ทว่านักเตะคนหนึ่งที่สามารถโชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างน่าชื่นชม นั่นคือ "ตีมู ปุ๊กกี้" กองหน้าของน้องใหม่อย่าง "นอริช ซิตี้" ที่กำลังเดินหน้ายิงประตูอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน เขายิงในลีกไปแล้ว 6 ประตู เกาะกลุ่มหัวแถวในการแย่งชิงตำแหน่งดาวซัลโว
จากการเปิดตัวอย่างสวยงาม ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนสิงหาคม .... และอย่าลืมว่า นี่เป็นการสัมผัสประสบการณ์ในลีกสูงสุดของอังกฤษ เป็นครั้งแรกในชีวิตเท่านั้น
ช่วงนี้เราย้อนไปดูความเป็นมาเป็นไปของกองหน้าทีมชาติฟินแลนด์ รายนี้กันหน่อย ผ่านบทสัมภาษณ์ที่ให้เอาไว้กับสื่อชื่อดังอย่างเทเรกราฟ
"ผมคือนักเตะไร้ค่าตัว ... นั่นแหล่ะข้อดี" ปุ๊กกี้ เริ่มเล่า
ย้อนกลับไปช่วงมิถุนายน, 2019 เขาย้ายมาร่วมทีมนอริช ซิตี้ ที่โลดแล่นในระดับเดอะ แชมเปี้ยนชิพ โดยที่สโมสรไม่ต้องเสียค่าตัวแม้แต่เพนนีเดียว นั่นถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ บนเส้นทางลูกหนังที่แสนยาวไกลที่เดินผ่านมา
"ปัจจุบัน, โลกของฟุตบอลมีเงินที่สะพัดเต็มไปหมด การย้ายทีมมีค่าตัวที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนผมไม่มีค่าตัว ผมจีงคิดว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่ดีของนอริช ซิตี้ ตอนที่ผมเซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทีม ผมไม่ได้ถูกคาดหวังไว้"
"ผมรู้ว่าผมสามารถทำผลงานที่ดีได้ อย่างไรก็ตาม ผมไม่กล้าคิดหรอกว่า ตัวเองจะยิงในลีกได้มากถึง 29 ประตู" เขาเล่าต่อถึงการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลที่ผ่านมา ที่ต้นสังกัดสามารถคว้าแชมป์มาครอบครองเป็นผลสำเร็จ พ่วงด้วยรางวัลส่วนตัวอย่างนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสร
ย้อนกลับไปที่ก้าวแรก เขายังเป็นเพียงวัยรุ่นที่ลงเล่นกับเคทีพี ทีมเล็กๆในบ้านเกิดที่ประเทศฟินแลนด์ ก่อนที่ฟอร์มการเล่นจะไปเตะตาแมวมองของเซบีย่า ที่ตัดสินใจดึงตัวไปร่วมทีม นั่นคือเป็นแบบทดสอบแรกของเขา
เขาบอกว่า "ย้อนกลับไปเวลานั้น ผมยังเป็นวัยรุ่น บางทีนะ มันอาจจะเป็นการย้ายทีมที่ใหญ่เกินไป ผมต้องอยู่ห่างจากบ้านด้วยอายุยังน้อย อากาศที่เมืองเซบีย่า ก็อุ่นกว่าที่ฟินแลนด์ 2-3 สัปดาห์แรก อะพาร์ตเมนต์ของผมยังไม่แอร์ด้วยซ้ำไป"
"คุณแม่ของผมต้องหยุดทำงาน 1 ปี เพื่อมาอยู่ดูแลผม มันช่วยได้เยอะเลย ผมยังคงมีอุปสรรคในเรื่องของภาษา ตอนนั้นผมเป็นเด็กขี้อายมากกว่าตอนนี้ การออกไปอยู่ต่างประเทศ คุณต้องเติบโตให้เร็วที่สุด .... สุดท้าย มันก็ไม่ได้ผล" เขากล่าวถึงการปรับตัวที่แสนยากลำบาก ส่งผลให้มีโอกาสลงเล่นให้กับเซบีย่า ชุดใหญ่ เพียงแค่ 1 เกม ตลอด 2 ปี
แบบทดสอบยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน เขาต้องย้ายกลับไปยังบ้านเกิด ด้วยการซบเอชเจเค เฮลซิงกิ ก่อนที่จะออกผจญภัยอีกครั้ง ด้วยการย้ายมาร่วมทีมชาลเก้ ต่อด้วยกลาสโกว์ เซลติก
"มันไม่ได้เป็นไปตามแผน พวกเขาต่างคาดหวังว่า ผมจะยิงประตูได้มากกว่านี้" เขากล่าวถึงความล้มเหลวกับทัพม้าลายเขียว-ขาว ที่แม้จะยิงไป 7 ประตู จากการลงสนาม 26 เกม ก่อนถูกขับไปยังบรอนด์บี้ ทีมในเดนมาร์ก
"การที่เราเล่นเกมเปิดสนามพรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูล เป็นอะไรที่เรามองหา ซึ่งคนในครอบครัวของผมส่วนมากเชียร์ลิเวอร์พูล รวมถึงคุณพ่อ และคุณลุงของผมด้วย"
"ที่ฟินแลนด์ เรามองว่าลิเวอร์พูล คือสโมสรใหญ่ ช่วงยุค'80 เราได้ชมฟอร์มพวกเขาผ่านทางโทรทัศน์ แน่นอนว่า พวกเขาเคยมีตำนานของฟินแลนด์ อย่างซามี่ ฮูเปีย กับยารี่ ลิตมาเน่น ค้าแข้งอยู่ด้วย"
"ผมสามารถยิงประตูได้อีกมาก แต่ต้องยอมรับว่า พรีเมียร์ลีก มีความแข็งแกร่งกว่าเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลนี้ ผมเชื่อว่าเราสามารถสร้างความประหลาดใจได้ แฟนบอลส่วนมากยังไม่ค่อยรู้จักเรา แต่เราพร้อมต่อการแข่งขันแล้ว"
"ผมพัฒนา 100 เปอร์เซนต์ในฐานะผู้เล่น” เขาบอกถึงการย้ายมานอริช ซิตี้ “ความจริงแล้ว ผมไม่ใช่นักเตะที่ขี้เกียจ อย่างไรก็ตาม สไตล์การเล่นที่นี่ ทำให้ผมต้องทำงานกับทีมให้มากขึ้น ผมรักที่จะเป็นกองหน้าให้กับสโมสรนี้"
เขาพูดวิถีชีวิตว่า วันว่างจากการเล่นฟุตบอล เขามักใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และมีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ "ผมเป็นคนที่ติดดินอยู่เสมอ และไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตัวเอง สำหรับความเย่อหยิ่ง .. ผมไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาแบบนั้น” ตัวตนเหล่านั้น ทำให้เขาชื่นชอบนอริช ซิตี้ มากเป็นพิเศษ เพราะนี่คือสโมสรที่ไม่มีความอีโก้ และอยู่กันแบบครอบครัว
“ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ผมฝันที่จะเล่นฟุตบอลลีกสเปน มาตลอด ผมทำความฝันนั้นสำเร็จแล้ว ... ตอนนี้ ถึงคราวของพรีเมียร์ลีก บ้างแล้ว” ปุ๊กกี้ ทิ้งท้าย
