:::     :::

Same Same But Different

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความสำเร็จในการเป็นแชมป์ยุโรปสมัย 6 ของลิเวอร์พูล เป็นสิ่งยืนยันอีกครั้งว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

หนึ่งปีก่อน "หงส์แดง" อกหักได้เพียงรองแชมป์ แต่ปีนี้แก้ตัวคว้าแชมป์ได้สำเร็จ 

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เจ็บปวดทั้งกายและใจที่เคียฟ แต่ปลดเปลื้องความรู้สึกที่ค้างคาในใจออกไปหมดสิ้นที่มาดริด

เจอร์เก้น คล็อปป์ แพ้แล้วแพ้อีก 6 ครั้งติดต่อกันในนัดชิงบอลถ้วย แต่ครั้งที่ 7 เขาได้รับการชูมือให้เป็นผู้ชนะ 

ชีวิตคนเราต้องกระตุ้นตัวเองมากแค่ไหนเพื่อให้ลุกขึ้นสู้เป็นครั้งที่ 2, ครั้ง 3, ครั้งที่ 4 ฯลฯ แต่คล็อปป์ลุกขึ้นเป็นครั้งที่ 7 

แชมป์ยุโรปของลิเวอร์พูลเกิดขึ้นได้ก็เพราะพวกเขาไม่ยอมแพ้และสู้ต่อ เหมือนกับข้อความบนเสื้อของซาลาห์ที่ว่า "Never Give Up" 

โอกาสประสบความสำเร็จอยู่ใกล้ในทุกครั้งที่ยังสู้ และมันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอนหากตัดสินใจยอมแพ้

ลิเวอร์พูล คู่ควรกับการเป็นแชมป์ยุโรปเพราะพวกเขาพิสูจน์ตัวเองได้อย่างครบถ้วนตลอดเส้นทางสู่บัลลังก์สมัย 6 

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ลุกจากม้านั่งสำรองมายิงประตูชัยช่วงทดเจ็บชนะเปแอสเช, อาลีสซง เบ็คเกอร์ เซฟจังหวะชี้เป็นชี้ตายในเกมแย่งกันเข้ารอบกับนาโปลี, ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ ซาดิโอ มาเน่ ในวันบุกถ้ำเสือใต้ และการคัมแบ็กอันเหลือเชื่อในรอบตัดเชือกกับบาร์เซโลน่า 

ในวันที่ไม่มีทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่ก็ยังไล่อัดบาร์ซ่าไส้แตก 4-0 หากไม่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เราก็คงไม่มีทางเชื่อว่าคือเรื่องจริง

ลิเวอร์พูลคือทีมที่ดีที่สุดในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีนี้ และทีมที่ดีที่สุดก็ได้ชูถ้วยแชมป์

แต่กว่าจะมีวันนี้ได้พวกเขาก็เคยผิดหวังและเจ็บปวด เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องใช้เวลาถึง 4 ปีเพื่อแชมป์แรกของตัวเองกับสโมสร 

แมนฯ ยูไนเต็ด และอาร์เซน่อลที่ล้มเหลวในฤดูกาลนี้ ควรต้องมองคู่แข่งอย่างลิเวอร์พูลเป็นตัวอย่างว่าเพราะเหตุใดถึงกลับมาผงาดได้

คู่ต่อสู้ที่ดีคือคู่ต่อสู้ที่ทำให้เราแกร่งขึ้น ทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง และทำให้เรามีแรงกระตุ้นในการลงสนาม 

หากพิจารณาจากบริบทหลายอย่าง ทีมที่ควรศึกษาและหาแรงบันดาลใจจากลิเวอร์พูลในยุคคล็อปป์ให้ได้ก็คือ อาร์เซน่อล 

มีข้อเปรียบเทียบหลายอย่างว่าอาร์เซน่อลในฤดูกาลล่าสุดมีความคล้ายคลึงกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2015/16 


หงส์แดงลบความผิดหวังกลับมาคว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ

ข้อแรกคือ เป็นการทำงานในอังกฤษฤดูกาลแรกของ อูไน เอเมรี่ และ เจอร์เก้น คล็อปป์ หลังเข้ามารับตำแหน่งต่อจาก อาร์แซน เวนเกอร์ และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตามลำดับ 

ฤดูกาลแรกของคล็อปป์ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาทดลองระบบและตัวผู้เล่นจนไม่มีทีมที่ดีที่สุดในใจ ต่างจากปัจจุบันที่ไลน์อัพตัวจริงค่อนข้างชัดเจน 

ซิมง มิโญเล่ต์ กับ นาธาเนียล ไคลน์ เป็นเพียง 2 ผู้เล่นที่ลงเล่นในลีกเกิน 30 นัด สถิติตรงนี้บ่งบอกได้อย่างดีว่ามีตัวหลักน้อยมากในทีมชุดนั้น ขณะที่ฤดูกาลล่าสุดมีลงเล่นเกิน 30 นัดถึง 9 คน หาก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่เจ็บพักใหญ่ก็เป็นรายที่ 10 แน่นอน

คล็อปป์พาทีมจบเพียงอันดับ 8 ของตาราง ไม่ติดแม้กระทั่งพื้นที่ยูโรปา ลีก และตามหลังทีมแชมป์เลสเตอร์มากถึง 21 คะแนน 

ปีนั้น หงส์แดงทำได้ดีในบอลถ้วยที่เข้าชิงลีก คัพ กับยูโรปา ลีก ทว่าอกหักได้เพียงรองแชมป์ทั้งสองรายการ

สรุปแล้ว ฤดูกาลแรกของคล็อปป์คือยังไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก โอกาสลุ้น 2 ทางทั้งท็อปโฟร์และแชมป์ยูโรปา ลีก ต่างพลาดทั้งหมด

ทุกอย่างที่ไล่เรียงมาแทบไม่ต่างจากอาร์เซน่อลในฤดูกาลล่าสุด 

หากเอาความสำเร็จของลิเวอร์พูลเป็นที่ตั้งก็สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวเองได้ว่า ทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ดังนั้นฤดูกาลแรกของเอเมรี่ที่มือเปล่าก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบแค่นี้ 

สิ่งสำคัญก็คือ การประเมินทีมของตัวเองหลังผ่านฤดูกาลแรกซึ่งเอเมรี่ได้เห็นปัญหาหลายอย่างที่มองไม่เห็นในตอนแรก 

อาร์เซน่อลในแบบช่วงท้ายของเวนเกอร์วางมือยังมีอยู่, กองหลังเสียประตูง่ายดายราวกับทีมครึ่งล่างของตาราง, นักเตะหลายคนทำผลงานได้ต่ำกว่าที่คาดหวัง ฯลฯ 

การรื้อระบบของโค้ชคนก่อนไม่ใช่ทำได้ง่าย แท็กติกของโค้ชแต่ละคนมีความต่างกัน ต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน

ก่อนหน้าคล็อปป์ ลิเวอร์พูลคุมโดยร็อดเจอร์ส แต่ก็เพียง 3 ปี ต่างจากเอเมรี่ที่เข้ามาแทนเวนเกอร์ซึ่งอยู่กับอาร์เซน่อลยาวนาน 22 ปี 


ปืนใหญ่พลาดตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก อีกปี

โจทย์ที่รอ อูไน เอเมรี่ อยู่ในซัมเมอร์นี้ถือว่ายากมากและมีคำถามเกิดขึ้นว่าเขาจะพาทีมเดินทางไปในทิศทางที่ถูกต้องในแบบ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้หรือไม่

หากเป็นไปตามข่าวที่ออกมา การไม่ได้เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้งบประมาณในการเสริมทัพจำกัดเพียง 40 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าน้อยมากกับทีมระดับนี้ 

ซัมเมอร์ที่แล้ว เอเมรี่บริหารจัดการเงิน 60-70 ล้านปอนด์กับ 5 ผู้เล่นแนวรับได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว 

หากมีเงินมากกว่านี้เขาก็คงอยากได้ใครก็ตามที่ดีกว่าของฟรีที่ยูเวนตุสไม่ใช้แล้วอย่าง สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์ หรือนักเตะที่มีประสบการณ์มากกว่าดาวรุ่งจากลีกรองฝรั่งเศสอย่าง มัตเตโอ เก็นดูซี่  

ชุดตัวจริงของคล็อปป์ที่คุมลิเวอร์พูลนัดแรกบุกสเปอร์ส 0-0 เมื่อปี 2015 ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ออกสตาร์ตในนัดชิงยุโรปล่าสุด

นั่นเป็นสิ่งที่บอกกับเราว่า กว่าที่ลิเวอร์พูลจะมีวันนี้ได้ก็ผ่านการผ่าตัดทีมครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งอาร์เซน่อลก็จำเป็นต้องทำแบบนั้น

ทว่าสิ่งที่ต่างกันระหว่างเอเมรี่กับคล็อปป์ และเป็นข้อแตกต่างที่ส่งผลอย่างมากในการสร้างทีมฟุตบอลสมัยใหม่คือ การสนับสนุนจากเจ้าของทีม

สแตน โครเอนเก้ เจ้าของทีมอาร์เซน่อลต่างจากกลุ่มเฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ที่นำโดย จอห์น เฮนรี่ อย่างมาก 

ตลอด 11 ปีนับจากเทกโอเวอร์อาร์เซน่อล โครเอนเก้ไม่เคยควักเงินตัวเองลงทุนแม้แต่ปอนด์เดียว 

นโยบายของโครเอนเก้คือหารายได้ ได้เท่าใดก็ต้องจ่ายเท่านั้น มองเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบและไม่มียอมเจ็บตัวจ่ายให้ก่อนเด็ดขาด 

อูไน เอเมรี่ เป็นโค้ชที่เก่งหรือไม่เก่ง ความเห็นแฟนบอลไม่ตรงกันอยู่แล้ว  แต่สิ่งหนึ่งที่มองเป็นอื่นไม่ได้คือ เขาจะไม่มีทางสร้างทีมที่ต้องการได้เลยหากไม่มีเงินที่มากพอ 

มีภาพในหัว มีแผนการปรับปรุงทีม มีนักเตะเป้าหมายที่ต้องการ แต่ไม่มีเงินซื้อก็จบ ไอเดียที่ดีจะต่อยอดให้เป็นจริงได้เร็วก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนที่ดี มีคนเบื้องหลังที่พร้อมผลักดัน 

สโมสรฟุตบอล สโมสรกีฬา หรือแม้แต่องค์กรธุรกิจใดก็ตามที่ประสบความสำเร็จ จะมีอย่างน้อย 1 คนที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อองค์กรตัวเองเสมอ 

ไม่มีเงินลงทุนมากแต่ก็ยังพอเข็นธุรกิจตัวเองไปได้ หากคนเป็นเจ้าของมีใจที่ทุ่มเทและทำงานหนัก 

ถ้ามีทั้งเงินทั้งใจ แถมยังทำงานหนักด้วย อะไรก็ขวางไม่ได้

แต่หากไม่มีเงิน ไม่ได้ใจแฟนบอล ไม่อะไรสักอย่าง 

แบบนี้จะเอาอะไรไปสู้กับคู่แข่ง 
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด