รายงานจาก ‘อาร์เอ็มซี สปอร์ต’ ว่าต้องย้อนถึงประวัติศาสตร์ของสองชาติก่อนว่าในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศส เข้าไปมีอิทธิพลในโมร็อกโก กอบโกยเอาสารพัดความมั่งคั่งทางทรัพยากร, ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมสู่แผ่นดินยุโรป 

ในเวลาต่อมาที่ชาติมีนโยบายเปิดรับคนจากประเทศอาณานิคมเข้าอาศัยบนแผ่นดิน จึงมีชาวโมร็อกกันนับล้านทยอยไปแสวงหาชีวิตคุณภาพดีกว่าเดิมยังเมืองน้ำหอม สืบเชื้อสายรุ่น-ต่อ-รุ่น โดยไม่ลืมรากเหง้าตัวเอง 

ดังนั้นจึงมองเกมฟุตบอลนอกจากความเร้าใจตลอด 90 นาทีแล้ว ยังเหมือนสงครามตัวแทนที่สร้างความภาคภูมิแก่เชื้อสายตัวเอง 

https://twitter.com/Walid_btrs/status/1603163459176341505

โดยหลังจบแมตช์จึงเกิดการปะทะระหว่างแฟนบอลทั้งสองชาติตามจุดใหญ่ต่างๆเช่นที่กรุงปารีส, เมืองท่ามาร์กเซย, นีซ หรือที่หนักหน่วงสุดคือ มงต์เปลลิเย่ร์ ทางภาคใต้ 

ภาพเหตุการณ์ที่บันทึกจากหน้าต่างห้องพักว่ากลุ่มแฟนบอล โมร็อกกัน ราว 30-40 ที่กำลังหัวเสียเพราะผลการแข่งขันเดินหงุดๆหวังจะปล่อยพลัง

กระทั่งไปเจอรถยนต์ส่วนบุคคลคันหนึ่งข้างทางที่ลดกระจกลงแล้วโบกธงชาติฝรั่งเศส สร้างความขุ่นเคืองแก่กองเชียร์ ‘สิงโตเตรังกา’ จึงพยายามเข้าไปกระชากธงผืนนั้นมาทำลาย 

ทว่าก็โดนคนขับออกรถด้วยความเร็วเพื่อสลัดให้พ้นกลุ่มแฟนบอลเหล่านั้นเพื่อกลับหัวขับย้อนศรขึ้นไป แล้วโชคร้ายแฟนบอลหนุ่มวัย 14 ปีรายหนึ่งถูกทับร่างเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

ส่วนการปะทะตามจุดอื่นๆก็เน้นโยนพลุไฟใส่กัน, เผาทำลายทรัพย์สิน และกระทบกระทั่งแบบไม่ถึงแก่ชีวิต ประมาณว่าคืนที่ผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนออกปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศนับหมื่นนาย 

ไม่ต่างกับกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม อีกชุมชนชาวโมร็อกกันแน่นหนาที่ออกมาแสดงพลัง ก่อความวุ่นวายตามท้องถนน ทางตำรวจก็เข้าจัดการด้วย 

ต่างจากมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษที่แม้แฟนบอลโมร็อกกันจะออกมาแสดงพลังตามท้องถนน แต่ก็เป็นไปอย่างสงบแม้จบเกมบอลแพ้