อาลีสซง เบ็คเกอร์ ยอมรับว่าทราบประวัติศาสตร์การพบกันของ ลิเวอร์พูล - เอซี มิลาน บนเวทีชปล. มาพอสมควรโดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อปี 2005 ในชื่อว่าปาฏิหารย์ อิสตันบูล หากเป็นได้ก็อยากสร้างผลงานทริบิวต์ให้รุ่นพี่ชุดนั้นได้เห็นในการประเดิมกรุ๊ป สเตจ
ย้อนไปเมื่อ 16 ปีก่อนนัดชิงฯแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกีไม่มีใครคิดว่า 'หงส์แดง' ของ ราฟาเอล เบนีเตซ ที่ตามหลัง 0-3 เมื่อจบครึ่งแรก จะสามารถไล่ตีเสมอ 'รอสโซเนรี่' 3-3 เมื่อครบ 90 นาที ลากเกมถึงดวลจุดโทษจนชนะครองเจ้ายุโรปสมัยห้าแบบสุดดราม่า
แน่นอนว่าสักขีพยานผ่านจอตู้คือเด็กหนุ่ม 'อาลี' บนวัย 12 ปี ที่แม้ฝั่ง มิลาน อุดมด้วยแข้งแซมบ้า แต่ก็อดเทใจเชียร์ ลิเวอร์พูล ไม่ได้
กระทั่งวันนี้มาสวมเครื่องแบบ 'หงส์แดง' สู้กับ 'ปีศาจแดง-ดำ' ด้วยตัวเอง ก็อยากสร้างผลงานอุทิศให้รุ่นพี่อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ชาบี อลอนโซ่ หรือคนอื่นๆเห็นว่าเด็กรุ่นหลังก็มีดี
“ดิด้า (ผู้รักษาประตู มิลาน เมื่อนัดชิงฯปี 2005) มีอิทธิพลต่อตัวผมมาก ไม่เพียงแค่ผมคนเดียวแต่เป็นผู้รักษาประตูชาวบราซิลทุกคน” การกล่าวในงานแถลงความพร้อมก่อนเกมพุธนี้
https://twitter.com/LFC/status/1437780675227123712
“ความสำเร็จที่เขาได้รับในยุโรป ในอิตาลี เขาเป็นต้นแบบอย่างแท้จริงสำหรับผู้รักษาประตูทุกคน ไม่เพียงแต่คนบราซิล”
“แต่เกมนั้นมันน่าเหลือเชื่อมาก ริคาร์โด กาก้า กำลังเล่นได้ดี ผมโชคดีที่ได้พบกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว ได้เล่นร่วมกับพวกเขา เรียนรู้จากพวกเขาเป็นการส่วนตัว”
“แมตช์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากที่ได้เห็น มันยังเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่ได้เห็นแม้กระทั่งตอนนี้ การย้อนกลับไปในความทรงจำต่างๆ”
“ผมคิดว่ามีช่วงเวลาที่น่าเหลือเชื่อมากมายสำหรับกองเชียร์ลิเวอร์พูลทุกคน นักเตะรุ่นพี่เหล่านั้นคือแรงบันดาลใจสำหรับผม และเพื่อนร่วมทีมทุกคน”
"ตัวผมเอง และทีมเมตจะพยายามอย่างหนักกันอีกครั้งเพื่อตำแหน่งแชมป์ ชปล. เริ่มต้นจากเกมกับ เอซี มิลาน แต่เรามีเป้าหมายของเรา ปลายทางที่เราตั้งไว้ อย่างแรกคือผ่านเข้ารอบต่อไปก่อน แต่แน่นอนว่าเป้าหมายใหญ่ที่สุดคือการคว้าแชมป์"
เอเชียนแฮนดิแคปให้ ลิเวอร์พูล ต่อถึงลูกควบลูกครึ่ง-10 เพราะ มิลาน ห่างรายการนี้ไปนานอีกทั้งไร้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ร่วมเดินทางเพราะเดี้ยง
