ถึงวันกล่าวคำอำลาของเดมพ์ซี่ย์
ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา อาชีพค้าแข้งของนักเตะก็ย่อมมีวันสิ้นสุดเช่นกัน
คลิ้นท์ เดมพ์ซี่ วัย 35 เป็นอดีตแข้งดังคนล่าสุดที่ประกาศอำลาสังเวียนลูกหนังอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ผ่านมาหลังการค้าแข้งมานาน 15 ปี
เดมพ์ซี่ย์ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับ นิว อิงแลนด์ เรฟโวลูชั่น ปี 2004 ก่อนเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาค้าแข้งในลีกเมืองผู้ดีกับ ฟูแล่ม ปี 2007 จากนั้นอีก 5 ปีจึงย้ายมาเล่นกับ สเปอร์ส และหวนคืนสู่เวทีเมเจอร์ลีกอีกครั้งในปี 2013 หลังย้ายมาจาก ซีแอตเทิ่ล ซาวน์เดอร์ส จนกระทั่งตัดสินใจรีไทร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
'หลังจากคิดอยู่นานกับครอบครัวผมและผมได้ตัดสินใจว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับผมที่จะอำลาเกม'แถลงการณ์ของเดมพ์ซี่ย์ระบุ
'ผมอยากขอบคุณทั้งเพื่อนร่วมทีม, โค้ชและสตาฟฟ์ทุกคนที่ร่วมสนับสนุนการทำงานตลอดอาชีพของผม'
'มันเป็นความฝันของผมเสมอในการเป็นนักเตะอาชีพ ผมจึงอยากขอบคุณที่ได้มาถึงจุดนี้'
'ผมอยากขอบคุณแฟนบอลที่สนับสนุนผมมาโดยตลอดอาชีพทั้งกับ นิว อิงแลนด์ เรฟโวลูชั่น, ฟูแล่ม, สเปอร์ส, ซีแอตเทิ่ล ซาวน์เดอร์ส และทีมชาติสหรัฐอเมริกา'
'พวกคุณทั้งหมดทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเสมอและมันเป็นสิ่งที่ผมจะจดจำตลอดไป'
คลิ้นท์ เดมพ์ซี่ย์ เป็นเจ้าของสถิติกระทุ้งประตูให้ทีมชาติสหรัฐอเมริกามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม'แยงกี้'หลังกด 57 ประตูเทียบเท่า แลนดอน โดโนแวน จากการลงเล่น 141 นัด
เขายังเป็นนักเตะอเมริกันเพียงคนเดียวที่ยิงมากกว่า 50 ประตูทั้งการเล่นกับทีมชาติและการเล่นใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป หลังซัด 57 ประตูบนเวทีพรีเมียร์ลีก 213 นัดและยังยิงอีก 72 ประตูจากการลงเล่นเมเจอร์ลีก 186 เกม
เดมพ์ซี่ย์ ลงประเดิมสนามกับทีมชาติสหรัฐอเมริกากับ จาเมกา ในรอบคัดเลือกของศึกฟุตบอลโลก 2006 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2004 หลังถูกส่งลงสนามแทน รามีโร่ กอร์ราเลส ช่วง 23 นาทีสุดท้ายบนสังเวียน'โคลัมบัส ครูว์ สเตเดี้ยม'ซึ่งเกมลงเอยด้วยการเสมอ 1-1 ก่อนทำสถิติเป็นนักเตะอเมริกันที่ลงเล่นกับทีมชาติสหรัฐอเมริกา 141 เกมสูงสุดอันดับ 3 เป็นรองเฉพาะ โคบี้ โจนส์ กับ แลนดอน โดโนแวน ซึ่งลงเล่น 164 เกมกับ 157 เกมตามลำดับเท่านั้น
แต่สิ่งที่เดมพ์ซี่ย์ทำได้เหนือกว่า โจนส์ และ โดโนแวน คือการลงสนามรอบคัดเลือกของศึกฟุตบอลโลกที่เขาลงเล่นมากกว่านักเตะแยงกี้คนอื่นจากการลงเล่นรวมกัน 43 เกม
