:::     :::

ตกรอบเอฟเอ คัพ...ไม่แปลก

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล จบเส้นทางการใน "เอฟเอ คัพ" ลงเพียงรอบ 4 หรือรอบ 32 ทีมสุดท้ายเท่านั้นหลังพ่ายต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

การแพ้ให้กับทีมที่ศักยภาพเป็นรองกว่าเหมือนเป็นเรื่อง "พลาดท่าเสียที" ยิ่งเป็น อาร์เซน่อล ที่ได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าพ่อเอฟเอ คัพ" ด้วยตำแหน่งแชมป์ 14 สมัย และดีกรีแชมป์ปีล่าสุด ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น 

แต่เมื่อพิจารณาในหลายๆ ปัจจัยแล้ว การตกรอบของ อาร์เซน่อล ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกมากนัก 

1 - มิเกล อาร์เตต้า จัดตัวผิดพลาด 

มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนทีม 7 ตำแหน่งจากเกมลีกที่ชนะ นิวคาสเซิ่ล 3-0 โดยมีเพียง แบรนด์ เลโน่, เซดริก โซอาเรส, กรานิต ชาคา และ ร็อบ โฮลดิ้ง ได้ลุยตัวจริงต่อ

7 ตำแหน่งที่ได้โอกาสคือ กาเบรียล มากัลเญส กับ เอคตอร์ เบเยริน ในเกมรับ, โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ ในแดนกลาง และ นิโกล่าส์ เปเป้, วิลเลี่ยน, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ในแนวรุก

การโรเตชั่นนักเตะคือสิ่งจำเป็นเพราะต้องเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน อีกนัดในวันอังคารที่ 26 มกราคม แต่ อาร์เตต้า เปลี่ยนตัวมากไปทั้งที่รอบก่อนหน้านี้กับ นิวคาสเซิ่ล ก็มีบทเรียนมาแล้ว

อาร์เซน่อล เจาะทัพสาลิกาไม่ได้เลยด้วยทีมที่มีสำรองมากไป สุดท้ายต้องส่งตัวหลักอย่าง อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์, เอมิล สมิธ โรว์, บูคาโย่ ซาก้า ฯลฯ ลงสนาม ก่อนบดชนะในช่วงต่อเวลา 2-0

ไม่ต่างจากนัดล่าสุดที่สุดท้ายก็ต้องเข็น ลากาแซ็ตต์, ซาก้า และ โธมัส ปาร์เตย์ ลไปช่วย ทว่าถ้วยสถานการณ์ที่เป็นรองหลังเสียประตูไปก่อนและนักบุญตั้งรับเหนียวแน่น กลุ่มตัวหลักก็ไม่สามารถช่วยทีมพลิกเกมได้

 กลุ่มสำรองที่ได้โอกาสทดแทนตัวจริงไม่ได้

2 - คุณภาพสำรองทดแทนตัวจริงไม่ได้

นักเตะหลายคนที่ได้โอกาสตัวจริงในนัดนี้ไม่สามารถคว้าโอกาสของตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็น เอ็นดี้ เอ็นเคเทียห์, โมฮาเหม็ด เอลเนนี่, นิโกล่าส์ เปเป้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิลเลี่ยน

วิลเลี่ยน ยังเค้นฟอร์มเก่งเหมือนนัดเปิดสนามที่ทำ 2 แอสซิสต์ออกมาไม่ได้อีกเลย ยิ่งเล่นยิ่งน่าผิดหวังและกลายเป็นตัวถ่วงทำจังหวะการเล่นเสียไปเอง มีพื้นที่มีเวลาในการจ่ายบอลขึ้นหน้าเพื่อสร้างเกมรุกแต่ก็ดึงย้อนกลับหลัง เป็นการครองบอลเล่นที่้ไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง

ขณะที่ เอ็นเคเทียห์ กับตำแหน่งหน้าเป้าก็เก็บบอลแทบไม่ได้ มีจังหวะได้ยิงก็ขาดความแม่นยำและไม่มีความดุดัน ส่วน เอลเนนี่ ก็ฟอร์มหลุดอีกรอบทั้งที่เคยทำได้ดีก่อนหน้านี้ ประตูเดียวที่เกิดขึ้นต้องรับผิดชอบมากกว่าใครเพราะเป็นคนทำบอลเสียก่อนโดนเซาธ์แฮมป์ตันโจมตีทันทีและได้ประตู

นิโกล่าส์ เปเป้ อาจมีสถิติสร้างโอกาสมากกว่าเพื่อนร่วมทีมที่ 5 ครั้ง แต่ก็มีปัญหาเดิมๆ คือทำบอลเสียบ่อยครั้ง ขาดความต่อเนื่อง และไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้กับทีมได้อย่างจริงๆ

เรียกได้ว่ากลุ่มสำรองกับตัวจริงมีคุณภาพต่างกันมากและไม่สามารถทดแทนกันได้เลย การเล่นที่ควรต้องเหนือกว่าจึงกลายเป็นรองในทันที


3 - แรงกระตุ้นที่ขาดหายไป

สิ่งที่เห็นได้ชัดในครึ่งแรกคือ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ใช้ตัวหลักๆ ในลีกลงสนามเกือบทั้งหมดแถมได้ แดนนี่ อิงส์ หายจากโควิด-19 กลับมาช่วยทีมทันเวลา มีแรงกระตุ้นและมุ่งมั่นมากกว่าชัดเจน

