หลังจากที่รีไทร์จากฟุตบอลในปี2007 ผู้รักษาประตูจอมผาดโผนคนนี้ได้จับพวงมาลัยและลงแข่งขันในรายการLe Mans เป็นครั้งที่4ของเขาแล้ว
Fabien Barthez เป็นผู้รักษาประตูคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคปลาย90s ต้น2000s ภาพจำที่หัวโล้นของเขาถูกจุ๊บโดยเพื่อนสนิทในทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง Laurent Blanc ในฟุตบอลโลก 1998 คงจะเป็นภาพความทรงจำของแฟนบอลไปอีกนานแสนนาน
และหลังจากเลิกเตะฟุตบอล โกลจอมแสบผู้ซึ่งเซอร์อเล็กซ์เคยบอกว่า เขาน่าจะเป็นนักฟุตบอลที่เป็นoutfield playerเก่งกว่าเป็นแค่โกลผู้นี้นั้น ได้โผเข้าสู่วงการนักแข่งรถในที่สุด
ตอนเขาอายุ36 บาร์เตซเทิร์นโปรเข้าสู่วงการMotorsport ในปี2008หลังจากที่เข้าแข่งขันในรายการ Porsche Carrera Cup France. ซึ่งในปีต่อมาเขาก็ลุยรายการ French GT Championship, Bioracing Series และก็ Caterham Sigma Cup France ตามลำดับ
ปี2010 บาร์เตซได้ขึ้นโพเดียมเป็นครั้งแรกในรายการ FFSA GT Championship ในสนามแรกที่ Dijon-Prenois. ซึ่งจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในโลกรถแข่งของเฮียแฟ้บนั้นก็คือการที่เขาชนะเป็นครั้งแรกในรายการ FFSA Series ในสนามที่สองที่Circuito de Navarraในอีกปีต่อมา รวมถึงการได้อันดับที่7 ในการแข่งขัน the championship ทำให้เขาได้รับความมั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกในการแข่งรถ
จุดสูงสุดที่น่าจดจำของบาร์เตซในอาชีพนักแข่งรถนั้น ขึ้นไปแตะจุดพีคที่ปี2013 ในยามที่เขาได้กลายเป็นแชมป์เปี้ยนของรายการ French GT เคียงข้างกับ Morgan Moullin-Traffort (แค่นามสกุลของพี่มอร์แกนแกก็ถูกโฉลกกับบาร์เตซแล้ว)
หลังจากจุดนั้นเพื่อเป็นการทดสอบศักยภาพของตัวเองยิ่งขึ้นไปอีกนั้น บาร์เตซได้ลงรายการแข่ง 24ชั่วโมง ของ Le Mans ในปี2014 ซึ่งเขาได้อันดับที่29 ในระดับ overall และอันดับ9 ใน LMGTE Am class driving Team Sofrev ASP's Ferrari 458 โดยมีco-drivers สองคนคือ Anthony Pons France Soheil Ayari ซึ่งในปี2014นี้ บาร์เตซยังตั้งเป้าที่จะลงแข่งLe Mansที่4ของเขาด้วย
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาชีพจากนักฟุตบอลสู่นักแข่งรถของชายชาวฝรั่งเศสผู้นี้นั้นต้องบอกว่า จริงๆแล้วมันมีโอกาสจะเป็นเช่นนี้มาตั้งนานอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องน่าเซอไพรส์อะไรของตัวเขาเอง
"ผมหลงรักกีฬา motorsport มาตลอด แม้กระทั่งตอนช่วงที่ยังเตะฟุตบอลอยู่ก็เถอะ มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งเสมอ"
"ผมอยากจะรู้ว่า ถ้าเข้าไปนั่งอยู่ในรถแข่งมันจะรู้สึกยังไง ผมจึงต้องรอจนกว่าผมจะแขวนสตั๊ดถึงได้ลองดู"
"และมันก็ไม่เหมือนฟุตบอลเลยนะ เพราะว่าฟุตบอลคุณจะยังพอเล่นได้ดีถึงแค่ช่วงประมาณอายุสัก35เท่านั้น ซึ่งก็คืออายุผมตอนที่แขวนสตั๊ํดนั่นแหละ"
บาร์เตซปรากฏตัวบนสารคดีโทรทัศน์ของฝรั่งเศสรายการ Brothers of Sport ของช่อง L'Equipe บาร์เตซย้อนความให้ฟังถึงบทสนทนาระหว่างเขากับอดีตนักแข่งF1อย่าง Olivier Panis ตอนช่วงปี1998 ถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่เขาจะเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งหลังจากที่เขาได้แชมป์โลกกับฝรั่งเศสในฟร็องส์98 บาร์เตซแทบไม่อยากเชื่อว่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
"ผมเคยได้คุยกับโอลิวิเยร์ในช่วงตอนซัมเมอร์ ผมถามเขาว่าถ้าผมได้แชมป์โลกขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น และทุกๆอย่างมันก็เกิดขึ้นเร็วมากๆ ตอนที่ได้แชมป์นั้นเราแทบจะไม่ได้อยู่นิ่งๆกับปัจจุบันในตอนนั้นเลย อะไรต่างๆมากมายไปหมด และผมก็ได้แต่ถามตัวเองว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย"
"ผมเป็นคนในยุคที่ได้รับการสั่งสอนมาว่า จงกอบโกยในอาชีพนี้ให้มันมากที่สุด เพราะว่าอายุของอาชีพมันสั้นมากๆ"
"และในที่สุดพอมันจบลง มันก็จบ นั่นคือเมสเสจที่ผมอยากส่งให้คนอายุยังน้อยๆ 'ทำเงิน' เพราะว่ามันจะเกิดขึ้นไวมากจริงๆ"
ในรายการสารคดีนั้น บาร์เตซคุยกับบิเซนเต้ ลิซาราซู แบ็คซ้ายในตำนาน ซึ่งตาคนนี้หลังแขวนสตั๊ดก็ไปเล่นยิวยิตสูแทน
หลังจากที่รีไทร์ บาร์เตซก็เริ่มทำตามสัญญากับตัวเองและแข่งรถในที่สุด
เขาตั้งทีม Panis Barthez Competition ในปี2013 ขึ้น ร่วมกับคนที่เป็นแชมป์จากรายการ Monaco Grand Prix ปี1996 ทีมนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะลงแข่งในรายการ24ชั่วโมงอย่าง Le Mans นั่นเอง
ในการแข่งขันปี2017 บาร์เตซที่กำลังบ้าระห่ำนั้นกดสถิติโคตรสปีดเอาไว้ที่ 206ไมล์ต่อชั่วโมงในสนาม Le Mans Circuit
"ผมรู้จักสนามนี้เป็นอย่างดีมากๆอยู่แล้ว ทั้งบรรยากาศ ทั้งจิตวิญญาณ ผมใช้เวลาประมาณ3เดือนในการฝึกและเรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้ จากpassionความหลงใหล มันอัพเกรดขึ้นเป็นการถูกเข้าสิงแล้ว"
"จริงๆแข่งรถมันก็คล้ายกับฟุตบอลนะในเชิงเปรียบเทียบกัน การต้องเผชิญหน้ากับความกดดัน คุณเห็นสนามสนามแข่ง ความกดดันที่รายล้อม ทุกอย่างเหล่านี้กลับมาหาผมอีกครั้ง"
เป็นที่น่าเสียดายที่บาร์เตซรีไทร์จากการแข่งขันในปี2017 ในตอนที่ Ligier JS P217 ตัว prototypeของเขาเกิดคลัชหักขึ้นมาอยู่3ชั่วโมงท้ายเรซ และสุดท้ายก็DNF
"ผมพยายามทำให้มันไปต่อให้ได้นะ แต่ก็ไม่สำเร็จ มันทำให้ทีมเราเจ็บปวดเมื่อเรากลับมาแข่งขันที่นี่ และทีมของผมก็รู้สึกแย่กับเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในสนามที่ยากลำบากนะ ทุกๆอย่างเลยทั้งเรื่องของความร้อน จุดเล็กจุดน้อยต่างๆ รอยรั่ว ยังไงก็ตามเราต้องกลับมาวิเคราะห์มัน และเราจะก้าวหน้าต่อไปได้"
"ซึ่งเวลาแบบนั้นคนเรามันก็ต้องเงยหน้าสู้ต่อไป และสร้างกำลังใจให้ตัวเองไว้ นั่นแหละคือวิธีที่ถูกต้องที่ทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าต่อได้ มันเป็นเรื่องของทีมและการที่ต้องช่วยกันแชร์ปัญหาต่างๆ"
"นี่คือปรัชญาในการเล่นกีฬาของผม"
และเจ้าของทีมอย่าง Panis เองนั้นก็ไม่เคยผิดสัญญากับบาร์เตซและการอุทิศตนเพื่อการแข่งmotorsportเช่นกัน
"ผมเองก็ได้เรียนรู้จากเขามากมายเหมือนกัน ผมมีความสุขมากๆที่ได้ทำงานร่วมกับฟาเบียง เขาเป็นนักขับที่มหัศจรรย์มากๆ น่าทึ่งกับสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จ" Panisให้สัมภาษณ์กับOmnisport
และก็เป็นดังที่Panisบอกเอาไว้อย่างชัดเจน Barthezยังคงประสบความสำเร็จในระดับสูงของวงการmotorsportต่อมาได้อีกเรื่อยๆ ซึ่งความสำเร็จในสนามแข่งทำให้อาชีพนักแข่งของชายผู้นี้ฉายแสงอย่างเจิดจรัสจริงๆ
ย้อนกลับมาในโลกของฟุตบอล เขาคือชายผู้รู้น้ำหนักถ้วยพรีเมียร์ลีกมาแล้วถึงสองครั้งสองคราเต็มๆในปี 2001 และ 2003 แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ได้ลิ้มรสชาติของผู้ชนะในระดับแชมเปี้ยนส์ลีกแล้วเรียบร้อยกับทีมมาร์กเซย์ในปี 1993 และเป็นแชมป์ Ligue 1 กับโมนาโกถึงสองสมัยในปี 1997 และ 2000
และความสำเร็จสูงสุดของเขากับLes Bluesในปี1998 เมื่อได้ชูถ้วยแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศส และต่อด้วยแชมป์บอลยูโรต่อเนื่องกันอีกในปี2000
ชายคนนี้ขับจิตวิญญาณตนเองไปสู่ความสำเร็จในสิ่งที่เขาทำอย่างแท้จริง
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาอยากจะกลับมาแก้มือที่ Le Mans อีกครั้ง เขาจะต้องจบเข้าสู่เส้นชัยได้อย่างแน่นอน
-ศาลาผี-
References
http://www.dailysportscar.com/2020/01/08/tech1-panis-barthez-becomes-panis-racing.html
https://www.lemans.org/en/news/24-hours-of-le-mans-fabien-barthezs-hat-trick-of-appearances/53180
