคนไทยติดตามดูเยอะมาก ซึ่งถือว่าเขาประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องการตลาดและฝีเท้าที่ช่วยเหลือทีมได้ สหพันธ์ฟุตบอลของญี่ปุ่นเขาร่วมมือกับรัฐบาล มีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อทำการตลาดฟุตบอลอาเซียน แล้วก็ตั้งงบประมาณเอาไว้ ถ้าทีมไหนดึงนักเตะไทยไปร่วมทีม เขาก็จะช่วยรับภาระค่าเหนื่อยให้ ตอนนี้อาจจะช่วยแค่เบื้องต้นเพื่อลดความเสี่ยงให้แต่ละทีม แต่ต่อไปในอนาคตถ้านักเตะไทยมีคุณภาพและพิสูจน์ตัวเองได้เหมือนชนาธิป แต่ละสโมสรก็คงจะรับไปบริหารจัดการเอง" โค้ชเฮงกล่าว