รสชาติของ UCL
เริ่มต้นแบบฝันร้าย
สิ่งที่นักเตะและแฟนบอลลิเวอร์พูลไม่อยากให้เกิดมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การที่โดนทีมที่เก่งเรื่องแท็กติกและการตั้งรับอย่างแอตฯ มาดริดทีมนี้ได้ประตูนำไปก่อนครับ แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้ จากจังหวะเตะมุมที่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลจะสามารถป้องกันได้เป็นอย่างดีมาตลอดฤดูกาลแต่ในจังหวะนี้มาพลาดปล่อยให้บอลตกลงมาใส่เท้าฟาบินโญ่แล้วบอลเด้งไปเข้าทางซาอูล ญิเกซ ซัดผ่านอลิสซงเข้าไป ตรงนี้อาจจะต้องยอมรับว่าการประสานงานของแนวรับของลิเวอร์พูลดูจะมีช่องว่างมากกว่าปกติเล็กน้อย อาจจะมีสาเหตุมาจากการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นในทีมทำให้ความเข้าขารู้ใจในจังหวะตั้งรับลูกตั้งเตะเกิดช่องโหว่ขึ้นมา และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้โดนลงโทษทันที พอทีมตราหมีได้ประตูนำอันเป็นเป้าหมายหลักของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ใช้แท็กติกที่เตรียมมาได้อย่างเข้าทางยิ่งขึ้น หรืออาจจะเรียกได้ว่าประตูนี้เป็นประตูที่กำหนดทิศทางของเกมนี้ทั้งเกมไปเลยก็ไม่เกินเลยไปนัก
แท็กติกของซิเมโอเน่
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ผู้จัดการทีมเป็นแบบไหน ทีมก็ออกมาเป็นแบบนั้น” คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเกินเลยแต่อย่างใด และแอตฯ มาดริด ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน แอตฯ มาดริดของซิเมโอเน่เป็นทีมที่เล่นด้วยยากมากที่สุดทีมหนึ่งในโลก ทีมเขาเต็มไปด้วยแท็กติกแพรวพราวและพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทีมได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นการถ่วงเวลา การเล่นชั้นเชิงกับกรรมการ การก่อกวนจิตใจนักเตะลิเวอร์พูล ลูกหนักลูกขยันต่างๆ เกมนี้ทีมตราหมีขนมาอย่างเต็มพิกัด และต้องยอมรับว่า แท็กติการเล่นเกมรับของซิเมโอเน่ในเกมนี้จัดการกับแนวรุกของลิเวอร์พูลได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ แผงหลังของเขาตั้งรับแบบมีระเบิียบวินัยแต่ก็ไม่ถึงกับขนาดเอาแต่อุดประตูอย่างเดียว แต่เน้นรับเฉพาะในกรอบเขตโทษและหน้ากรอบเขตโทษเป็นพิเศษ ไม่ได้ถ่างแนวรับออกไปกันฟูลแบ็กที่เป็นอาวุธสุดอันตรายของแชมป์เก่าแต่อย่างใด แต่มาเน้นจัดการกับเป้าหมายที่จะเปิดเข้ามาแทน ทำให้เกมรุกของลิเวอร์พูลค่อนข้างอึดอัดเป็นอย่างมาก ตามจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่กับการทีมลิเวอร์พูลเจอการเล่นเกมรับแบบนี้ แต่ที่ต่างกันคือ คุณภาพของทีมและนักเตะที่พวกเขาเจอมามันคนละระดับกับทีมและนักเตะระดับแชมเปี้ยนลีกส์อย่างสิ้นเชิง และอีกส่วนนึงก็ต้องชมว่า ซิเมโอเน่นั้นปลุกเร้าลูกทีมและกองเชียร์ได้ดีเหลือเกิน แม้ในลา ลีกา พวกเขาจะผลงานลุ่มๆ ดอนๆ แต่ในรายการบอลถ้วยใหญ่แบบนี้ ที่สำคัญคือการเจอกับแชมป์เก่าทีมฟอร์มดีสุดๆ แบบนี้ มันสามารถปลุกเร้าและสร้างแรงกระตุ้นให้นักเตะได้เป็นพิเศษ และซิเมโอเน่ก็รู้ดีและใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ดีมากจริงๆ
ผิดหูผิดตา
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ว่าเราจะได้้เห็นลิเวอร์ชุดที่สุดแกร่งชุดนี้ “ยิงไม่เข้ากรอบแม้แต่หนเดียว” เกมรุกของพวกเขาดูตื้อตันไปหมด และนักเตะหลายๆ คนดูเหมือนจะหลงเหลี่ยมนักเตะตราหมีกันไปหมด โดยเฉพาะมาเน่ ที่ดูจะเป็นเป้าเล่นงานของฝั่งเจ้าบ้านเป็นพิเศษทำให้เขาเล่นไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย แถมยังโดนใบเหลืองไปตั้งแต่ต้นครึ่งแรกอีก จนคล็อปป์ต้องจัดการเปลี่ยนตัวออกไปก่อนในช่วงพักครึ่ง เพราะถ้าปล่อยให้เล่นต่อไปไม่แน่มาเน่อาจจะโดนใบแดงและอาจจะเสียหายหนักกว่านี้่ในนัดที่ 2 ของซีรี่ย์นี้ แต่คนที่ลงมาอย่างโอริกี้ ในตำแหน่งตัวริมเส้นด้านซ้าย ก็ดูเหมือนว่าจะคุกคามผู้เล่นเจ้าบ้านไม่ได้เลย ซาลาห์เองที่ดูจะสร้างความปั่นป่วนได้มากที่สุดแต่ก็แทบไม่มีช่องทางให้เขาเล่นเลย ส่วนคีย์หลักในเกมรุกอย่างฟีร์มีโน่ก็โดนเข้ากดดันและเล่นหนักจากรอบทิศทางจากแผงกองหลังและแผงมิดฟิลด์ที่น่าจะได้รับมอบหมายให้มาจัดการกับฟิร์มีโน่เป็นพิเศษ คล็อปป์พยายามแก้เกมโดยการปรับเอาโอริกี้ขยับเข้ากลางเพื่อพักบอลแต่ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เกมนี้น่าจะเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่สุดเกมหนึ่งในช่วงหลายปีนี้เลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะครองบอลได้มากถึง 60% - 70% แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยจริงๆ
ยังไม่จบ
ความพ่ายแพ้ อาจจะเป็นสิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลไม่คุ้นเคยเท่าไรนักในซีซั่นนี้ แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ ครับ และนี่น่าจะเป็นการกระตุ้นให้ลิเวอร์พูลกลับมาฮึดสู้และมีความท้าทายให้กับทีมได้อีกครั้ง ตอนนี้อาจจะต้องบอกว่าเขาอาจจะต้องยกระดับตัวเองขึ้นมาให้ได้ดีกว่านี้ ในเวทีแชมเปี้ยนลีกส์ และอาจจะต้องยอมผ่อนสมาธิจากเกมในลีกที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นแชมป์อย่างแบเบอร์แล้วจริงๆ ถ้าพวกเขาต้องการจะเป็นแชมป์มากกว่า 1 เขาอาจจะต้องลดความสำคัญกับตรงนี้ลงไปบ้าง แต่กระนั้นเกมนี้ก็น่าจะเป็นเกมที่จุดไฟในตัวเจอร์เก้น คล็อปป์และนักเตะได้เป็นอย่างดีจริงๆ ครับ การที่พวกเขาโดนกดดันจากทั้งกองเชียร์และโดนการตัดสินที่ดูจะไม่เป็นธรรมเท่าไรในเกมนี้ มันทำให้คล็อปป์และลูกทีมเตรียมจัดหนักให้กับทีมตราหมีในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้อย่างแน่นอน และน่าจะถึงคราวที่นักเตะและกองเชียร์ทำให้ทางฝั่งแอตฯ มาดริดได้รู้บ้างครับ ว่าพลังในแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูลนั้นยิ่งใหญ่และน่ากลัวกับทีมเยือนแค่ไหน “เวลคัม ทู แอนฟิลด์” ..... หึหึหึ ...