เรอัล มาดริด ทีมดังแห่งลา ลีกา สเปน ประกาศอย่างเป็นทางการคว้าตัว เอแด็น อาซาร์ ดาวเตะทีมชาติเบลเยียมไปร่วมทีมด้วยค่าตัวเบื้องต้น 100 ล้านยูโร (ประมาณ 3,500 ล้านบาท) พร้อมกับเซ็นสัญญายาว 5 ปี 

ภายหลังการประกาศอย่างเป็นทางการทั้งจากเชลซีและเรอัล มาดริด อาซาร์ ก็ได้กล่าวอำลาแฟนบอลสิงโตน้ำเงินครามเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมคาดหวังให้เชลซีและมาดริดจับสลากเจอกันในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า 

ถึงเพื่อนและครอบครัวของผมที่เชลซี

"คุณได้รู้แล้วว่าผมกำลังย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด ไม่มีอะไรปิดบังว่าการเล่นให้มาดริดคือความฝันของผมตั้งแต่เป็นเด็กที่เริ่มยิงประตูแรก ผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองหรือทีมเสียสมาธิตลอดช่วงเวลาอันยุ่งยากของข่าวลือและความสนใจจากสื่อโดยเฉพาะใน 6 เดือนหลังสุด

"ตอนนี้ทั้งสองสโมสรบรรลุข้อตกลงกันได้ ผมหวังว่าพวกคุณจะเข้าใจกับการก้าวสู่บทบาทใหม่ของผมซึ่งก็เหมือนพวกคุณทุกคนที่เมื่อมีโอกาสก็ต้องไล่ตามความฝัน การอำลาเชลซีเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดและยากที่สุดในอาชีพผมจนถึงตอนนี้ ผมต้องการฝากสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเสมอสำหรับผมคือ ผมรักทุกช่วงเวลาที่เชลซีและไม่เคยแม้เพียงครั้งที่จะคิดถึงการย้ายไปร่วมทีมอื่น"

"ผมอายุ 21 ปีตอนย้ายมาร่วมทีม ผมเติบโตขึ้นร่วมกับพวกคุณทุกคนทั้งในฐานะมนุษย์และนักฟุตบอล พวกคุณช่วยให้ผมได้เป็นกัปตันทีมชาติเบลเยียม ที่ผ่านมามีช่วงเวลายากลำบากทั้งทีมโดยรวมและส่วนตัวผมเอง แต่นี่คือวิถีของฟุตบอลอาชีพ" 

"แม้ในเวลาที่ผมเล่นไม่ดี ผมก็พยายามอย่างเต็มที่ที่สุด และก็ต้องขอบคุณการสนับสนุนอันสุดยอดของพวกคุณ มันคือสปิริตของการต่อสู้ และการไม่ยอมแพ้ที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เชลซีและก็มาจากพวกคุณโดยตรง" 

"เชลซี โดยเฉพาะแฟนบอลจะเป็นสิ่งพิเศษสำหรับผมเสมอ และในฤดูกาลหห้า ผมจะคอยติดตามผลการแข่งขันของทีมเป็นอันดับแรก ผมหวังว่าเราถูกจับสลากมาเจอกันในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าและในทุกฤดูกาลเพื่อที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง" 

ก่อนผมอำลา ขอขอบคุณทุกคนที่สโมสรเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับความทุ่มเทอันสุดยอดที่เรามีร่วมกันในทุกช่วงเวลา สำหรับอดีตเพื่อนร่วมทีมทุกคน เราได้กล่าวอำลาในช่วงเวลาที่เหมาะสม และผมก็ต้องขอบคุณมิสเตอร์อบราโมวิชและบอร์ดบริหารของเขาที่ช่วยให้ผมได้ตระหนักไม่เพียงแค่หนึ่ง แต่เป็น 2 ความฝัน ความฝันแรกคือการได้เป็นนักเตะเชลซีและวันนี้ ความฝันที่สองคือการเป็นนักเตะเรอัล มาดริด ผมขออวยพรทุกคนโชคดี

เอแด็น