ต่างจาก อาร์เซน่อล ที่นอกจากคุณภาพตัวสำรองไม่ดีแล้ว ความกระหายในการเล่นก็มีน้อย ทำบอลเสียก็ไม่วิ่งไล่ การเพรสซิ่งหรือเข้ากดดันคู่แข่งมีน้อย ต่างคนต่างเล่น

ในครึ่งหลังที่ อาร์เตต้า ส่งตัวหลักลงมาทำให้รูปเกมดีขึ้น ปาร์เตย์ เป็นคนกำกับการจ่ายบอลออกซ้าย-ขวา แต่เมื่อองค์ประกอบในตำแหน่งอื่นไม่ตื่นตัวตามไปด้วย จังหวะสุดท้ายสุดท้ายของ อาร์เซน่อล จึงขาดประสิทธิภาพและไม่สามารถตามตีเสมอได้ ทำให้ตกรอบในที่สุด


โอบาเมย็อง อดชูถ้วยแชมป์อีกครั้งในปีนี้

4 - โชคร้าย โอบาเมย็อง พลาดช่วยทีม

แม้ผลงานในฤดูกาลนี้ของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง จะต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยทำได้ แต่หัวหอกทีมชาติโตโกก็ยังเป็นหนึ่งในคีย์แมนของทีมที่ขาดไม่ได้อยู่ดี 

โอบาเมย็อง มีสถิติการเล่นเอฟเอ คัพ ที่ดีมากเมื่่อยิงประตูได้ตลอด 4 นัดที่ลงเล่นรายการนี้ รวมแล้ว 6 ประตู ไฮไลต์สำคัญคือเหมา 2 ประตูพาทีมชนะ แมนฯ ซิตี้้ 2-0 ในรอบตัดเชือก และเหมาอีก 2 ชนะ เชลซี 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศปีที่แล้ว

หัวหอกกัปตันทีม พลาดลงเล่นในนัดล่าสุดเพราะติดธุระส่วนตัวกะทันหันก่อนเกมไม่กี่ชั่วโมง และจนถึงตอนนี้ มิเกล อาร์เตต้า ก็ยังไม่ได้เปิดเผยว่าสาเหตุที่แท้จริงคือเรื่องใด 

5 - ธรรมชาติของฟุตบอล 

สัจธรรมของการแข่งขันกีฬาคือไม่มีใครเป็นผู้ชนะได้ตลอด และไม่มีใครแพ้ตลอดเช่นกัน 

อาร์เซน่อล เคยทำได้ดีมากๆ ในเอฟเอ คัพ ที่คว้าแชมป์มากกว่าทุกทีม และได้แชมป์ 4 สมัยจาก 7 ปีหลังสุด เรียกได้ว่าเป็นรายการที่่ช่ำชองและเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง 

แต่การป้องกันแชมป์ทุกครั้งไม่เคยง่าย ทุกทีมที่เจอ "แชมป์เก่า" ล้วนทุ่มเทเกินร้อยเพื่อโค่นแชมป์ให้ได้ หากชนะก็ไม่ได้มีเพียงตั๋วในรอบต่อไปเป็นสิ่งตอบแทน แต่ยังรวมถึงความมั่นใจสุดขีดด้วย

"การคว้าแชมป์ว่ายากแล้ว การป้องกันแชมป์ยากกว่า" ยังคงเป็นวลีที่ใช้ได้กับฟุตบอลเสมอ อาร์เซน่อล ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในปีนี้ที่ตกรอบด้วยการทำประตูคู่แข่งในเวลาปกติ 90 นาทีไม่ได้เลยตลอด 2 นัด 

การคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยติดต่อกันเป็นเรื่องยากกว่าการคว้าแชมป์ลีกต่อเนื่องเพราะฟุตบอลถ้วยสามารถตกรอบได้ทันทีหากพลาดเพียงนัดเดียว แต่ฟุตบอลลีกเป็นเรื่องของความสม่ำเสมอในระยะยาว ช่วง 2-3 เดือนแรกอาจฟอร์มไม่ดี แต่หาก 5-6 เดือนหลังคืนฟอร์มทันเวลาก็พลิกกลับมาคว้าแชมป์ 

ไล่ย้อนหลังไปราว 30 ปี มีเพียงแค่ 2 ทีมที่ป้องกันแชมป์เอฟเอ คัพ ได้คือ อาร์เซน่อล ทำได้สองครั้ง (1993-1994 และ 2013-2014) และอีกทีมคือ เชลซี (2008-2009) 

เช่นเดียวกับในรายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่มีเพียง เรอัล มาดริด ที่ป้องกันแชมป์ได้ (คว้าแชมป์ 3 ปีติด) นับตังแต่เปลี่ยนชื่อการแข่งขันมาสามทศวรรษ 

นี่คือธรรมชาติของฟุตบอลและสัจธรรมที่บางครั้งก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้

...

อย่างไรก็ตาม การตกรอบเอฟเอ คัพ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับ อาร์เซน่อล ไปเสียทั้งหมดแม้จะเป็นรายการเชิดหน้าชูตาได้ตลอดก็ตาม เพราะต่อจากนี้ มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมจะได้มีสมาธิเพื่อโฟกัสกับ 2 รายการที่เหลือทั้งพรีเมียร์ลีกและยูโรปา ลีก ได้อย่างเต็มที่

แม้มีความรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่การตัดภาระบางอย่างออกไปเพื่อให้เดินได้ "คล่องตัว" มากขึ้นก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด