ที่แอนฟิลด์ ผ่านไปได้ 9 นาที จิ้งจอกสีน้ำเงิน ออกนำ 1-0 เจมส์ แมดดิสัน ผ่านบอลมาให้ เจมี่ วาร์ดี้ จัดการสังหารส่งบอลเสียบตาข่ายให้แฟนบอลได้เฮ

เท่านั้นไม่พอนาทีที่ 13 สกอร์ขยับเป็น 2-0 หนนี้เป็นการประสานงานของ แพ็ตสัน ดาก้า ครอสมาให้เจ้าเก่า เจมี่ วาร์ดี้ รับหน้าที่สอยตาข่าย

หงส์แดง ไม่ยอมไล่มา 1-2 ในนาที 19 โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ไหลคืนมาให้ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ตั้งป้อมยิงส่งบอลซุกก้นตาข่าย

แต่ทีมเยือนนำห่างไปเป็น 3-1 ในนาทีที่ 33 จากความยอดเยี่ยมของ เจมส์ แมดดิสัน ได้จังหวะตั้งป้อมยิงไกลด้วยขวาบอลพุ่งผ่าน เคลเลเฮอร์ เสียบตาข่ายแบบสุดสวย

นาทีที่ 38 เลสเตอร์ พลาดโอกาสได้เม็ดที่สี่ เมื่อทาง เจมี่ วาร์ดี้ ตัดบอลก่อนลากไปยิงแต่บอลพุ่งชนเสาไกลเด้งออกมา

ครึ่งหลังนาที 52 เลสเตอร์ มีโอกาสนำห่าง เมื่อทาง เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ หลุดมาทางซ้ายก่อนเอี้ยวตัวยิงด้วยขวาไปเสาไกล แต่ทาง เคลเลเฮอร์ ปัดออกไปได้

เล่นไปถึงนาที 69 ลิเวอร์พูล ไล่มา 2-3 ทาคุมิ มินามิโนะ ชิ่งมาให้ ดีโอโก้ โชต้า สอดเข้าเขตโทษก่อนจะสับไกเสียบตาข่ายไม่เหลือซาก

ท้ายเกม หงส์แดง มีโอกาสตีเสมอ นาบี เกอิต้า ยิงไกลเข้าทาง ดีโอโก้ โชต้า โขกเปลี่ยนทางแต่บอลตรง แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ปัดออกไปได้ทัน

ทดเวลานาทีที่ 5 เจ้าบ้านเฮลั่นสนาม เจมส์ มิลเนอร์ วางมาให้ ทาคุมิ มินามิโนะ พักอกเอาลงก่อนเอี้ยวตัวกดด้วยขวาเสียบเสาไกล 3-3 ต้องดวลจุดโทษตัดสิน

ปรากฏว่าเป็นทาง ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่าเอาชนะจุดโทษด้วยสกอร์ 5-4 เข้ารอบตัดเชือกได้สำเร็จ