สำหรับ "อองตวน กรีซมันน์" ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศส ที่ย้ายจากแอตเลติโก้ มาดริด มาร่วมทีมบาร์เซโลน่า ด้วยการจ่ายค่าฉีกสัญญารวมแล้วราว 120 ล้านยูโรเลยทีเดียว พร้อมกับรับเสื้อหมายเลข 17 ไปครอบครอง
แน่นอนว่า การย้ายทีมในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของกรีซมันน์ เลยทีเดียว เพราะในอายุ 28 ปี เขากำลังเดินทางอยู่ในช่วงพีคของการค้าแข้งในโลกลูกหนัง
ช่วงนี้ เราไปพบเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเจ้าตัวกัน ผ่านคำบอกเล่าของคนใกล้ชิด และเส้นทางชีวิตบางส่วน กว่าจะมาเป็นนักเตะของบาร์เซโลน่า เหมือนทุกวันนี้
คำบอกเล่าจากคนใกล้ชิด
ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ กุนซือแอตเลติโก้ มาดริด บอกว่า "อองตวน ถือเป็นนักเตะที่สามารถพัฒนาเกมการเล่นของตัวเองในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความฟิตของร่างกาย, ความเข้าใจในแท็คติก, บุคลิกภาพ, ความดุดัน, การครองบอล และการบุกทะลวง"
อาดีล รามี่ ปราการหลังโอลิมปิก มาร์กเซย บอกว่า "อองตวน เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งสุดในโลก เขาเป็นนักฟุตบอลที่ฉลาดเป็นกรดเลยล่ะ แถมยังเป็นนักเตะที่มีความสามารถ และเล่นลูกกลางอากาศได้ คุณต้องจับตามองเขาให้ดีเลย เพราะเขาสามารถทำให้คุณเสียสูญได้ทุกเวลา"
ฟิลิปป์ มงตานิเย่ร์ อดีตโค้ชของเรอัล โซเซียดาด บอกว่า "อองตวน เป็นชายหนุ่มที่มีความสุขติดตัว แม้ว่าเขาจะโดนความกดดันเข้ามาถาโถมอย่างมากมายก็ตาม เขามองสิ่งเหล่านั้นเป็นความสนุก และเปี่ยมไปด้วยความสดชื่น"
เอมิลิโอ เอ็นซู อดีตเพื่อนร่วมทีมเรอัล โซเซียดาด บอกว่า "อองตวน เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน หากคุณเป็นคนที่มีความสามารถแล้ว ความทะเยอทะยานจะนำพาคุณไปได้ไกล เท่าที่คุณต้องการเลย"
ก้าวย่าง
@ กรีซมันน์ ถูกสโมสรหลายแห่งในฝรั่งเศส ปฏิเสธการคัดตัวเข้าร่วมทีมเยาวชน เพราะมองว่า ร่างกายของเขาเล็กจนเกินไป รวมถึงทีมที่เขาเชียร์อย่างโอลิมปิก ลียง ด้วย ดังนั้น เขาต้องท่องตระเวนไปคัดตัวอย่างไม่หยุดหย่อน แม้ว่าทุกครั้งจะจบลงที่ความผิดหวังก็ตาม กระทั่งโชคชะตาหันมาเข้าข้างเขาบ้าง ผ่านผู้ที่ให้โอกาสคนแรกคือ "เอริค โอลฮาทส์" แมวของของเรอัล โซเซียดาด ที่ดึงตัวเขามาร่วมทีมอะคาเดมี่ โดยบอกว่า ร่างกายของกรีซมันน์ สามารถพัฒนาขึ้นได้ ทว่าสิ่งที่เขาเกิดความประทับใจมากกว่า นั่นคือการคอนโทรล และการผ่านบอล นอกจากนี้ ทีมจากสเปน มักมองถึงเรื่องความสามารถมากกว่าที่จะมองเรื่องสรีระเพียงอย่างเดียว
@ เริ่มต้นด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับเรอัล โซเซียดาด ด้วยการทำหน้าที่เป็นเด็กเก็บบอลควบคู่ไปด้วย โดยครั้งหนึ่ง เขาเคยได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งยวด เมื่อ "ซีเนอดีน ซีดาน" มอบกางเกงแข่งขันให้ สมัยที่มาเยือนในฐานะนักเตะของเรอัล มาดริด กระทั่ง 25 ตุลาคม 2010 ก้าวมาเล่นเรอัล โซเซียดาด ชุดใหญ่อย่างเต็มตัว โดยสามารถยิงประตูแรกในศึกลาลีกา อย่างเป็นทางการ ในเกมกับเดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า ซึ่งมีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น
@ 14 เมษายน 2013 ในเกมกับราโย่ บาเยกาโน่ กรีซมันน์ ในวัย 22 ปี 24 วัน ลงเล่นในศึกลาลีกา สเปน ครบหลัก 100 เกม โดยเป็นนักเตะที่อายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์อันดับที่ 5 ที่ได้ลงเล่นในลีกสูงสุดแดนกระทิงดุแตะหลักดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่า ผลงานอันยอดเยี่ยม ส่งผลให้ปีต่อมา เขามีโอกาสติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดใหญ่ เป็นครั้งแรกในชีวิต
@ ซัมเมอร์ปี 2014 ดาวเตะผมทองตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมแอตเลติโก้ มาดริด ด้วยค่าตัวประมาณ 30 ล้านยูโร สถิติบ่งบอกว่า 5 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับพลพรรค "ตราหมี" เขายิงอย่างน้อย 20 ลูกขึ้นไปในทุกฤดูกาล โดยมีแชมป์ติดมือคือยูโรป้า ลีก และยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ทิ้งทวนด้วยเป็นดาวซัลโวตลอดกาล อันดับที่ 5 ของสโมสรที่จำนวน 133 ประตู
@ สร้างชื่ออย่างเป็นทางการกับทีมชาติฝรั่งเศส ชุดใหญ่ ด้วยการคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยม ควบด้วยดาวซัลโวในศึกยูโร 2016 รอบสุดท้าย ที่พวกเขาจบรองแชมป์ โดยยิงไป 6 ประตูในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว ก่อนจะมาโชว์ฟอร์มร้อนแรง ด้วยการยิงอีก 4 ประตู ในศึกฟุตบอลโลก 2018 (รวมถึงยิงในนัดชิงชนะเลิศด้วย) ช่วยให้พลพรรค "ตราไก่" ครองแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี และสมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์
กรีซมันน์ ว่าอย่างไร ?
"ผมพยายามเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบให้ได้ ทั้งในแง่ของการเล่นเกมรุก และถอยลงมาช่วยเกมรับ พร้อมกันนี้ ผมพยายามจะแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูให้มากขึ้น นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก"
"เมื่อผมอยู่ในสนาม ผมพยายามมีความสุขกับตัวเอง พร้อมกับทุ่มเททุกส่งทุกอย่าง ทำเพื่อเพื่อนร่วมทีม, ผู้จัดการทีม และกับแฟนบอล ผมภาคภูมิใจกับเรื่องเหล่านี้ หากเอ่ยถึงช่วงเวลากับแอตเลติโก้ มาดริด ถือว่าเป็น 5 ปีที่แสนวิเศษเลยทีเดียว"
"ผมอยากขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ผมอยากบอกกับแฟนบอลที่มอบความรักมาให้ สาเหตุที่ผมย้ายทีมออกไป เพราะอยากจะมองหาอะไรใหม่ๆ และความท้าทายรูปอื่นๆ"