เดมพ์ซี่ย์ เกิดที่เมืองนาค็อกดอชส์และมีบรรพบุรุษเป็นชาวไอริชจากฝ่ายพ่อ ช่วงวัยเด็กเขาและครอบครัวอาศัยอยู่ในรถจอดพ่วง เดมซี่ย์กับพี่น้องเติบโตขึ้นมาเล่นฟุตบอลกับกลุ่มผู้อพยพเชื้อสายสเปนที่อยู่กันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ก่อนพี่ชาย ไรอัน และ เขาจะถูก ดัลลาส เท็กซัส ดึงเข้าทีมเยาวชน
การสูญเสียพี่สาวคนโตวัย 16 เจนนิเฟอร์ ซึ่งเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดโป่งพองในสมองเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 1995 กลายเป็นแรงผลักดันให้เดมพ์ซี่ย์ต้องการยกระดับการเล่นฟุตบอลให้ก้าวไปไกลที่สุดเพื่อเป็นเกียรติให้พี่สาวของเขา
เดมพ์ซี่ย์เล่นฟุตบอลกับทีมมหาวิทยาลัย เฟอร์แมน พาลาดินส์ ในช่วงปี 2001-2003 ทำสถิติยิง 17 ประตูจากการลงเล่น 62 เกม ก่อนถูก นิว อิงแลนด์ เรฟโวลูชั่น ดราฟท์เด็กหนุ่มจากเท็กซัสร่วมทีมอันดับ 8 เมื่อปี 2004
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อในฐานะนักเตะอาชีพของ คลิ้นท์ เดมพ์ซี่ย์ เขาทำสถิติยิง 25 ประตูจากการลงเล่น 71 นัด ก่อน ฟูแล่ม ซึ่งคุ้นเคยกับนักเตะอเมริกันหลังการดูดทั้ง ไบรอัน แม็คไบรด์ กับ การ์ลอส โบคาเนกร้า ไปร่วมก๊วนก่อนหน้านั้นจะดึง เดมพ์ซี่ย์ ไปร่วมทีมในช่วงเดือนธันวาคมปี 2006
เขากลายเป็นนักเตะอเมริกันที่มีค่าตัวแพงสุดของพรีเมียร์ลีกหลังการย้ายทีมด้วยมูลค่า 2 ล้านปอนด์ แต่ เดมพ์ซี่ย์ ทำผลงานคุ้มเกินค่าเงินที่ ฟูแล่ม จ่ายไปหลังการยิง 50 ประตูจากการลงเล่น 184 เกมในช่วงปี 2007-2012 และยังเป็นนักเตะอเมริกันคนแรกที่ทำแฮตทริกบนเวทีพรีเมียร์ลีกในเกมที่ ฟูแล่ม ถล่ม นิวคาสเซิ่ล 5-2 ในปี 2012 ด้วย
จากโชว์ฟอร์มเด่นกับ ฟูแล่ม ทำให้ สเปอร์ส ยอมจ่ายเงิน 9 ล้านดอลล่าร์เพื่อเซ็นสัญญากับ เดมซี่ย์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถิติแข้งอเมริกันค่าตัวแพงสุด โดยเซ็นสัญญาค้าแข้งในถิ่น'ไวท์ ฮาร์ท เลน'นาน 3 ปี ทว่า เดมพ์ซี่ย์ อยู่กับทีมตราไก่เพียงปีเดียวยิงเพียง 7 ประตูจากการลงเล่น 29 เกม ก่อนหวนคืนสู่เวทีเมเจอร์ลีกด้วยการเซ็นสัญญากับ ซีแอตเทิ่ล ซาวน์เดอร์ส ในช่วงซัมเมอร์ปีถัดมา
ซาวน์เดอร์ส จ่ายเงิน 9 ล้านดอลล่าร์ดึง เดมพ์ซี่ย์ มาจาก สเปอร์ส พร้อมเซ็นสัญญายาว 4 ปี แต่เขายังย้อนกลับมาเล่นกับ ฟูแล่ม ด้วยสัญญายืมตัว 2 เดือนในช่วงเดือนมกราคมจนถึงกุมภาพันธ์ปี 2014
เดมพ์ซี่ย์ กลับคืนสู่ ซีแอตเทิ่ล ในเกมเปิดซีซั่นเมเจอร์ลีกกับ สปอร์ติ้ง แคนซัส ซิตี้ ก่อนกระทุ้งแฮตทริกในเกมกับ พอร์ทแลนด์ ทิมเบอร์ส และยังกดประตูใส่ทั้ง เอฟซี ดัลลาส และ โคโลราโด้ ราปิดส์ ทำสถิติยิง 8 ประตูใน 5 เกมจนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ'MLS'ประจำเดือนเมษายน
เขาทำผลงานในซีซั่นแรกยอดเยี่ยมด้วยการยิง 15 ประตูและทำ 10 แอสซิสต์ แต่ ซาวน์เดอร์ส ไปได้แค่รอบชิงชนะเลิศคอนเฟอเรนซ์หลังการปราชัยต่อ แอลเอ แกแล็คซี่ อย่างไรก็ตาม เดมพ์ซี่ย์ พร้อมพลพรรคซีแอตเทิ่ลยังคว้าแชมป์'ลามาร์ ฮันท์ ยู.เอส.โอเพ่น คัพ'ปี 2014 เป็นรางวัลปลอบใจหลังการเอาชนะ ฟิลาเดลเฟีย ยูเนียน ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-1
เดมพ์ซี่ย์ ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญในอาชีพค้าแข้งจากการคว้าแชมป์'เมเจอร์ลีก'กับ ซีแอตเทิ่ล ซาวน์เดอร์ส ปี 2016 แต่เขาพลาดการลงเล่นตลอดช่วงครึ่งฤดูกาลหลังเนื่องจากหัวใจมีการเต้นผิดปกติ ก่อนจะได้รับการยืนยันจากแพทย์ที่ดูแลรักษาว่าเขาพร้อมจะกลับมาลงเล่นในฤดูกาลถัดไป
เขากลับมาลงเล่นกับ ซาวน์เดอร์ส ในฤดูกาล 2017 และกลับมาเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ ซีแอตเทิ่ล หลังยิง 12 ประตูจากการลงเล่น 29 เกมจนได้รับรางวัลนักเตะคัมแบ็กแห่งปีของเมเจอร์ลีก ก่อนปิดฉากการเล่นกับทีมชาติสหรัฐอเมริกาในศึก'คอนคาเคฟ โกลด์ คัพ'ที่จาเมกา หลังทีมแยงกี้คว้าแชมป์สมัยที่ 6 จากการสอยเจ้าภาพในนัดชิงชนะเลิศ 2-1
ด้วยวัยและสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนก่อนทำให้ เดมพ์ซี่ย์ มีบทบาทกับ ซาวน์เดอร์ส น้อยลงโดยมีโอกาสลงสนามเพียง 14 เกมในฤดูกาลนี้หลัง ซีแอตเทิ่ล ซื้อตัว ราอูล รุยดีอาซ กองหน้าทีมชาติเปรูมาร่วมทีมตั้งแต่ เดมพ์ซี่ย์ ต้องพักครึ่งซีซั่นเนื่องจากหัวใจเต้นผิดปกติ ก่อนที่แข้งดาวดังวัย 35 ปีจะตัดสินใจรีไทร์จากวงการลูกหนังเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
'คลิ้นท์ เดมพ์ซี่ย์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาในประเทศเรา'ดอน การ์เบอร์ คอมมิสชั่นเนอร์เอ็มแอลเอสกล่าวถึงอดีตกองหน้าทีมชาติสหรัฐอเมริกา
'จากความสำเร็จในช่วงต้นอาชีพของเขากับ นิว อิงแลนด์ เรฟโวลูชั่น นำไปสู่ความสำเร็จในฐานะนักเตะชั้นนำในศึกพรีเมียร์ลีกของอังกฤษและสำหรับทีมชาติสหรัฐอเมริกา คลิ้นท์ได้แสดงให้เห็นว่าไม่มีข้อจำกัดของนักเตะอเมริกัน'
'การตัดสินใจเซ็นสัญญากับ ซาวน์เดอร์ส ในปี 2013 ในช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขาได้ส่งข้อความไปยังทั่วโลกให้เอ็มแอลเอสเป็นลีกที่ได้รับความสนใจมากขึ้น ในนามของแฟนบอลและครอบครัวเอ็มแอลเอสทุกคน ผมต้องการแสดงความยินดีในการอำลาของเขาและหวังว่าเขาจะโชคดีที่สุดในอนาคตที่เขาเลือก'
เดมพ์ซี่ย์ ยืนยันว่าจะจดจำช่วงเวลาตลอด 15 ปีในอาชีพค้าแข้งของเขา แฟนบอลก็จะไม่ลืมเลือนสิ่งที่เขาทำไว้กับวงการลูกหนังเช่นเดียวกัน